มหาอุบาสิกาแก้วที่แท้จริง
วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๓ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน
๑๐๐,๐๐๐ คน ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
หลับตาพอสบายๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท ในระดับที่เราปรือๆ ตานิดหนึ่ง ให้ขนตาชนกัน นิดๆ
พอสบายๆ หลับตาพริ้มๆ ผ่อนคลาย ถ้าเราหลับตาเป็น เดี๋ยวเราจะเห็นภาพภายใน
เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามไปนะลูกนะ
แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ให้ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวเลย ต้องผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเรา ศีรษะ ลำคอ
บ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวของเรา
ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย
ทุกส่วนทุกอย่างในร่างกายของเราต้องผ่อนคลาย
ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราตึงหรือเกร็ง ต้องผ่อนคลาย
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลจากทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง
ครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ เราทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
ไม่ผูกพันกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ตัดใจเหมือนตายจากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว
ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ
โอวาทก่อนบวชอุบาสิกาแก้ว
วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเราวันหนึ่ง
เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตของเรา ที่เราได้ให้โอกาสตัวเองมาบวชเป็นอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนแห่งพระรัตนตรัยนี้
เหมือนการบวชของการเป็นสามเณร หรือการเป็นสมณะ
เป็นพระแท้ เป็นสายโลหิตแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเพศของอุบาสิกา เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา แม้กายภายนอกเราจะไม่ได้ครองผ้ากาวพัสตร์
แต่เราสามารถบวชภายในได้ นำใจของเรากลับเข้าไปสู่ภายในได้
ไปสู่ที่ตั้งดั้งเดิมซึ่งเป็นที่สิงสถิตแห่งพระรัตนตรัยในตัวของเรา
ลูกทุกคนต้องมีความปีติและภาคภูมิใจที่เราได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ
เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธสาวิกา สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเพศของอุบาสิกา
เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องบวชให้ได้ ๒ ชั้น อย่างถูกหลักวิชชา คือ ไม่ตั้งใจจนเกินไปจนกระทั่งบีบคั้นตัวเอง
ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
ในช่วงนี้อยู่ในช่วงที่เรากำลังผ่อนคลาย
ปล่อยวาง ทำใจให้ใสๆ เบิกบาน ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้เราจะได้บวช ๒ ชั้น ยกตนขึ้นเป็นพุทธสาวิกาที่แท้จริง ใจต้องใสๆ
เยือกเย็น
วางใจ
น้อมใจกลับมาหยุดนิ่งภายในที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ
ว่า อยู่ในบริเวณกลางท้อง เอาความรู้สึกทั้งหมดมาไว้ในกลางกายของเราอย่างสบายๆ
ต้องอย่างสบายๆ สบายทั้งกาย สบายทั้งใจนะลูกนะ
บริกรรมนิมิต
(ฝึกไล่ฐาน)
โดยกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
นึกเป็นภาพในใจ จะเป็นดวงแก้วใสๆ หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ที่ต้องนึกของใสๆ เพื่อให้ใจของเราใส
สะอาด บริสุทธิ์ตามไปด้วย เอาอย่างเดียว เราชอบอย่างไหน ถนัดอย่างไหน
นึกอย่างไหนได้ง่ายเราก็เอาอย่างนั้น
เช่น สมมติว่า เรานึกดวงแก้วง่าย
คล้ายๆ ก้อนน้ำแข็งที่เอามากลึงแล้วให้มันกลมๆ ใสๆ หรือนึกเหมือนเพชรใสๆ ให้มันกลมๆ
ใสๆ ต้องค่อยๆ นึกอย่างเบาๆ สบายๆ พร้อมกับผ่อนคลายร่างกายเราไปด้วย นึกอย่างเบาๆ สบายๆ แล้วก็ต้องใจเย็นๆ นึกถึงดวงแก้วใสๆ
สบาย ใจเย็นๆ
แล้วเราลองนึกว่า ดวงแก้วที่อยู่ในกลางท้องระดับเหนือจากสะดือ
ถ้าเราลองเลื่อนไปอยู่ที่ระดับเดียวกับสะดือ
เรานึกได้อย่างง่ายๆ ไหม
หรือนึกขึ้นมาที่ปากช่องคอ
เหนือลูกกระเดือก นึกได้ไหม
นึกไปที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
เรานึกได้ไหม
นึกมาที่กลางกั๊กศีรษะ
ระดับเดียวกับหัวตา
หรือนึกมาไว้ที่หัวตาข้างซ้าย
นึกไปที่ปากช่องจมูกซ้ายของเรา
เพราะเราเป็นผู้หญิงนึกข้างซ้าย นึกได้ไหม ให้นึกง่ายๆ อย่างสบายๆ ด้วยใจใสๆ เย็นๆ
นึกให้ใสๆ อย่างสบายๆ
คราวนี้เราเริ่ม นึกที่ปากช่องจมูก
นึกถึงเพชรใสๆ หรือก้อนน้ำแข็งใสๆ ให้ขนาดพอที่จะลอดปากช่องจมูกได้ (ฐานที่ ๑) พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหังๆๆ
แล้วก็ทดลองเลื่อนเข้ามาอยู่ที่หัวตาข้างซ้าย
(ฐานที่ ๒) นึกเบาๆ สบายๆ
ถึงบริกรรมนิมิตใสๆ นี้ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
แล้วเราก็ช้อนตาเหลือกค้างขึ้นไปเพื่อให้ความเห็นกลับเข้าไปข้างใน
ให้ภาพมันกลับเข้าไปข้างใน แล้วก็ปล่อยตาลงธรรมดามาอยู่ที่ ฐานที่ ๓ ที่กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับบริกรรมภาวนา
แล้วก็เลื่อนมาที่เพดานปาก
ช่องปากที่อาหารสำลักตรงนั้นเป็น ฐานที่ ๔
แล้วก็เลื่อนลงไปที่ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก
เป็น ฐานที่ ๕ สัมมาอะระหังๆๆ ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
แล้วก็ค่อยๆ นึกว่า
กลืนลงไปในท้องเลยไปอยู่ในระดับเดียวกับสะดือของเรา (ฐานที่
๖) ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังๆๆ
แล้วก็เลื่อนขึ้นมาเหนือฐานที่
๖ นี้ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เป็น ฐานที่ ๗
ฐานที่ ๗ ตำแหน่งหยุดใจของพระอริยเจ้า
ฐานที่ ๗ ซึ่งตำแหน่งตรงนี้สำคัญมาก
นอกจากเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของเราแล้ว ยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ตำแหน่งเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ใจท่านเอามาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
นิ่งอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้บรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นลูกก็เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ให้ได้ตลอดเวลาเลย
เพราะพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ท่านดับทุกข์ได้ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ท่านหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ท่านไปนิพพานได้
ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ท่านเข้าถึงบรมสุขได้ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ที่ท่านบรรลุวิชชา
๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ วิโมกข์ ๘ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
วิชชา ๓ คือ การระลึกชาติหนหลังได้
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ท่านบรรลุจุตูปปาตญาณ
เห็นการเวียนว่ายของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เห็นภพภูมิต่างๆ ก็เพราะใจท่านหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ท่านขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปก็เพราะใจหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ก็แปลว่า วิชชาของท่านเกิดขึ้นเมื่อใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
วิชชา
กับ อวิชชา
วิชชา ตรงข้ามกับ อวิชชา
อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้การเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม
ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นจากทุกข์อย่างไร
อวิชชา แปลว่า สิ่งที่ทำให้ใจมืด
เหมือนเราเดินในที่มืด เราก็มองเห็นอะไรไม่ถนัด หรือไม่เห็นอะไรเลย ก็จะเดินผิดเดินถูกอย่างนั้นแหละ
จะเข้าถึงวิชชาได้ก็ต้องเอา
อ.อ่างออก
วิชชา แปลว่า ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
คนเราจะเห็นอะไรแจ่มแจ้งมันต้อง มีแสงสว่าง
เหมือนเราดึงออกจากที่มืดมากลางแจ้ง
กลางแดด กลางแสงสว่าง เราก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจน และก็รู้ว่ามันเป็นอะไร
วิชชาแปลว่าความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งก็คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ
เราจะเอา
อ.อ่าง ออกให้เหลือแต่คำว่า วิชชา ทำได้ด้วยวิธีเดียวคือ เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้แหละ
อวิชชาจะถูกเปลี่ยนเป็นวิชชา ก็เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
ถ้าใจไม่หยุด มันหลุดจากฐานที่
๗ ตรงนี้ ไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ คน สัตว์ สิ่งของ สิ่งมีชีวิต
สิ่งไม่มีชีวิตอะไรต่างๆ เพราะใจมันหลุดจากตรงนี้ ความรู้แจ้ง
เห็นแจ้งแทงตลอดในเรื่องราวต่างๆ ในธรรมทั้งปวงจึงไม่เกิดขึ้น ใจก็หลุดออกไปวิ่งไปตามความทะยานอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญา
หลุดออกไปอย่างนั้น เขาเรียกว่า อวิชชา
ทำให้เราไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ก็ดำเนินชีวิตผิดพลาด
การดำเนินชีวิตผิดพลาดก็เป็นอันตรายต่อตัวเอง
ทำให้ไปอบาย ทำให้ไม่สมหวังในชีวิต เราอยากมีความสุข ความสมหวังในชีวิต แต่เราไม่รู้ว่าเราจะทำอย่างไร
เพราะใจมันอยู่นอกตำแหน่ง นอกฐานที่ ๗ มันไปติดข้างนอกด้วยความทะยานอยาก เพราะฉะนั้นความอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญาจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์
ถ้าเลิกอยาก
ลาหยอก ออกจากกาม เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็เดินตามศีล สมาธิ ปัญญาเรื่อยไป
เราก็จะสมหวังในชีวิต คือ เราจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง
ความบริสุทธิ์ของใจ แสงสว่างภายในจะเกิด แล้วเราก็จะเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไปตามความเป็นจริง
จะได้เดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับเข้าไปสู่จุดเริ่มต้นดั้งเดิมได้
พระรัตนตรัยภายใน
ดังนั้น ลูกก็ต้องเอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
จึงจะได้ชื่อว่า เป็นมหาอุบาสิกาแก้วที่แท้จริงที่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ หรือไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย
พระรัตนตรัยในที่นี้
ก็หมายถึงพระรัตนตรัยในตัว พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ
พุทธรัตนะ คือ ธรรมกาย
พระธรรมกายที่อยู่ในตัวของเรา
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบานแล้ว
รัตนะ แปลว่า แก้วที่ใสบริสุทธิ์
สว่างใส
ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็
พระแก้ว พระธรรมกายที่เป็นแก้วใสอยู่ในตัว คือ ตัวพุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ ก็จะเป็นดวงใสๆ
ซึ่งเก็บความรู้ เป็นคลังแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของท่านผู้รู้ จะเป็นดวงใสๆ
อยู่ในกลางพระธรรมกาย กลางพุทธรัตนะนั้น
สังฆรัตนะ ก็จะเป็นธรรมกายละเอียด
อยู่กลางธรรมรัตนะ รักษาธรรมรัตนะเอาไว้
เหมือนพระสงฆ์ทรงจำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้
๓
อย่างนี้แยกออกจากกันไม่ได้ แม้เรียกชื่อกันคนละอย่าง เพราะหน้าที่คนละอย่าง
แต่ต้องไปพร้อมกัน เหมือนเพชรที่ดีทั้งแววดี
สีดี ทั้งความใสไปพร้อมๆ กัน
มหาอุบาสิกาแก้วที่แท้จริง
มหาอุบาสิกาแก้ว คือ ผู้ที่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ
พระรัตนตรัย คือ ใจของเรา ที่กายภายนอกเป็นผู้หญิงมาอยู่ใกล้ๆ
เห็นองค์พระชัดใสแจ่ม เห็นรัตนะทั้ง ๓ อยู่ตำแหน่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
เรียกว่า เข้าไปใกล้ คือ มองเห็น เหมือนเรามองเห็น แต่มีระยะอยู่ มีช่องว่างแห่งการเห็น
เหมือนเราลืมตาเห็นพระพุทธรูปอย่างนั้น
แต่ถ้าเป็นมหาอุบาสิกาแก้วที่แท้จริง
ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระแก้วใส หรือพระธรรมกายภายใน คือ ไม่ใช่มองห่างๆ
แต่ว่าใจของเรากับใจของท่านซ้อนสนิทกัน จนกระทั่งกายของท่านขยายมาเป็นกายของเรา
เราเป็นท่าน ท่านเป็นเรา อย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นมหาอุบาสิกาแก้วที่แท้จริง
ผู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย ถ้าระดับย่อมลงมาก็ไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย ถ้าสมบูรณ์ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย
อานิสงส์ บวช ๒ ชั้น
วันนี้ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญมาก
ได้ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง มาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ เพื่อที่จะเข้าไปนั่งใกล้
ไปอยู่ใกล้ๆ พระรัตนตรัยในตัว เพื่อที่จะไปเป็นอันหนึ่งกับพระรัตนตรัยในตัว
ถ้าเราเป็นหนึ่งได้
จึงจะได้ชื่อว่า บวชภายใน เป็นอุบาสิกาแก้วที่แท้จริง ได้บวชภายในคือภายนอกเป็นผู้หญิง
แต่ภายในเป็นพระ ภายนอกเราก็สมาทานศีล ๘ ที่พระศีลาจารย์ท่านประทานศีลให้
ภายในเราก็เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว อย่างนี้จึงจะเรียกว่า บวช ๒ ชั้น ซึ่งมีอานิสงส์เป็นอสงไขยอัปปมาณัง
จะนับจะประมาณมิได้
อานิสงส์นี้ก็จะไปตัดรอนวิบากกรรมที่เราทำไว้ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน
หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ร้ายกลายเป็นดี
จนกระทั่งบุญส่งผลให้เรามีความสุขความสำเร็จในชีวิต ปิดอบาย ไปสวรรค์
มีสุขในปัจจุบัน ดับทุกข์ได้ บรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นเดียวกับพระอรหันต์เถรีในกาลก่อน
อีกทั้งบุญนี้ก็จะไปถึงแก่บิดามารดาที่ท่านได้ให้กำเนิดชีวิตของเรา
ให้โอกาสเราได้มาเกิดได้มาบวชเป็นอุบาสิกาแก้ว ณ วันนี้
เพราะฉะนั้น ลูกหญิงทุกคนจะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ให้ได้อย่างง่ายๆ สบายๆ ด้วยการตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือใครเข้าถึงองค์พระแล้ว
หรือนึกองค์พระก็ตาม ก็ทำในทำนองเดียวกัน ก็นึกถึงพระแก้วใสๆ อย่างสบายๆ
ถ้าเห็นดวงแก้วก็ดูดวงแก้ว
ถ้าเห็นองค์พระก็ดูองค์พระ นึกองค์พระแต่กลายเป็นดวงแก้วก็ดูดวงแก้ว นึกดวงแก้วแต่เห็นองค์พระเราก็ดูองค์พระ จะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมาทั้งสองอย่างดูไปเรื่อยๆ
นะลูกนะ
ส่วนคำภาวนา สัมมาอะระหัง
นี้ ภาวนาไปจนกว่าใจของเราไม่อยากจะภาวนาต่อไปอีก คือ อยากอยู่เฉยๆ หยุดนิ่งเฉยๆ
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้เมื่อใด เราก็ไม่ต้องภาวนาสัมมาอะระหังอีกต่อไป
ให้หยุดใจนิ่งๆ อย่างเดียว ให้หยุดนิ่งเฉยอย่างสบายๆ ใจเย็นๆ
วันนี้เราจะบวช ๒
ชั้นให้ได้ ทุกอิริยาบถก่อนถึงเวลาที่เราจะบวช จะนั่งจะยืนและทำภารกิจอะไรก็ตามก็ต้องตรึกไว้ที่ศูนย์กลางกายเอาไว้เรื่อยๆ
ตรึกไว้ตรงนี้ พูดให้น้อยที่สุด พูดให้พอดีๆ ทุกอย่างพอดีๆ เพื่อที่จะประคองใจของเราให้ใสๆ
หยุดนิ่งอย่างสบายๆ บวช ๒
ชั้นให้ได้เพื่อประวัติศาสตร์ชีวิตแห่งการมาเกิดสร้างบารมีของเราในคราวนี้ให้ได้เป็นอัศจรรย์
เช้านี้ อากาศกำลังสดชื่น
แจ่มใส เย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกหญิงผู้มีบุญทุกคนจะได้ประคับประคองใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
อากาศกำลังดี กำลังสบาย ก็ทำให้ถูกหลักวิชชา
ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565