หยุดนิ่งอย่างเดียว
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก
พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ หลับพอสบายๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นในคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องร่างกายของเรา หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรา
ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน ใส บริสุทธิ์ เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายลูกโป่ง หรือท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
วางใจ
คราวนี้เราก็รวมใจที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ
รวมกลับมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เราเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ แล้วก็ที่ตื่น ที่สำคัญคือเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเริ่มหยุดใจอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ใครรู้จักฐานที่
๗ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ นี้ เราต้องทำความรู้จักและให้ความสำคัญ เพราะตรงนี้เป็นที่สำคัญ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ที่เกิด ที่หลับ ที่ดับ ที่ตื่น ทางดับทุกข์ ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเริ่มต้นอยู่ที่ตรงนี้
เริ่มต้นหยุดใจอยู่ที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น
ใครรู้จักว่า
ฐานที่ ๗ เป็นที่หยุดใจ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้มีบุญบารมีมาก
ใครหยุดใจได้ ก็ได้ชื่อว่า สมหวังในชีวิต ประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับหนึ่งทีเดียว
เพราะฉะนั้น ให้รวมใจมาหยุดนิ่งๆ
อยู่ที่ตรงนี้นะ แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ นั้น เราไม่ต้องไปกังวลกับศูนย์กลางกายฐานที่
๗ มากเกินไปว่า เราเอาใจมาหยุดนิ่งๆ ตรงนี้ มันตรงเป๊ะเลยไหมกับฐานที่ ๗ เอาแค่ประมาณเอา
กะๆ เอาว่า อยู่แถวๆ บริเวณของกลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือแถวนี้ ทำความรู้สึกว่า
ใจมาอยู่ที่ตรงนี้ แม้ความจริงมันอาจจะไม่ตรงเป๊ะเลยกับฐานที่ ๗ ก็ไม่เป็นไร เพราะเรายังเป็นผู้ฝึกอยู่
ยังเป็นนักเรียนอยู่
บริกรรมนิมิต
ตอนนี้ เราก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ
ที่กลางท้อง ทำความรู้สึกตรงนี้ว่า กลางท้องของเรานั้นมีดวงกลมๆ ใสๆ คล้ายเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือจะใหญ่เล็กกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่ใจของเราชอบนะจ๊ะ
เรามากำหนดนึกสมมติสร้างมโนภาพขึ้นทางใจ
ซึ่งเรียกว่า บริกรรมนิมิต ให้ภาพนิมิตนี้
เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจจะได้ไม่ฟุ้งคิดไปในเรื่องอื่นที่ไม่มีสาระแก่นสาร ซึ่งเราก็คิดกันมาตั้งแต่เกิดเรื่อยมา
คือ ค่อยๆ คิดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำให้ชีวิตนั้นมีแต่ความทุกข์ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
เศร้า ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม จนกระทั่งไปหาทางผ่อนคลายด้วยการหาสิ่งที่เพลิดเพลินกันไปวันๆ
ไปตามรสนิยม แล้วก็เข้าใจผิดว่า นั่นคือความสุข แต่ความจริงไม่ใช่ มันแค่ความเพลิน
ให้มันหมดเวลากันไปวันต่อวันของชีวิตเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เราเอาใจมาหยุดนิ่งๆ
ตรงนี้ นึกถึงดวงใสๆ หรือเพชรสักเม็ดหนึ่งกลมรอบตัวขนาดไหนก็ได้ อยู่ตรงกลางท้องของเรา
ให้นึกอย่างสบายๆ คล้ายๆ กับนึกถึงสิ่งที่เราชอบ เรารัก เราคุ้นเคย ให้นึกธรรมดาอย่างนั้นนะ
การนึกนิมิต
สิ่งใดที่เราคุ้นมันก็นึกได้ง่าย
ได้ชัดเจน มากกว่าสิ่งที่ไม่คุ้น อย่างเรานึกถึงดวงแก้ว หรือเพชรสักเม็ดหนึ่ง เราคุ้นกับเพชร
น้ำแข็งใสๆ แต่เราคุ้นกับการนึกที่สมองหรือนึกภายนอก ไม่คุ้นกับการนึกภายในกลางท้อง
เพราะฉะนั้นใหม่ๆ มันก็นึกได้ยากสักนิดหนึ่ง
คำว่า ยาก ในที่นี้คือ จะให้ชัดเจนเหมือนสิ่งที่เราคุ้นเคย
มันคงยากในตอนแรก แต่ยากไม่มาก สิ่งที่เราจะต้องทำคือ นึกได้แค่ไหนก็นึกไปแค่นั้นก่อน
อย่างสบายๆ ไม่ชัดเจน ไม่เป็นไร ทำให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ
หรือจะนึกเป็นภาพองค์พระก็ได้
นึกอย่างสบายๆ ให้ต่อเนื่องกันไป พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ ปางสมาธิ หรืออิริยาบถท่านนั่งสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับเรา เหมือนเรามองด้านบนลงไป ด้านท็อปวิวอย่างนั้น ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
อย่างใดอย่างหนึ่งนะจ๊ะ
นึกไป เพื่อให้ใจเราหยุดนิ่งๆ
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใจหยุดจะทำให้เราได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง และจิตก็จะถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ในระดับที่เราเห็นความบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นมาชัดเจน
เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เป็นดวงใสๆ และหลังจากนั้นเราก็ดูไปเรื่อยๆ
บริกรรมภาวนา
ระหว่างที่เรานึกถึงบริกรรมนิมิตนี้
แต่ใจอดไม่ได้ที่จะฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราก็จะต้องประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
โดยให้เสียงคำภาวนามันดังออกมาจากในกลางท้องจากกลางบริกรรมนิมิต กลางดวงแก้วหรือองค์พระดังกล่าว
เราภาวนาในใจเบาๆ สบาย ว่าสัมมาอะระหังๆๆ อย่าให้เร็ว อย่าให้ช้านัก เอาพอดีๆ พอดีในระดับที่ใจสบาย
ทุกครั้งที่เราภาวนา
สัมมาอะระหัง จะต้องไม่ลืมนึกถึงภาพบริกรรมนิมิต ดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ควบคู่กันไปให้ต่อเนื่อง สัมมาอะระหัง อย่างนี้ไปเรื่อยๆ กี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะเกิดความพึงพอใจสูงสุด
แล้วเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ อย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องหวนคืนมากลับมาภาวนาใหม่ แต่ถ้าใจฟุ้งไปคิดเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ สนุกสนาน
เพลิดเพลินอะไรก็แล้วแต่ จึงย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ก็ทำกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ
แต่ถ้าใครถนัดที่จะวางใจนิ่งเฉยๆ
โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย และใจไม่ฟุ้งด้วย ก็จะกำหนดใจหยุดใจนิ่งเฉยๆ ทำความรู้สึกไว้ที่กลางท้องอย่างนี้อย่างเดียวก็ได้
หรือจะไม่นึกอะไรเลย แล้วภาวนา สัมมาอะระหัง อย่างเดียวก็ได้ วัตถุประสงค์ก็ต้องการให้ใจมาหยุดมานิ่งตรงนี้
อย่าสงสัย
ทีนี้ ถ้าใจหยุดนิ่งไปได้ระดับหนึ่ง
ภาพนิมิตมันเกิดขึ้นมาเป็นดวงใสๆ องค์พระใสๆ ก็ให้ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ อย่าเสียเวลาคิดว่า เอ๊ะ นี่เรานึกไปเองมั้ง เราถึงได้เห็น
มันจะนึกไปเอง หรือไม่ได้นึกและเห็นเอง มันก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น เราควรจะดูต่อไปเรื่อยๆ
อย่าลืมว่าแต่ก่อนเรานึกเอง มันยังไม่เห็นเลย แต่พอเห็นเอง มันง่ายเสียจนเราสงสัย
พอภาพมันเกิดขึ้น
จะเกิดด้วยการนึกขึ้นมาเอง หรือเห็นขึ้นมาเองก็ตาม ให้ดูไปเฉยๆ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปสงสัยว่า
คิดเองหรือเห็นเอง ใช่ของจริงไหม หรือว่าไม่ใช่ มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะไปวิเคราะห์
วิจัย วิจารณ์ ประสบการณ์ นั่นเป็นเรื่องของระดับธรรมะขั้นสูงขั้นละเอียดไปแล้ว
แต่ตอนนี้เราเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เราก็ต้องเรียนแบบนักเรียนอนุบาล เมื่อเราเห็นภาพภายใน เราก็ไม่ต้องไปสงสัย ไปแสวงหาคำตอบว่า
เราคิดขึ้นมาเอง หรือเห็นขึ้นมาเองจริงๆ อย่าไปคิดนะลูกนะ เพราะฉะนั้น มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
อย่างนี้จึงจะถูกหลักวิชชา
หรือบางทีภาพไม่ปรากฏ
แต่ความสว่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ข้างหน้า ก็ไม่ต้องไปสงสัยว่า ใครเอาไฟมาส่องหน้า
หรือถ้ามันสว่างไปทั่วก็อย่าไปนึกว่า เอ๊ะ ใครเปิดไฟเอาไว้ ไม่ต้องไปนึกไม่ต้องไปคิดอะไร
หรือถ้าสว่างกลางกาย กลางท้อง ก็ไม่ต้องไปสงสัย เอ๊ะ มันสว่างได้อย่างไร แสงมาจากไหน
ความสงสัย
คือ การเอาใจมาคิดแล้ว แปลว่า ใจเริ่มเคลื่อนจากสมาธิ จากในระดับที่ดีมาเริ่มมาสู่ระดับที่กำลังจะแย่แล้ว
หยุดนิ่งอย่างเดียว
สิ่งที่เราจะต้องทำคือ
หยุดใจนิ่งอย่างเดียว อย่าไปฝืนในทุกๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นความโล่ง
โปร่ง เบาสบาย ตัวหายไป หรือตัวขยายจนหายไป หรือแสงสว่าง หรือเห็นดวงใสๆ องค์พระใสๆ
หรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ เราอย่าไปฝืนประสบการณ์
ตอนนั้น อย่าลืมตา
อย่าขยับตัว แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องกลัวเป็นบ้า คนบ้านั่งไม่ได้ แล้วเรารู้ตัวเราเองก่อนนั่งว่า
เราบ้าหรือเปล่า ไม่ต้องกลัวตาย คนเราจะตายมันต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องไข้ซะก่อน นี่ร่างกายเรามันยังแข็งแรง
ไม่ต้องกลัวหลุดไปเลย หรือจะกลับมาไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลา อย่างไรมันก็ต้องกลับมา
อย่าไปกลัวว่า จะเห็นภาพที่ไม่ดี ทำให้ตกใจ คือจะเป็นภาพที่สวยงาม หรือไม่สวยงาม จะเป็นสุภะหรืออสุภะ
เราดูไปเฉยๆ มีหน้าที่เป็นผู้ดูที่ดี ดูเหมือนดูทิวทัศน์
สมมติว่า ภาพมันเกิดมา
จะเป็นภาพอะไรก็ตาม คือ เรากำหนดเบื้องต้นเป็นดวงแก้ว เป็นองค์พระ แต่เกิดไปเห็นเป็นภูเขา
เป็นต้นไม้ เป็นก้อนเมฆ เป็นทะเล เป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปคิดว่า เรานั่งไม่ถูกทาง
ไม่ถูกวิธี หรือนั่นไม่ใช่ นั่นคือช่วงที่ใจกำลังเดินทาง เป็นขั้นตอนของสมาธิ ให้เราดูภาพเหล่านั้นไปเรื่อยๆ
เหมือนดูทิวทัศน์ เมื่อเรานั่งรถผ่านทิวทัศน์ต่างๆ เราก็ดูไป เรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวภาพเหล่านั้นมันก็จะเปลี่ยนไปสู่ภาพที่เราต้องการในที่สุด
นี่คือสิ่งที่ลูกทุกคนจะต้องจำคำที่แนะนำในทุกๆ
ถ้อยคำ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกทุกคน จำแล้วก็เอาไปทำ เอาไปปฏิบัติ อย่าทำที่นอกเหนือจากนี้
มันจะทำให้เสียเวลาของการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งน่าเสียดายว่า
เราให้โอกาสตัวเองมาหลับตาทำภาวนาแล้ว พอกำลังจะดีอย่างนี้ เราก็เลิกเสีย สงสัยขึ้นมา
ไม่เข้าใจอะไรต่างๆ เหล่านั้น
ตอนนี้เรายังไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจอะไรที่มากไปกว่านี้
นอกจากเข้าใจตามที่หลวงพ่อได้แนะนำแค่นี้ อย่างนี้ไปก่อน เพราะเราเป็นนักเรียนอนุบาล
เราก็ต้องทำตัวทำใจของเราให้อินโนเซ้นท์เหมือนเด็กนักเรียนอนุบาล แล้วลูกทุกคนจะสมปรารถนา
จะมีความสุขที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต และหาความสุขชนิดนี้จากที่อื่นไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ วาสนา คนยกย่องชื่นชมอะไรต่างๆ
เหล่านั้น เป็นต้น มันไม่มีในสิ่งนั้น แต่มีอยู่ที่หยุดกับนิ่งของใจเรา ตรงกับพระบาลีที่ว่า
นตฺถิ
สนฺติปรํ สุขํ ความสุขที่แท้จริงมีอยู่ที่หยุดกับนิ่งเท่านั้น
หยุดใจเท่านั้นถึงจะเข้าถึงได้
ธรรมะเป็นของลึกซึ้งแต่เข้าถึงได้
ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญ
ที่ได้สั่งสมบุญมาอย่างดีแล้ว จึงมาได้ยินได้ฟังแล้วให้โอกาสตัวเองในการทำความเพียร
ในการฝึกใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของการมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละชาติ
เพราะฉะนั้นลูกจะต้องมั่นใจว่า ลูกคือผู้มีบุญ มีบารมีที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว เหลืออย่างเดียวให้มีความเพียร
ให้ขยัน และทำให้ถูกหลักวิชชา
จำให้ได้ทุกคำที่ได้แนะนำ
ฟังดูเผินๆ เหมือนเป็นคำเรียบๆ ง่ายๆ ไม่น่าจะมีอะไรสำคัญ และยิ่งเราเคยได้ยินได้ฟังว่า
ธรรมะเป็นของลึกซึ้ง คงเข้าถึงยาก คงจะต้องแบกกลดเข้าป่า ปลีกวิเวก นั่นถูกส่วนหนึ่ง
แต่ไม่ทั้งหมด ความจริงแล้วธรรมะเป็นของลึกซึ้งแต่เข้าถึงได้
ถ้าเรานึกถึงในสมัยพุทธกาล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แสดงธรรมอยู่ในธรรมสภา ในวัดเชตวัน และมีพุทธบริษัท ๔ เข้ามานั่งฟังธรรม
และปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์ท่าน ได้บรรลุธรรมาภิสมัย คือ ได้เข้าถึงไตรสรณคมน์
ถึงพระรัตนตรัยในตัวก็เยอะ เป็นพระอริยบุคคลก็มาก ทั้งพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีก็มี
เป็นพระอรหันต์ก็มี
เพราะฉะนั้น
ธรรมะแม้เป็นของลึกซึ้ง แต่ก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ
ถ้ารู้หลักวิชชาและมีความเพียร ประกอบกับต้องมีบุญเก่าที่สั่งสมมา
บุญเก่าของลูกทุกคนมีมากพอแล้วที่จะเข้าถึงได้ ถ้ามีบุญน้อยก็ไม่อาจที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้
หรือนั่งปฏิบัติอยู่ที่หน้าจานดาวธรรมได้ เพราะว่ามันจะไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
แต่นี่เรามีบุญถึงในระดับที่จะเข้าถึงแล้ว ดังนั้นปัญหาเรื่องนี้ตัดทิ้งไปเลย ในข้อสงสัยว่า
เรามีบุญเพียงพอไหม เหลือแต่เพียงให้มีความเพียร ขยัน และทำถูกหลักวิชชา ต้องเข้าถึงอย่างแน่นอน
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
ไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่อ้าวเกินไป เหมาะสมที่ลูกทุกคนจะเข้าถึงธรรม ให้ตั้งใจทำความเพียรตามหลักวิชชา
และก็ขอให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565