ต้องมีอิทธิบาท ๔
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๐(๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ทำตาปรือๆ
ไม่ถึงกับปิดสนิท หลับตาพริ้มๆ นั่งหน้ายิ้มๆ
ให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย
ให้สบาย ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
ตึง เกร็ง หรือเครียด ผ่อนคลายให้หมดทุกส่วน
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเรา ให้ว่างๆ
สมมติว่า ภายในร่างกายของเรา
ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
กลวงภายในคล้ายลูกโป่ง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ
วางใจ
รวมใจหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
สมมติว่า เราขึงเส้นด้าย ๒ เส้น จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ จุดเริ่มต้นสู่อายตนนิพพาน
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นที่มาเกิดไปเกิดของเรา เกิด ดับ หลับ ตื่น หลับตรงนี้ ตื่นตรงนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายเริ่มนำใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ปล่อยวางทุกสิ่ง
ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งชีวิตของท่าน เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่กระดูกหนังก็ช่าง
ถ้าไม่บรรลุธรรมที่จะดับทุกข์ได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ก็จะไม่ลุกจากที่
ท่านสละหมด
ปล่อยวางหมดแม้กระทั่งชีวิต เพราะฉะนั้นอะไรที่นอกเหนือจากชีวิต ก็แปลว่า ท่านสละไปหมดแล้ว
ไม่ยึดมั่นถือมั่น หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในบริเวณกลางท้อง เหนือสะดือ
๒ นิ้วมือ ซึ่งเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของใจเรา ก่อนที่จะถูกกิเลสตัณหาพาใจให้เตลิดเปิดเปิง
ทะยานอยากไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ จะหยุด และต่อจากนั้น ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย
ทำใจหยุดนิ่งเฉยๆ อย่างเดียว ไม่นึก ไม่คิด อะไรทั้งสิ้น ปล่อยวางหมด
ใจถูกส่วนเข้าถึงดวงธรรม
พอถูกส่วน ใจจะตกศูนย์ไปที่ฐานที่
๖ ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ที่ขึงจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย แล้วจะไปยกเอาดวงธรรม หรือดวงธรรมจะลอยปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
เกิดขึ้นเอง
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านั้น ใสเกินใส เกินความใสใดๆ ในโลก
ใสกว่ากระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า ใสกว่าน้ำใส ใสกว่าเพชรใสๆ ที่ต้องแสง ใสเกินความใสใดๆ
ในโลก อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านั้น แล้วแต่บารมีที่สั่งสมมา หรือบางทีก็โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ แต่ว่าใสบริสุทธิ์
จุดเริ่มต้น
ของเส้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน หรือต้นทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นดวงใส ๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค แปลว่า ต้นทางของพระอริยเจ้า ต้นทางของอริยมรรค
ทางบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือบางครั้งเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฎฐาน
ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฎฐาน เป็นดวงใสๆ
ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีการใดซึ่งมีมากมายในวิสุทธิมรรค
อย่างน้อย ๔๐ วิธี นอกวิสุทธิมรรคก็มีอีกมาก จะปฏิบัติหรือฝึกอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ายังหยุดนิ่งไม่ถูกส่วน
ก็จะไม่เห็นปฐมมรรค เข้าไม่ถึงดวงปฐมมรรค
เมื่อเข้าไม่ถึงดวงปฐมมรรค
ก็ไปนิพพานไม่ถูก แต่จะปฏิบัติด้วยวิธีการใดก็ตาม ใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วนที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ แล้วดวงธรรมปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นดวงใสๆ การไปสู่อายตนนิพพานก็อยู่ในกำมือ แปลว่า ยืนยันได้ว่าจะต้องบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านใช้วิธีการอย่างนี้
มรรคผลนิพพานเป็นอกาลิโก
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวของเรา
ในตัวของมวลมนุษยชาติทุกคนในโลก เมื่อของมีอยู่ในตัวอย่างนี้ แปลว่า การบรรลุมรรคผลนิพพานไม่พ้นสมัย
แต่ว่าใหม่เสมอ เป็นอกาลิโก ไม่เกี่ยวเนื่องกับกาลเวลา เพราะมีอยู่แล้วในตัวของเรา
เหลืออย่างเดียว
ต้องมีความเพียรให้กลั่นกล้า อย่างจริงจังต่อเนื่อง ด้วยอิทธิบาท ๔ แล้วก็ทำให้ถูกหลักวิชชา
คือ หยุดใจ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ตัดใจจากทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น เมื่อพิจารณา ด้วยความเป็นจริง จะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ
หรืออะไรก็ตาม ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ไม่มีสาระแก่นสารใด เหมือนต้นกล้วยที่ไม่มีแก่นสาร
ถ้าใครคลายความผูกพัน
ยึดมั่น ถือมั่น อย่างนี้ได้ ใจก็จะปล่อยวาง จะหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายตรงนี้ แล้วถูกส่วนก็เข้าถึงปฐมมรรค
ที่มาพร้อมกับความสุขที่ไม่มีประมาณ อย่างที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ใจก็จะดื่มด่ำในความสุขที่บังเกิดขึ้นมาพร้อมกับปฐมมรรค
หลังจากนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ใจจะถูกให้ดึงดูดหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางดวงปฐมมรรคเอง
ปล่อยไป อย่างที่ใจอยากจะเป็น
ถ้าใจเข้าถึงความพึงพอใจว่า อยากจะหยุดนิ่งอย่างนี้ อย่างเดียว โดยไม่ต้องการอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ใจก็จะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน ที่เขาเรียกว่า คมน์
ไตรสรณคมน์ หรือ คมน์
แปลว่า เคลื่อนเข้าไปสู่พระรัตนตรัยในตัว คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ
มีลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม คล้ายดอกบัวสัตบงกช
ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก อยู่บนจอมกระหม่อมที่เป็นลักษณะพิเศษของลักษณะมหาบุรุษ
บนพระเศียรที่มีเส้นพระศกหรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวัตร หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา
อย่างมีระเบียบ ตั้งอยู่บนพระวรกายที่งดงาม ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ในอิริยาบถนั่งสมาธิ ไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นอน เพราะว่าไม่ต้องทำกิจอย่างอื่นแล้ว
มีแต่หยุดใจนิ่งอย่างเดียวตรงกลาง ไม่เขยื้อน และหลังจากนั้นใจก็จะเคลื่อนต่อไป
วิปัสสนา
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งถึงพระอรหันต์
หยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ความเห็นแจ้งก็จะเกิดขึ้นที่เรียกว่า วิปัสสนา
วิ แปลว่า
วิเศษ แจ้ง ต่าง
ปัสสนา
แปลว่า การเห็น
เห็นแจ้งเกิดขึ้น
เพราะความสว่างภายในที่สว่างกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหลายเท่านัก เป็นแสงสว่างที่เย็นตา
ละมุนใจ ประกอบกับมีธรรมจักขุ ดวงตาที่เห็นได้รอบทิศของธรรมกาย ซึ่งเป็นตัวพุทธรัตนะ
เมื่อความเห็นแจ้งเกิด
ความรู้แจ้งก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมๆ
กัน ทำให้รู้เห็นอะไรไปตามความจริง และใจก็จะคลายความผูกพัน หลุดพ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่กิเลสขั้นหยาบ
กิเลสขั้นกลาง กิเลสขั้นละเอียด ที่เรียกว่า สังโยชน์ จะหลุดล่อนออกจากใจไป เข้าถึงธรรมตามลำดับ
ถึงกายธรรมพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวของเราทั้งสิ้น
จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
ต้องมีอิทธิบาท ๔
มรรคผลนิพพานจึงไม่จำกัดกาลเวลา
ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องกาลเวลา เกี่ยวข้องกับการขยัน ขี้เกียจ และทำถูกหลักวิชชาหรือไม่
ถ้ามีอิทธิบาท ๔ มีความรักสมัครใจที่จะสลัดตนพ้นจากกองทุกข์ และให้มีสติอยู่ที่กลางกาย
อยู่กับเนื้อกับตัว รักษาใจให้หยุดนิ่งกับตัวด้วยความสบายอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง หมั่นสังเกต
ก็จะพบเหตุแห่งการบกพร่อง และช่องทางแห่งความสำเร็จในการบรรลุมรรคผลนิพพาน
การปรับปรุงกายและใจเพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและถูกส่วนก็บังเกิดขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ
เราก็จะรู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง อย่างน้อยก็จะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจอันสูงสุด
จนกระทั่งไม่อยากได้อะไรอีกนอกจากใจหยุดกับนิ่ง
สุขอื่นนอกจากใจหยุดนิ่งไม่มี
จะทำให้ซาบซึ้งคำสอนของพระบรมศาสดาที่ว่า
นัตถิ สันติปะรัง สุขัง สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี
แปลว่า เราจะไปหาความสุข จากคน สัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ไม่มี ไปเที่ยวเตร่ สนุก เฮฮา เที่ยวชายทะเล น้ำตก ภูเขา ต่างประเทศ หรือจะไปดูก้อนอิฐก้อนหิน
ตึกรามบ้านช่อง หรือจะพบปะพูดคุยกับคนที่คุยถูกใจ ก็ไม่มีวันที่จะเจอความสุขที่แท้จริงได้
เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจหยุดใจนิ่งอยู่ในตัวของเรา ไม่มีใครให้เราได้
ความพึงพอใจอันสูงสุด
ไม่มีใครให้ได้ นอกจากเราทำเอง ด้วยตัวของเราเอง ต้อง อัตตาหิ
อัตตโน นาโถ ด้วยวิธีการหยุดใจนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
แล้วเราก็จะพบความสุขที่แท้จริง ดังที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า นัตถิ สันติปะรัง สุขัง สุขอื่นนอกจากใจหยุดใจนิ่ง นั้นไม่มี
แปลว่า เราจะหันกลับมามองเข้าไปภายใน ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ที่กลางกาย
ตรงนี้เท่านั้น แต่เราต่างมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไป ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้
ถึงเวลาสว่างแล้ว
มันหมดยุคที่เราจะลองผิดลองถูก หรือแสวงหาในสิ่งที่เราอยากได้ ด้วยวิธีการที่ผิด ๆ
หันกลับมาศึกษาวิธีการที่ถูกต้องตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้พบอย่างอัศจรรย์
การได้มาเกิดในชาตินี้
ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในบุญเขตร่มเงาคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีความรู้สึกปีติและภาคภูมิใจที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
มาพบ พระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธแท้
ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีผลแห่งการปฏิบัติ คือ มีประสบการณ์ภายในด้วยตัวเอง
มีปีติและภาคภูมิใจ
ชีวิตจะสมหวังเมื่อหยุดใจได้
วันใดที่ใจเราหยุดนิ่งได้
ชีวิตของเราสว่างแล้ว เราได้ชื่อว่า เราประสบความสำเร็จในชีวิต
ยิ่งกว่าการได้ทรัพย์สิน เงินทอง ภายนอก
ความรู้สึกได้ขุมทรัพย์อันประเสริฐ
คือ ได้อริยทรัพย์ เป็นเครื่องปลื้มใจของท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นเครื่องปลื้มใจของพระอริยเจ้า
ผู้ที่ผ่านชีวิตในสังสารวัฏมามาก เคยเกิดเป็นอะไรมาก็มากมาย แต่แล้วท่านก็เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สาระแก่นสาร
ในที่สุดก็พบว่า มีวิถีทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราสมหวังในชีวิต
คือ การหยุดใจนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เท่านั้น ความพึงพอใจอันสูงสุดก็จะเกิดขึ้น
ด้วยวิธีที่ประหยัดสุดและประโยชน์สูง ลัด ตรง เร็ว และง่าย
ต่อการที่เราจะสมหวังในชีวิต เราจะมีปีติและภาคภูมิใจที่ได้เกิดขึ้น
และนับจากวันแห่งความสว่างของชีวิตที่เกิดขึ้นจากใจหยุดนิ่ง สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเรา
จะเป็นบุตร ภรรยา สามี สมาชิกภายในครอบครัว แล้วจะขยายไปสู่เพื่อนบ้าน ทั้งหมู่บ้าน
ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ นานาชาติ และทั่วโลก ความสว่างนั้น เริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เพราะฉะนั้นการหยุดใจ นิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพื่อเราและชาวโลก
ธุระ
๒ อย่าง ของบรรพชิต
เช้านี้ อากาศกำลังสดชื่น
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้บำเพ็ญกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบรรพชิต จะได้ทำธุระที่สำคัญ
ซึ่งมีเพียง ๒ ประการ คือ คันถธุระ กับ
วิปัสนาธุระ
คันถธุระ เราได้ศึกษาไปแล้ว
ถึงขั้นที่จะต้องลงมือปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสนาธุระ
คือ กิจที่จะทำให้ความเห็นแจ้ง มันเกิดขึ้นภายในตัวของเรา นอกนั้นไม่ใช่ธุระ
ลูกทุกคนตั้งใจ ฝึกใจหยุด นิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ โดยจะวางใจ นิ่งเฉย ๆ หรือจะกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นดวงใส ๆ
คล้ายเพชรสักเม็ดหนึ่งก็ได้ อยู่ที่กลางท้องของเรา แล้วก็ประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ ว่า สัมมาอะระหังๆ อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าใจหยุดนิ่ง
จะทิ้งคำภาวนาไปเอง ให้ลูกทุกคน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ เช้านี้ขอให้สมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทุก ๆ คน
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565