สุขแท้จริงอยู่ในตัว
วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันทุกๆ คนกันนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ ให้ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้พอดีนะ
อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราเกร็ง หรือตึง ให้รู้สึกมันพอดีๆ ของใครก็ของมันนะ
แล้วก็สมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้น เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ หรือคล้ายๆ ลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป
หลับตาของเราเบาๆ หลับตาค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว เรื่องการศึกษาเล่าเรียน
หรือเรื่องอะไรที่นอกจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
ว่างเปล่าจากอารมณ์ทั้งหลาย
วันนี้อากาศกำลังสดชื่น กำลังสบาย เหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรม
ที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เพราะฉะนั้นเช้านี้ทำตัวให้สบาย ทำใจให้สงบ เดี๋ยวเราก็จะพบพระรัตนตรัยในตัว
การวางใจ
แล้วก็น้อมใจกลับเข้ามาตั้งไว้ในกลางกาย ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ หรือจำง่ายๆ
ว่า อยู่ในกลางท้อง เพราะฐานที่ ๗ เราจะเห็นชัด ต่อเมื่อใจมันหยุดนิ่งได้สนิท แต่ถ้ายังไม่สนิทสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
มันไม่เห็น เพราะฉะนั้น ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ เราก็จำง่ายๆว่า ใจอยู่ในกลางท้อง
ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ตรงนี้
บริกรรมนิมิต
แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิต
หรือสร้างภาพขึ้นมาทางใจ เป็นดวงแก้วใสๆ กลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์คล้ายกับเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย แปลว่า ไม่มีเหลี่ยมเหมือนเพชรที่เจียระไน แต่ใสอย่างนั้น หรือใสเหมือนกระจกคันฉ่องที่ส่องเงาหน้า หรือเหมือนน้ำใสๆ กระจกเวลาโดนแดด
มีประกายอย่างนั้นแหละ แต่ว่ากลมรอบตัว
ให้กำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ
หรือพระแก้วใสๆ ปางสมาธิ ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเราชอบ แต่เอาอย่างเดียว
อย่างใดอย่างหนึ่งนะ ถนัดดวงแก้วก็เอาดวงแก้วเป็นบริกรรมนิมิต ถนัดนึกองค์พระก็เอาพระแก้วเป็นบริกรรมนิมิต จำง่ายๆ
แค่นี้
ความสุขอยู่ในตัว
แล้วก็ประคองใจให้อยู่ภายในตัว
เพราะใจถูกดึงให้ไปนอกตัวมาตั้งแต่เราเกิดเรื่อยมาเลยกระทั่งบัดนี้
ให้ไปติดในคน สัตว์ สิ่งของ หรือภาษาธรรมะก็ดึงไปติดที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมารมณ์ ติดคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครอง
ใจมันกระเจิดกระเจิงกันไปตรงนั้น
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เคยพบกับความสุขที่แท้จริง
ไม่เคยสมหวังในชีวิตสักครั้งหนึ่ง เพราะว่าความสมหวังในชีวิต
หรือความสุขที่แท้จริงมันอยู่ในตัวของเราตรงนี้ ไม่ได้อยู่นอกตัว
แต่ว่าไม่มีใครมาสอน มาแนะนำ เราก็เลยทำตามเขาไป เพราะโลกถูกหล่อหลอมให้เอาใจออกไปข้างนอกอย่างนั้น
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้
ท่านค้นพบทางสายกลางภายใน ที่จะทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แล้วก็หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ไปสู่อายตนนิพพาน เส้นทางสายกลางภายในนี้ ท่านเรียกว่า อริยมรรค บ้าง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
ปฏิบัติเป็นกลางๆ ไม่ตึงไม่หย่อนบ้าง เรียกว่า วิสุทธิมรรค
บ้าง คือ เส้นแห่งความบริสุทธิ์ หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย บางทีก็เรียกว่า วิมุตติมรรค เป็นทางหลุดทางพ้น
ซึ่งมีทางเดียวเท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะที่บังคับบัญชาให้เรามีความโลภ
ความโกรธ ความหลง แล้วก็กระทำทางกาย วาจา ใจ แล้วก็มีวิบากกรรมรองรับ วนเวียนกันอยู่ในวัฏฏะนี้
เพราะฉะนั้น มีอยู่ทางเดียวที่จะหลุดพ้น
คือ ทางสายกลางภายใน เมื่อพระรัตนตรัยอยู่ในตัว พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
เพราะพุทธรัตนะ คือ พระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูม ใสเกินใส เป็นกายตรัสรู้ธรรมอยู่ภายใน
เราก็ต้องเอาใจมาไว้ตรงกลาง เพราะท่านสิงสถิตอยู่ที่ตรงนี้ นี่คือเหตุผล ที่เราจะต้องเอาใจกลับมาไว้ในตัว
หยุดแรกยากสักนิด
แต่ยากไม่มาก
ใหม่ๆ
มันก็ยากนิดหนึ่ง เพราะเราคุ้นกับเอาใจไปไว้นอกตัว ไปติดในคน ในสัตว์ สิ่งของ ลาภ
ยศ สรรเสริญ อะไรอย่างนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้ยากมาก ในการที่เราจะดึงใจกลับมาในตัว
มันยากพอสู้ คือ ถ้าสู้อย่างมีหลักวิชชา มันก็ไม่ยาก
ทุกคนสามารถฝึกใจให้หยุดนิ่งได้ ยกเว้นคนบ้า ซึ่งสูญเสียระบบประสาทแล้ว เพราะมีวิบากกรรมมาก
ดังนั้นถ้าเป็นปกติธรรมดาอย่างพวกเราอย่างนี้ เราสามารถฝึกใจให้ใจมาหยุดนิ่งๆ ตั้งมั่นอยู่ภายในได้
ปล่อยวางได้
ใจจะกลับมาหยุดนิ่งภายใน
ใจจะตั้งมั่นตรงนี้ได้
ต้องปลด ปล่อย วาง จากสิ่งภายนอก ถ้าไปผูกพันไว้ มันก็จะดึงกลับมาสู่ภายในยาก
แล้วถ้าจะไม่ให้ผูกพัน ท่านก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ทำความเข้าใจว่า คน
สัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ช้ามันก็ผุ มันก็ต้องพัง มันก็ต้องเสื่อมต้องสลายไป
เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมไป นี่คือความจริงแท้เลย ที่เราก็จะต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา
ใจเราจะได้ปล่อยวางได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่กายของเราก็ต้องผุพังลงไปสักวันหนึ่ง
เมื่อกายเรายังเป็นอย่างนี้ ของนอกกายก็เหมือนกันแหละ
เมื่อคิดอย่างนี้
ใจก็จะปลด ปล่อย วาง แล้วก็หันมาเดินทางของพระอริยเจ้า คือเดินตามรอยพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายว่า ทำไมคนอย่างท่านซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยกามสุขอันเลิศ
ประดุจเทวดาในเมืองมนุษย์ แต่ท่านยังไม่เอาเลย กลับทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปอย่างไม่เสียดาย
และหันกลับมาฝึกใจให้หยุดนิ่ง หาโอกาสว่าง เพื่อให้ใจสงัดจากกาม
สงัดจากบาปอกุศลธรรม ให้ใจมาตั้งมั่นอยู่ภายใน เพราะท่านค้นพบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ให้ประโยชน์เลย
ไม่ได้เติมเต็มความสมบูรณ์ของชีวิต
หยุดกับนิ่งภายในตัวนี่แหละ
จึงจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ แล้วก็จะพบกับความสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรจะเสมอเหมือน
คือ สุขที่เกิดจากหยุดจากนิ่ง
นตฺถิ
สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี
เมื่อท่านผู้รู้ ผู้รู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอด ท่านได้กล่าวอย่างนี้ ก็แปลว่า
ท่านได้ให้บทสรุปแล้วของชีวิตว่า ใจหยุดนี่แหละจะทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ พบความสุขอย่างแท้จริง
ทำให้ถูกวิธี
วันนี้เราก็จะต้องมาทำใจให้หยุดให้นิ่ง
อย่าปล่อยให้วันเวลามันผ่านไป เพราะเวลาในกายมนุษย์มันมีจำกัด
ก็ต้องเอามาหยุดมานิ่ง ตอนนี้เราจะหยุดนิ่ง
โดยการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ
หรือองค์พระใสๆ ใหม่ๆ มันก็ยากสักนิดหนึ่ง เพราะเราไม่เคยนึกเลย
หรือไม่ค่อยจะได้นึก หรือนานๆ จะนึกสักที หรือนึกเหมือนกัน แต่ว่านึกไว้ข้างนอกตัว
พอจะนึกในตัวมันก็ยากสักนิดหนึ่ง
เราอดจะเค้นภาพไม่ได้
ขมวดคิ้ว กดลูกนัยน์ตาไปดูมัน มันทำให้มึน ซึม ตึง เกร็งไปหมด เหนื่อย เมื่อย
และก็ไม่ได้ผล พลอยทำให้เราท้อ และตัดพ้อต่อว่า เราบุญคงน้อยมั้ง จึงทำไม่ได้อย่างที่เขาทำได้กัน
แต่ความจริงไม่ใช่เลยนะ
เมื่อเรามาถึง
ณ จุดตรงนี้ แปลว่า เรามีบุญในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ เช่นเดียวกับใครๆ ที่เคยถึงนั่นแหละ
เหลือแต่วิธีการ เราทำให้ถูกวิธี ถ้าเราทำถูกต้อง มันก็ไม่ยาก
เวลาทำถูก ลักษณะอาการมันจะเป็นอย่างนี้
คือ ใจจะไม่ทึบ มันจะโปร่ง จะโล่ง จะเบา จะสบาย จะไม่อึดอัด ไม่คับแคบ มันจะขยาย
แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม ไม่มีแสงสว่างเกิดขึ้น ไม่มีภาพภายในให้เราเห็น แต่เรายังรู้สึกชอบ
พึงพอใจ สบาย นั่นแหละเราเริ่มต้นถูกวิธีแล้ว แล้วก็มีความรู้สึกเวลาหมดไปเร็วเหลือเกิน
ไม่อยากเลิกเลย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เห็นอะไรกับเขา แต่ใจมันนิ่ง นุ่ม ละมุนละไม สบายๆ
อย่างนี้แปลว่า เราทำถูกต้องแล้ว
ทีนี้สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไป ก็คือ รักษาสภาพนั้นให้ต่อเนื่องยาวนานไป
ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เป็นอมตนิรันดร์กาลเลย โดยไม่คำนึงว่า มันจะเห็น
หรือไม่เห็นอย่างเขา นิ่ง นุ่ม สบาย เพราะ หยุดเป็นตัวสำเร็จ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย ท่านสรุปเอาไว้ ทิ้งข้อความนี้ไว้เป็นมรดกโลกว่า ใจหยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ
ที่จะทำให้เราเข้าถึง สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว แสงสว่างภายในก็ดี
หลับตาแล้วมันไม่มืด มันแจ้ง มันสว่าง
ดวงธรรมภายในก็ดี
ก็มีอยู่แล้วข้างใน กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู พระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต ทั้ง ๑๘
กาย มีอยู่แล้วภายใน ซ้อนกันอยู่ ของละเอียดซ้อนอยู่ในของหยาบ ยิ่งละเอียด
ยิ่งใหญ่ ยิ่งใส ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งสวย ยิ่งมีความสุข และความรอบรู้มากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดมีอยู่แล้วในตัว
หน้าที่เราเป็นแต่เพียง ทำใจให้หยุดนิ่งอย่างสบายๆ อย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น แล้วก็จะละเอียดลงไปของมันเอง
มันจะเป็นไปเอง จะโล่ง จะโปร่ง จะเบา สบาย ตัวขยาย เห็นแสงสว่างเกิดขึ้น
แล้วก็เห็นดวงธรรม เหล่านั้นไปตามลำดับ ที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ
ยามใดหรือเมื่อใด ที่เห็นขึ้นมาจริงๆ เลย ก็อย่าไปตื่นเต้น มันไม่ได้เป็นของแปลกใหม่อะไร
เพราะมันมีอยู่แล้วในตัว ถ้าเราไปตื่นเต้น มันก็จะเลือนหายไป ใจก็จะหยาบ
ถ้าอยากเห็นมากเกินไป จะทำให้ตั้งใจมาก กายก็จะไม่สบาย พอกายไม่สบาย
ใจก็ไม่สงบ เพราะฉะนั้นต้องปรับ ให้มันพอดีๆ ให้สบายๆ ทำง่ายๆ เดี๋ยวเราจะนึกไม่ถึงเลยว่า
ง่ายๆ สบายๆ สามารถเข้าถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีอยู่ในตัวของเรา
ใจหยุด ถอดออกมาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ท่านให้นัยยะต่อท่านองคุลีมาลว่า สมณะหยุดแล้ว
แต่กายหยาบยังเคลื่อนไหว ก็แปลว่า หยุดวิธีนี้ นอกจากหยุดในการกระทำบาปทั้งปวงแล้ว
ใจของท่านยังไม่เขยื้อนเลย หยุดนิ่ง ตั้งมั่นอยู่ภายใน อยู่ในกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายของท่านอยู่ภายใน นี่ถอดออกมาเลย จากพระโอษฐ์ของพระบรมศาสดา
บริกรรมภาวนา
เช้านี้ อากาศกำลังสดชื่นเบิกบาน เหมาะในการปฏิบัติธรรม
เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ให้ลูกทุกคนฝึกใจให้หยุดให้นิ่งๆ ให้ใจใสๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ หยุดอยู่ใจกลางพระแก้วใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วก็ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจ ไม่เร็วไม่ช้านัก
โดยให้เสียงภาวนาดังออกมาจากกลางท้องของเรา สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาเรื่อยไปเลย จะกี่ครั้งก็ได้
จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนา ถ้าใจเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป แล้วก็ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราก็ไม่ต้องหวนกลับมาภาวนาใหม่ หยุดใจนิ่งเรื่อยไปเลยอย่างสบายๆ
แต่ถ้ามีอะไรให้ดูก็ดูไป
ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น มีความมืดให้ดู เราก็ดูความมืดอย่างสบายๆ
มีแสงสว่างให้ดู เราก็ดูแสงสว่างอย่างสบายๆ มีดวงใสๆ ให้ดู เราก็ดูไปอย่างสบายๆ
มีองค์พระให้ดู เราก็ดูองค์พระไปสบายๆ
เรานึกถึงดวงแก้ว
แต่ไปเห็นเป็นองค์พระ เราก็ดูไปอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
ไม่ต้องไปวิเคราะห์ วิจัยวิจารณ์อะไรทั้งนั้น ให้ทำเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีมันสมอง
ไม่รู้จักคิด หยุดกับนิ่งอย่างเดียว
เช้านี้ให้ลูกทุกคน สมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร เวลาแห่งความสว่าง
เราก็จะได้ประกอบพิธี ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน แด่ภิกษุสามเณรผู้พระพฤติธรรมต่อไป
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565