๑๘ กาย แผนผังชีวิต
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกัน ทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุด นิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น
นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านเริ่มหยุดใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ โดยปล่อยวางทุกสิ่ง
ทิ้งทุกอย่าง นิ่งอย่างเดียว แล้วก็นิ่งในนิ่งอย่างนั้นแหละ
เข้าถึงดวงปฐมมรรค
จนกระทั่งถูกส่วนก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน และก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมาบังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นดวงใสๆ เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว กลมรอบตัว
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้น สว่างเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยง
แต่ว่าใสเย็น เหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ
ธรรมดวงแรกนี้เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค
เป็นหนทางเบื้องต้น หรือจุดเริ่มต้นที่จะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
ในเส้นทางของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่า อริยมรรค เส้นทางที่จะทำให้ชีวิตไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
และก็เห็นไปตามลำดับ
ดวงธรรมภายใน ๖ ดวง
ในกลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เข้าถึง ดวงศีล
ในกลางดวงศีล ก็เข้าถึง ดวงสมาธิ
ในกลางดวงสมาธิ ก็เข้าถึง ดวงปัญญา
ในกลางดวงปัญญา ก็เข้าถึง ดวงวิมุตติ
ในกลางดวงวิมุตติ ก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
เป็นดวงธรรมใสๆ
ที่มีความสว่างและความบริสุทธิ์แตกต่างกันออกไป ผุดเกิดขึ้นมาตรงกลางตรงนั้น
ใสบริสุทธิ์ ชุดหนึ่งมี ๖ ดวง ซึ่งเป็นดวงธรรมที่กลั่นใจให้ใสบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
แผนผังชีวิต ๑๘ กาย
แล้วก็เชื่อมให้เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
ซึ่งเป็นกายภายใน หน้าตาเหมือนกับตัวของเราเอง ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง
ท่านชายก็เหมือนท่านชาย ของท่านก็เหมือนกับตัวท่าน แต่ว่าใสบริสุทธิ์กว่ากายมนุษย์หยาบ
อยู่ในวัยเจริญ ในอิริยาบถของสมาธิ
ท่านก็หยุดใจเข้าไปเรื่อยๆ
ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ก็เข้าถึงธรรมทั้ง ๖ ดวงนั่นแหละ ๑ ชุด แล้วก็เชื่อมถึง กายทิพย์หยาบ
ในกลางกายทิพย์หยาบ ก็เข้าถึง กายทิพย์ละเอียด
ในกลางกายทิพย์ละเอียด ก็เข้าถึง กายรูปพรหมหยาบ
ในกลางกายรูปพรหมหยาบ ก็เข้าถึง กายรูปพรหมละเอียด
ในกลางกายรูปพรหมละเอียด ก็เข้าถึง กายอรูปพรหมหยาบ
ในกลางกายอรูปพรหมหยาบ ก็เข้าถึง กายอรูปพรหมละเอียด
เป็นกายที่ซ้อนๆ กันอยู่ และถูกเชื่อมด้วยธรรม
๖ ดวงนั่นแหละ ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ลักษณะแตกต่างกันออกไป มีเครื่องประดับ มีความประณีต
ในกลางกายอรูปพรหมละเอียด เข้าถึง กายธรรมโคตรภูหยาบ
ในกลางกายธรรมโคตรภูหยาบ เข้าถึง กายธรรมโคตรภูละเอียด
หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย เป็นกายพระปฏิมากร พระธรรมกายเกตุดอกบัวตูมใส
บริสุทธิ์ สวยงามมาก เพราะประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
ในกลางกายธรรมโคตรภูละเอียด ก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหยาบ
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
ในกลางกายธรรมพระโสดาบันหยาบ ก็เข้าถึง กายธรรมพระโสดาบันละเอียด
ในกลางกายธรรมพระโสดาบันละเอียด ก็เข้าถึง กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ
หน้าตัก
๑๐ วา สูง ๑๐ วา
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ ก็เข้าถึง กายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด
หยุดในกลางกายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด ก็เข้าถึง
กายธรรมพระอนาคามีหยาบ หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
ในกลางกายธรรมพระอนาคามีหยาบ ก็เข้าถึง กายธรรมพระอนาคามีละเอียด
ในกลางกายธรรมพระอนาคามีละเอียด ก็เข้าถึง กายธรรมพระอรหัตหยาบ
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูมเหมือนกัน
ในกลางกายธรรมพระอรหัตหยาบ
ก็เข้าถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียด
หยาบเป็นมรรค ละเอียดเป็นผล
เช่น พระโสดาปัตติมรรค พระโสดาปัตติผล
พระสกิทาคามีมรรค พระสกิทาคามีผล
พระอนาคามีมรรค พระอนาคามีผล
พระอรหัตมรรค พระอรหัตผล
รวมทั้งหมด
๑๘ กาย ที่ซ้อนๆ กันอยู่ เป็นแผนผังของชีวิตติดกันมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้ว
มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบตรงนี้ แล้วในที่สุดก็หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
แล้วก็นำมาถ่ายทอดให้แก่พระสาวก ผู้มีบุญได้บรรลุธรรมตามท่านไปอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เราจะต้องนำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ นิ่งอยู่ตรงนี้ที่เดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ตรงนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุด ยิ่งกว่าตำแหน่งใดๆ ในโลกนี้หรือโลกอื่น
เพราะเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานดังกล่าว
พาใจกลับบ้าน
ดังนั้น วันนี้เราก็จะต้องมาหยุดใจนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
แต่เนื่องจากว่า ใจของเราได้หลุดออกจากตำแหน่งนี้ ไปติดในเรื่องราวต่างๆ คน สัตว์
สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน สนุกสนาน
เพลิดเพลินกันไปอย่างนั้น มายาวนาน
การที่ใจไปติดสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เคยทำให้เกิดความพึงพอใจอันสูงสุด
จนกระทั่งไม่อยากได้อะไรอีก ไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้ แถมทำให้เกิดความทะยานอยาก
ที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญา หรือความเข้าใจชีวิต แต่ประกอบด้วยความไม่รู้และความเพลิดเพลินให้ใจกระเจิดกระเจิงกันไปอย่างนั้น
ชีวิตนอกจากจะไม่เจอความสุขที่แท้จริงแล้ว ยังเจอปัญหา แล้วก็แรงกดดันของชีวิต
มีแต่ความเพลินหมดเวลากันไปวันๆ หนึ่ง เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องดึงใจกลับมาสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องที่สำคัญ
สำหรับชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่แสวงหาความสุขที่แท้จริง
จะต้องนำใจกลับมาสู่ตำแหน่งตรงนี้ ตำแหน่งแห่งความสุข ความสมปรารถนาที่เราแสวงหากันอยู่
คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
บริกรรมนิมิต
เบื้องต้นก็จะต้องกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ให้นึกถึงของใสๆ ของที่บริสุทธิ์
ที่ทำให้ใจของเราสูงส่ง บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น สิ่งที่เป็นกลางๆ ที่ง่ายที่สุดก็คือ นึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่งกลมรอบตัว
เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ ใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้ว
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ให้ค่อยๆ ตรึกนึกถึงดวงใสๆ นี้ อย่างเบาๆ สบายๆ
คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอ ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ให้ใสที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออกมาจากในกลางท้องของเราอย่างสม่ำเสมอว่า
สัมมาอะระหังๆๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ สัมมาอะระหังๆๆ
ประคองใจกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เมื่อใจหยุดนิ่งดีแล้วมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง
คือเราจะมีความรู้สึกเหมือนเราลืมภาวนาไป แต่ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นเลย จนมีความรู้สึกว่า
ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง ต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ
ถ้าเกิดอาการอย่างนี้ความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหังอีก ต่อไป
แต่ว่าเมื่อใดใจของเราฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นอีก
เราก็ต้องย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังใหม่ ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น สดใส เย็น สบาย เหมาะสมที่ลูกทุกคนซึ่งเป็นผู้มีบุญจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา
และสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย
ก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจกันไปให้ดี ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565