ใจหยุดนิ่งพบสุขภายใน
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
·
ปรับกาย
ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะ ตั้งแต่ศีรษะ ลำตัว ถึงพื้นเท้าของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้ผ่อนคลาย ขยับเนื้อขยับตัวให้ท่านั่งของเราให้ถูกส่วน จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย
อย่ามองข้ามตรงนี้นะ
ให้ปรับในระดับที่มีความรู้สึกว่า
เราผ่อนคลาย และหลับตาก็เบาจริงๆ พอสบายๆ
·
วางใจ
แล้วก็ค่อยๆ รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือนะ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้องไปก่อน เพื่อให้ใจของเราคุ้นเคย และก็ไม่กังวลกับศูนย์กลางกายฐานที่
๗ จนเกินไป
แต่ก็ต้องรู้จัก
เพราะว่าฐานที่ ๗ นี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาเกิด
จะไปเกิดใหม่ ไม่ว่าจะหลับ ไม่ว่าเราจะตื่น หรืออยากหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ทรมานของชีวิต ก็ต้องเริ่มต้นที่
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ ที่จะทำให้เราเข้าถึงความจริงที่มีอยู่จริง ภายในตัว ความจริงที่จะทำให้เราเลื่อนระดับชั้นจากปุถุชนเป็นพระอริยเจ้า
ที่เราคุ้นเคยคำว่า อริยสัจ ความจริงที่จะทำให้เป็นพระอริยเจ้า
ความจริงที่พระอริยเจ้าท่านกล่าวเอาไว้ ให้เราได้เข้าถึงเช่นเดียวกับท่านที่เข้าถึง
ซึ่งจะต้องเริ่มต้นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เท่านั้น
เมื่อเราวางใจของเราได้ถูกต้องกับตำแหน่งตรงนี้แล้ว
ก็ปรับใจให้ถูกส่วนด้วยการหยุดกับนิ่ง อย่างเบาๆ สบายๆ จะนึกเป็นภาพบริกรรมนิมิตก็ได้
ไม่นึกก็ไม่เป็นไร
·
การประคองใจ
บริกรรมนิมิต ควรเป็นภาพที่จะทำให้ใจเราใส
ใจเราบริสุทธิ์ และหยุดนิ่งได้ง่าย ถ้าเข้ากับหลักเกณฑ์นี้ เราจะใช้อะไรก็ได้ จะเป็นดวงใสๆ
องค์พระใสๆ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ อยู่ที่กลางกายฐานที่ ๗ ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะได้เป็นจุดเชื่อมโยงใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน เหมือนเป็นที่หยุดใจของเรา
เป็นเครื่องหมาย เป็น
Landmark ให้ใจของเราหยุดนิ่งได้ง่าย เมื่อมันมีที่หมายที่จะหยุดใจ เพราะฉะนั้นการกำหนดเป็นภาพก็จะดีอย่างนี้
แต่การบริกรรมนิมิตจะไม่เหมาะกับคนที่ตั้งใจเกินไป
อดที่จะไปบีบเค้นภาพให้ชัดเจนได้ดังใจไม่ได้ หรือกดลูกนัยน์ตาไปดู หรือเป็นคนขี้สงสัย
ก็ให้วางใจเฉยๆ ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเองก็ได้
แปลว่า จะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ใน
๒ อย่างนี้ เราก็มาทบทวนตัวของเราว่า เราถนัดแบบไหนก็เอาอย่างนั้น อะไรที่ง่ายที่สุด
เหมาะสมที่สุดสำหรับเราในการเริ่มต้น เราก็เอาอย่างนั้นไปก่อน
·
ง่ายจึงจะถูกวิธี
จับหลักให้ได้ว่า
ตลอดเส้นทางสายกลาง จะต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่ง่าย ไปสู่สิ่งที่ง่ายๆ คือ ง่ายเพิ่มขึ้น
ง่ายแสนง่าย ง่ายที่สุด ง่ายกว่าง่ายที่สุดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ
อย่างนี้อะไรมันก็ได้ ถ้าทำง่ายก็ทำได้ นี่เป็นเรื่องที่เราจะฟังผ่านไม่ได้นะ จะได้ไม่เสียเวลานาน
และค่อยๆ ประคับประคองใจของเราไปเบาๆ
สบายๆ เช่น ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับบริกรรมภาวนาในใจ
สัมมาอะระหังๆๆ อย่างนี้เรื่อยไป จะกี่ครั้งก็ได้จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
พอใจหยุดนิ่งมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง
คือหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้บริกรรมภาวนา ใจอยากจะนิ่งเฉยๆ แล้วก็นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
สบายๆ แม้ยังไม่เห็นภาพอะไร
แม้จะเป็นความมืด ก็ให้ยินดีกับความมืดนี้ไปก่อน
ทำใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ส่วนผู้ที่กำหนดบริกรรมนิมิต
ชัดได้กี่เปอร์เซ็นต์ เราก็เอาแค่นั้นไปก่อน จะ ๕ เปอร์เซ็นต์ ชัด ๑๐ เปอร์เซ็นต์
๒๐, ๓๐ หรือเกินกว่านี้ก็ไม่เป็นไร แต่ให้สบายใจนะ ทำอย่างสบายๆ
ประคองไปเรื่อยๆ
จนกว่าใจจะหยุดนิ่งเข้าถึงความจริงที่มีอยู่แล้วภายใน ภายในตัวของเรา เช่นเดียวกับที่มีอยู่แล้วภายในพระอริยเจ้าทั้งหลาย
พระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกพระองค์ก็มีเหมือนๆ กัน
อย่างที่เรามี ท่านรู้อย่างนี้ ท่านก็มาสอนเรา ท่านทำอย่างไร ท่านก็แนะนำเราอย่างนั้น
เราแค่ทำตามที่ท่านสอน
·
ความสม่ำเสมอสำคัญมาก
และก็ต้องสม่ำเสมอนะ
สำคัญมาก ความสม่ำเสมอจะทำให้ใจของเราค่อยๆ สั่งสมให้เป็นสมาธิ สั่งสมหยุดนิ่ง มีชั่วโมงหยุด
ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางกายเพิ่มขึ้น สั่งสมบุญ สั่งสมความบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเมื่อมันเต็มเปี่ยมแล้ว
ผลก็จะต้องเกิดขึ้น
คือ ใจจะนิ่งได้อย่างง่ายๆ
สบายๆ แล้วสักวันภายในก็จะค่อยๆ เผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย ตั้งแต่ความสงบ ความสุข
ความโล่ง ความโปร่ง ความเบา ความสบาย ตัวหาย แสงสว่างเกิด ดวงธรรมเกิด
กายภายในเกิด เป็นชั้นๆ ตามความละเอียดของใจเรา ที่เกิดจากการหยุดนิ่ง
แปลว่า
สิ่งนี้ทุกคนทำได้ ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอทุกวันเลย หลับบ้าง ตื่นบ้าง ฟุ้งบ้างก็ขอให้นั่งกันไปทุกวัน
ให้สม่ำเสมอ เดี๋ยวสักวันหนึ่งผลจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่จะต้องตอกย้ำซ้ำเดิม
ทำความเข้าใจและก็ลงมือปฏิบัติกันให้ได้จริงๆ แล้วผลก็จะเกิดขึ้นจริงกับเรา
ดังนั้น เราก็ประคับประคองใจไป
แม้เข้าถึงดวงธรรมหรือกายภายในแล้ว ก็ยังต้องฝึกหยุดฝึกนิ่ง ซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ
ฝึกไปจนกว่าเราจะเป็นอิสระจากสิ่งที่บังคับบัญชาเรา ให้หลุดจากการครอบงำด้วยความยินดียินร้าย
อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ให้ใจมันนิ่งๆ ใสๆ
บริสุทธิ์ และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นกับเรา เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มีความเพียร ความรู้แจ้ง
เห็นแจ้งอะไรต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น ใจเราก็ค่อยๆ คลายความสงสัย หายสงสัย
พอหายสงสัยแล้วมันก็มีปีติ มีความสุข ที่เราแจ่มแจ้งทำได้ ความสุขนี้ก็จะทำให้ใจเราเป็นหนึ่ง
เป็นเอกัคคตา ใจนิ่ง และก็จะนิ่งในนิ่ง จนกระทั่งมันนิ่งแน่น ไม่เขยื่อนเลย
ติดอยู่ตรงกลางตรงนั้น ต่างแต่ว่าเปลี่ยนระดับความละเอียดของใจ
เปลี่ยนมิติของใจไปเรื่อยๆ จะนิ่งในนิ่ง
ยิ่งนิ่งภายในก็ยิ่งกว้างขวาง
โลกภายในหรืออาณาจักรแห่งธรรมของเราก็ขยาย จะกว้างออกไป กว้างกว่าโลกใบนี้ กว่าที่เราเห็นฟ้าครอบ
ซึ่งเป็นอาณาจักรภายในของเรา ที่ถูกอัดแน่นไปด้วยมวลแห่งความสุข พลังแห่งความสุข ความบริสุทธิ์
ที่เกิดจากการหยุดนิ่ง
ยิ่งบริสุทธิ์มาก
การรู้แจ้งเห็นแจ้งก็กว้างไกล คือจะรู้ยิ่งกว่าปกติที่เราเคยศึกษาเรียนรู้มา
และก็รู้พร้อมกับการเห็นนั่นแหละ เห็นถึงไหนก็รู้ถึงตรงนั้น รู้รอบเลย
ทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์ของประสบการณ์ภายใน ที่ลูกทุกคนสามารถเข้าถึงได้
·
ให้เวลากับหยุดนิ่ง
เราไม่ควรปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
เพราะโลกภายนอกที่เราเจอทุกวันมันก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแตกต่าง แล้วก็ไม่เคยให้ความพึงพอใจอันสูงสุดกับเราเลย
ใจไม่เคยเต็มเปี่ยมเลย เพราะฉะนั้นให้หันกลับมาในโลกส่วนตัวของเรา การทำอย่างนี้ถึงจะได้ชื่อว่า
เรารักตัวเราเองอย่างแท้จริง ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสรภาพ จากสิ่งที่ครอบงำเรา บังคับบัญชาเรา
แล้วเราก็จะเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเราเอง จะมีปีติ ภาคภูมิใจ แล้วในที่สุดก็จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
พอไปถึงตรงนั้น ก็จะเห็นความแตกต่างของสิ่งที่เราเคยคิดว่า
จะเป็นที่พึ่งให้กับเราว่า มันไม่ใช่ เมื่อมาเจอที่พึ่งที่ใช่ เราก็จะเห็นว่าที่ผ่านมา
มันไม่ใช่ มันต่างราวกับฟ้ากับดิน แต่ตอนนั้น ความรู้เรายังไม่สมบูรณ์ เพราะใจเรายังไม่ตั้งมั่น
สติยังไม่บริบูรณ์ ปัญญาก็ยังไม่บริบูรณ์ แต่ว่าถ้าหยุดนิ่งได้ สติก็เป็นมหาสติ ปัญญาก็เป็นมหาปัญญา
ก็กว้างขวางใหญ่โตไปเรื่อยๆ ก็จะรู้จักว่า นี่คือที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
พอเข้าถึงแล้วจะสุขใจ
อบอุ่นใจ ปลอดภัย ทั้งภัยในอบาย ภัยในสังสารวัฏ แม้แต่ภัยในปัจจุบัน จะปลอดภัย ใจจะมีความสุข
อบอุ่น
นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องใช้ในช่วงเวลาของชีวิตที่เรายังพอมีเรี่ยวมีแรงอยู่
เพราะว่าเวลาเจ็บป่วยไข้ มันทำได้ไม่เต็มที่ หรือยิ่งสูงวัยไป ก็ยิ่งทำได้ไม่เต็มที่
เหมือนตอนที่เรายังแข็งแรงอยู่
เมื่อความตายไม่มีนิมิตหมายก็ต้องรีบขวนขวาย
ฝึกหยุดฝึกนิ่งอยู่ภายใน ควบคู่กับภารกิจในชีวิตประจำวันกันไป เพราะเราต้องทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี ก็ทำ ควบคู่กันไป อย่างนี้จึงจะถูกหลักวิชชานะ
วันอาทิตย์เราก็มานั่งรวมกันอย่างนี้แหละ
เพื่อให้พลังหมู่เกิดขึ้น ได้เป็นพลังฉุดเราเข้าไปหยุดนิ่งอยู่ภายใน เมื่อถ่ายทอดผ่าน
DMC ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกันไปทั่วโลก เมื่อผู้มีบุญทั้งหลายเขาดูผ่าน DMC
จากเราถึงชาวโลกได้อย่างอัศจรรย์ ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างนี้แหละ
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565