สั่งสมบุญด้วยใจใส
วันอาทิตย์ที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ต้นเดือน สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-วางใจ
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ให้รู้สึกสบาย
ขยับเนื้อ ขยับตัว
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน แล้วก็ผ่อนคลาย ตั้งแต่ศีรษะทั้งเนื้อทั้งตัวให้ผ่อนคลายให้หมด
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ
นึกถึงบุญ
นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างบารมีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันชาตินี้
บุญเล็ก บุญน้อย บุญใหญ่ บุญปานกลาง บุญทุกชนิดในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีทาน
ศีล ภาวนาเป็นต้น ทั้งทางโลกและทางธรรม บารมี ๑๐ ทัศ และบุญที่เรานึกได้ เข้าใจได้ง่าย
กฐิน ผ้าป่า สร้างวัดวาอาราม ส่งเสริมการศึกษา เป็นต้น
ทุกบุญที่เราได้ทบทวนบุญผ่านทาง DMC ไปแล้ว ให้นึกเป็นเรื่องเป็นราว
เป็นภาพ
จนกระทั่งเมื่อเช้านี้
เรามาได้มาสวดมนต์ ไหว้พระ เจริญภาวนา บูชาข้าวพระ ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานแด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม
สิ่งที่เราได้กระทำออกไป ทางกาย วาจา ใจ จะกลั่นเป็นดวงบุญใสๆ
ดวงบุญ
บุญธาตุแห่งความสุขความสำเร็จ
เราจะทำบุญแบบไหนก็ตาม
มันจะรวมเป็นดวงบุญ คือ บุญธาตุทั้งหลายมารวมกันเป็นดวงใสๆ คล้ายดวงปฐมมรรค
คล้ายดวงแก้วใสๆ แต่ขนาดโตใหญ่ไม่เท่ากัน
ถ้าเราฝึกทำสมาธิไปถึงจุดๆ
หนึ่ง เข้าถึงพระธรรมกาย ศึกษาวิชชาธรรมกาย เราจะแยกออกว่า ดวงนี้ คือ ดวงอะไร
เช่น ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
เพราะว่ามีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดวงนี้คือ ดวงทานบารมี ดวงศีลบารมี
ดวงนี้เนกขัมมะ ดวงปัญญาบารมี ดวงวิริยบารมี ดวงขันติบารมี ดวงสัจจะ
ดวงอธิษฐานบารมี อย่างนี้เป็นต้น เป็นดวงเหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
ข้างในจะแตกต่างกันไป ส่งผลก็แตกต่างกันด้วย แต่ลักษณะภายนอกคล้ายๆ กัน
เหมือนองค์พระธรรมกาย
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต
ข้างนอกก็เหมือนๆ กัน ต่างแต่ขนาด และก็ข้างใน ดวงธรรมที่บริสุทธิ์แตกต่างกันออกไป
บุญธาตุในตัวของเราก็เช่นเดียวกัน
จะมารวมเป็นดวง ดวงบุญใสๆ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเราทั้งในปัจจุบันชาติ
กระทั่งถึงภพชาติเบื้องหน้า ปัจจุบันนี้ก็ส่งผลได้ส่วนหนึ่ง เหมือนกล้าไม้ที่เพิ่งปลูก
เพิ่งเจริญเติบโตขึ้น รอวันเวลาที่จะเป็นไม้ใหญ่ที่ออกดอกออกผล ส่วนบุญที่เราใช้ปัจจุบัน
คือสิ่งที่เราทำผ่านมาในภพอดีต เพราะฉะนั้นมันก็เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีดอกมีผลแล้ว
อุปมาคล้ายๆ อย่างนี้ แต่ภาพจะเป็นดวงบุญใสๆ ที่ให้พวกเราตรึกระลึกนึกถึง
คุณสมบัติพิเศษดวงบุญ
แล้วดวงบุญจะมีคุณสมบัติอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
คือ ถ้าตรึกระลึกนึกถึงบ่อยๆ มันจะโต จะขยายขึ้น ขยายทั้งขนาด ขยายทั้งบุญธาตุ
ซึ่งจะมีผลให้ขยายความสุขและขยายความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกทางธรรม
มันจะส่งกันต่อๆ
กันไป ถ้าช่วงสั้นๆ ก็ในมนุษย์ และในเทวโลก ส่งผลในมนุษย์ที่เรายังมีกายมนุษย์หยาบอยู่
จะส่งผลต่อโยงไปถึงในเทวโลก เมื่อกายมนุษย์หยาบเสื่อมสลายหมดเวลาแห่งการใช้แล้ว ที่จะต้องเสื่อมสลายผุผังไป
บุญในกายมนุษย์ละเอียดก็ส่งต่อ พอจะไปสู่เทวโลก บุญในกายมนุษย์ละเอียดก็ดับ เพราะกายมนุษย์ละเอียดไปอยู่ในเทวโลกไม่ได้
เราคือผู้ออกแบบทิพยสมบัติ
พอกายมนุษย์ละเอียดดับ
ดวงบุญที่อยู่ในกายทิพย์ก็จะติดขึ้นมา สว่างขึ้นมา ส่งต่อไปตรงนั้น ก็จะได้รูปทิพย์
เสียงทิพย์ รสทิพย์ สุขทิพย์ สมบัติทิพย์ ความเป็นใหญ่ มีบริวาร มีทิพย์สมบัติ
มีรัศมี สว่างไสว มีกายทิพย์ที่เหมาะสมกับในเทวโลกตามกำลังแห่งบุญ คล้ายๆ
ในเมืองมนุษย์ ที่มนุษย์ที่มีหน้าตาแตกต่างไปตามกำลังแห่งบุญ ที่ทำให้มีรูปสมบัติน้อยบ้าง
ปานกลางบ้าง มากบ้าง ในเทวโลกก็เช่นเดียวกัน รูปสมบัติอันเป็นทิพย์ ทั้งรัศมี
ทั้งทิพยสมบัติ ก็จะแตกต่างกันไปตามกำลังแห่งบุญ คนสวย คนหล่อ คนงามก็ไปตามกำลังแห่งบุญ
เสียงก็แตกต่างไปตามกำลังแห่งบุญ
ดังมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะมาก เพราะปานกลาง เพราะน้อยกว่า ถ้ามีบุญชวนคนทำความดี
ให้ธรรมทาน สวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย มหาปูชนียาจารย์
ยกย่อง ชื่นชม สรรเสริญความดีของเพื่อนมนุษย์ อันนี้ก็จะเป็นบุญพิเศษ นอกเหนือจากมีเสียงอันเป็นทิพย์ของปกติชาวสวรรค์
เสียงนี้ก็จะเป็นเลิศ
เหมือนมนุษย์
บางคนรูปสมบัติพอประมาณ แต่มีเสียงอันไพเราะมากกว่าผู้ที่มีรูปสมบัติอันเลิศกว่า
งดงามกว่า นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยบุญที่เราได้กระทำตอนเป็นมนุษย์ ตอนเป็นมนุษย์
รูปทิพย์ เสียงทิพย์อะไรต่างๆ กลิ่น รส สัมผัส ยศ อธิปไตย
แม้การมองเห็น หรือทิพยจักขุก็ไม่เท่ากัน
ตามกำลังแห่งบุญ เช่น เป็นผู้ให้แสงสว่าง ให้ทั้งประทีป ให้ทั้งธรรมทาน แนะนำคนทำความดี
มองแต่ความดีของผู้อื่น ชื่นชมเขาด้วยสายตาอันประเสริฐที่งดงามออกมาจากใจจริงๆ ใจบริสุทธิ์
รักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ เจริญสมาธิภาวนา หมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยอยู่ภายใน
รู้จักมองในสิ่งอันเลิศ อันประเสริฐของบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มหาปูชนียาจารย์ ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม ผู้มีศีลมีธรรม อย่างนี้เป็นต้น
เวลาบุญมาประมวลรวมกันก็จะเป็นดวงใสๆ ส่งผลให้เกิดทิพยจักขุ เห็นได้กว้างไกลแตกต่างกันออกไป
เพราะฉะนั้น
เราจะออกแบบกายทิพย์ของเราในเทวโลก ให้มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติอย่างไร มันก็แล้วแต่เรา
ในเทวโลกนี่ก็สำคัญ ซึ่งเป็นความรู้ที่เราต้องศึกษาเรียนรู้
รู้แล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติสั่งสมให้มันเยอะๆ นอกเหนือจากเราจะออกแบบชีวิตข้ามชาติได้แล้ว
ยังออกแบบชีวิตในเทวโลก ตั้งแต่ทิพยกายเรื่อยไปเลย บริวาร สมบัติ มันแล้วแต่เราทั้งหมด
นึกถึงบุญด้วยใจใสๆ
บุญที่ลูกทำทั้งหมดล้วนเป็นผลดีทั้งสิ้น
ยิ่งประกอบความเพียร ต้องใช้วิริยะ ใช้ขันติ ใช้สัจจะ ความตั้งมั่น
มุ่งมั่นจะไปสู่ภารกิจเป้าหมายที่ดีงามอันเลิศนั้นให้ได้ บุญก็จะยิ่งทับทวี ผลก็จะยิ่งเลิศประเสริฐเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ลูกก็ได้ทบทวนบุญที่เราทำผ่านมา
และบุญในวันนี้ ยิ่งถ้าเราทำให้มันเลิศ ให้มันประเสริฐผลก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยตรงเลย
ก็จะมาประมวลรวมเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่กลางกาย
เพราะฉะนั้น เวลาหลวงพ่อบอกให้นึกถึงดวงบุญ
ไม่ใช่ว่าเรานึกไปอย่างนั้นเอง แต่มันเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา
เราต้องตั้งใจ เอาใจใส่ ประคับประคองดวงบุญนี้ ไม่ให้หกไม่ให้หล่น
หงุดหงิดก่อนทำบุญมีผลอย่างไร
ถ้าระหว่างทำบุญนั้น
เราหงุดหงิด คือ เราไม่อาจที่จะทนต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
สถานการณ์ได้ และช่วงนั้นใจเราอ่อนแอ พญามารได้ช่องก็สอดละเอียดส่งความไม่พึงพอใจมาได้ผล
ก็ทำให้เราหงุดหงิด ไม่พึงพอใจ ไม่สบายใจ แล้วก็ขยายมาทางกาย ระบบประสาทกล้ามเนื้อ
แปลว่า ดวงบุญดวงนี้ไม่บริสุทธิ์
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีสิ่งปลอมปนเข้ามา ที่ทำให้เราหงุดหงิดใจ อย่างเช่น อาจจะบริสุทธิ์แค่
๘๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๙๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง เวลาบุญส่งผล มันก็จะเจือปนด้วยบาปตรงนี้ เช่น
เวลาบุญส่งผลจะได้ทรัพย์ มันจะต้องได้แบบทุกขลาภบ้าง ให้เราหงุดหงิดก่อนแล้วจึงจะได้ลาภใหญ่
ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น
จะได้คนสัตว์สิ่งของ
หรือทรัพย์สินเงินทอง ก็จะมีเรื่องให้เราหงุดหงิดใจก่อน แต่ก็กันความสำเร็จของเราไม่ได้
คือ ในที่สุดเราก็สำเร็จ แต่มันไม่บริบูรณ์ อย่างที่เราอยากจะให้มันบริบูรณ์
ดังนั้น คำว่า ทำใจให้ใสๆ ทั้งก่อนงานบุญ
ในวันงานบุญ หรือหลังงานบุญ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเกี่ยวกับตัวของเรา
แล้วอุปนิสัยขี้หงุดหงิดก็ติดตัวเราไปด้วย แม้จะมีรูปสมบัติที่งดงาม แต่ก็จะมีอารมณ์อย่างนี้ติดไป
มันก็จะมีอายตนดึงดูดสิ่งที่ทำให้เราหงุดหงิดเข้าใกล้ ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์สิ่งของอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้
สมมติว่า ก่อนงานเราเป็นเช่นนั้น วันงานก็เป็นอย่างนั้น แต่หลังงานเราก็ต้องไม่ให้มันเป็น
เพราะมันผ่านมาแล้วนี่
เราก็มาปรับปรุงใหม่ด้วยการตรึกระลึกนึกถึงบุญของเราด้วยใจที่ปลื้ม
นึกในส่วนที่ทำให้เราปีติใจก่อน พึงพอใจ สุขใจ
เช่น เราได้ไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรด้วยความสนุกสนานบุญบันเทิง
แม้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิต
ของการทำงานไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม แต่เราก็ดึงเอาดวงปัญญา ปัญญามีอยู่ ศักยภาพในตัวมาใช้แก้ปัญหานั้น
กำหนดขอบเขตของปัญหาอยู่ที่เฉพาะตัวเรา ไม่ขยายระบาดไปยังเพื่อนร่วมทีม
แล้วเราก็ทำได้ ตรงนี้แหละนำมาซึ่งความปีติและภาคภูมิใจกับตัวของเรา
หลังงานบุญแล้วนึกถึงตรงนี้จะปลื้ม
ใจจะใสๆ ซึ่งดวงบุญก็จะใสๆ สว่างมีแสงอยู่ในตัว สว่างเจิดจ้าขึ้นในกลางกาย แล้วขยายไปทั่วหมดเลย
จนกระทั่งตัวเราขยายแล้วก็หายไป เหลือแต่ดวงบุญใสๆ ที่จะดึง แล้วก็ดูดเราเข้าไปข้างใน
ในกลางดวงบุญนั้น แล้วก็เข้าไปถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา ไปถึงพระรัตนตรัยในตัว เห็นองค์พระใสๆ
บุญคือที่พึ่ง
อย่างตอนนี้ที่ให้ลูกทุกคนนึกถึงดวงบุญ
นึกถึงความดีที่เราทำมา ก็ให้ทำอย่างนี้ ใจจะได้ใสๆ ใสในใส เข้าไปเรื่อยๆ เบิกบาน แช่มชื่น
ใจเราก็หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจใสๆ
ในขณะที่ชาวโลกเขายังประมาทในการดำเนินชีวิต
และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
นอกจากบุญกุศลไม่เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว บาปอกุศลมันจะได้ช่องส่งผลเขาตลอด
ขณะที่ชาวโลกส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
ส่วนน้อย คือ พวกเราก็ยังสั่งสมบุญบารมี ทำความดีอย่างต่อเนื่องมา ไม่ว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองและโลกจะเป็นเช่นไร
เราก็อยู่เหนือสถานการณ์นั้นด้วยจิตใจที่สูงส่ง ยิ่งใหญ่ กล้าหาญในการสร้างบารมี สมกับเป็นนักรบกองทัพธรรมที่ไม่หวาดหวั่นในสมรภูมิแห่งการสร้างบารมีทุกๆ
สมรภูมิ ใจมันจะใสๆ
เพราะว่าเศรษฐกิจจะขึ้นลงมันก็เป็นปกติของโลกใบนี้
ที่มีลาภ เสื่อมลาภ มียศแล้วก็มีการเสื่อมยศ มีคนสรรเสริญ มีคนนินทา มีสุข มีทุกข์
มีขึ้นมีลง มันยังไม่คงที่ มันก็เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเราสั่งสมบุญ ใจเราตั้งมั่นอยู่ในบุญ
ตรึกนึกถึงบุญไปเรื่อยๆ เราก็จะอยู่เหนือสถานการณ์นั้น เหมือนมรสุมเวลามันพัดผ่านมา
มันแค่มีอยู่ช่องเดียว ถ้าเรายกตัวยกใจให้สูงกว่ามรสุม มันก็ผ่านมาแค่กระทบ แต่ไม่กระเทือน
จนกระทั่งเกิดความเสียหายแก่ชีวิตของเรา ใจที่ตรึกระลึกนึกถึงบุญก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายามที่ผจญมาร
ที่มาพร้อมกับเสนามารมากมายเป็นกองทัพ โดยมีพระองค์อยู่ตามลำพัง
สิ่งที่ท่านทำก็คือ นึกถึงบุญบารมีความดี ท่านก็นิ่งเฉยๆ ไม่สู้ ไม่หนี
นึกถึงแต่บุญบารมีของท่านเรื่อยไป และตอนสุดท้ายก็ชนะพญามารได้
แล้วก็ได้โอกาสในการหยุดในหยุด กระทั่งบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องตรึกนึกถึงบุญทุกบุญให้มารวมเป็นดวงบุญ
ใสๆ และใจสบาย เยือกเย็น ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ นะ ให้ใจใสๆ
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2565