แสงธรรมส่องทางชีวิต
วันอาทิตย์ที่
๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐(๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะถึงพื้นเท้า
ให้ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกร็ง ตึง หรือเครียด
แล้วทำใจของเราให้ใสๆ
เบิกบาน แช่มชื่น ปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน
บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน ครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
วางใจ
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่บริเวณกลางท้องของเรา
ให้ใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
แล้วก็นึกถึงภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงใกล้วันที่จะตอกเสาเข็มต้นสุดท้าย สถาปนาอนุสรณ์สถานมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ณ แผ่นดินเกิดของท่าน ด้วยรูปกายเนื้อ
ที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
เราได้นึกถึงท่านอย่างต่อเนื่องกันมา
ตั้งแต่ก่อนตอกเสาเข็มต้นแรก และเราจะมาตอกต้นสุดท้าย ในวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ ๔ กุมภาพันธ์
ต้นแรกก็วันที่ ๑ มกราคม เดือนเศษนิด ๆ
เราก็นึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลา ให้ใจผูกพันไว้กับท่าน จะได้เชื่อมสายบุญกับท่าน ท่านไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
เราก็จะได้ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ท่านไปพักกลางทางที่ดุสิตบุรี หรือสวรรค์ชั้นดุสิต
วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ เราก็จะไปพักอยู่ที่นั้นกับท่าน
เมื่อท่านนำหมู่คณะลงมาสร้างบารมี
ปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็นสมุจเฉทประหารในเมืองมนุษย์ เราก็จะได้ติดตามตามติดท่านมาสร้างบารมีในเมืองมนุษย์
ด้วยการมีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีได้ดีกว่าชาตินี้มากมายนัก ที่อุดมไปด้วยรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ เหมือนผู้มีบุญในกาลก่อน เป็นต้น ไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ก็ให้ตรึกระลึกนึกภาพของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ให้อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในกลางท้องของเรานะ
นึกเริ่มต้นจากภาพที่เราจำได้ก่อน
จะเป็นภาพถ่าย เป็นรูปหล่อของท่าน โดยเฉพาะรูปหล่อทองคำในมหาวิหารของท่าน
จะเริ่มต้นนึกอย่างนี้ไปก่อนก็ได้ เพราะเราคุ้นเคยกับท่าน ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
แต่ว่าให้มีสายใยของใจเราผูกพันไว้กับท่าน นึกน้อมไว้ที่กลางกายกลางท้องของเรา
ในระดับที่เรามั่นใจว่า ตรงนี้เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เป็นฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
เราก็เริ่มต้นนึกถึงท่านอย่างง่ายๆ
คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย นึกให้ต่อเนื่องกันไป ให้มีสติอยู่กับท่านอย่างสบายสติสบาย
สม่ำเสมอ ต่อเนื่องกันไปในกลางท้องของเรานะจ๊ะ จะเป็นภาพครึ่งองค์ของท่านก็ได้
หรือนึกถึงท่านได้บางส่วนไม่ครบทั้งองค์ก็ไม่เป็นไร เพราะแม้ไม่ครบองค์ท่าน แต่ใจเราผูกพันเอาไว้กับท่าน
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ภายในกลางกายฐานที่
๗ เริ่มต้นจากท่านเป็นบริกรรมนิมิตที่ยึดที่เกาะของใจเรา
ใจจะได้ไม่ซัดส่ายฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่นซึ่งไม่เกิดประโยชน์อันใด
บริกรรมภาวนา
เรานึกถึงท่านเรื่อยไปอย่างสบายๆ
ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ ไปด้วยก็ได้ โดยคำภาวนา สัมมาอะระหัง ดังออกมาจากองค์ท่าน
จากภาพถ่าย รูปหล่อ รูปปั้นท่าน ในกลางท้องอย่างต่อเนื่อง สัมมาอะระหัง ๆ
เราจะภาวนาไปจนกว่าใจเราไม่อยากภาวนาต่อ
อยากหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เฉยๆ หรือมีความรู้สึกคล้ายๆ กับเราลืมภาวนาไป หรือไม่อยากภาวนาต่อไปแล้ว
แต่ว่าใจไม่ฟุ้งไปที่ไหนเลย ใจยังอยู่ในกลางท้องของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้
เราก็หมดความจำเป็นที่จะต้องภาวนาสัมมาอะระหัง แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
หลุดออกจากกลางท้อง กลางกาย หลุดออกจากภาพที่เรานึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ ไปอยู่ที่คน
สัตว์ สิ่งของอะไรต่างๆ เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ สลับกันไปอย่างนี้
จนกว่าใจของเราจะหยุดจะนิ่ง
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ใจหยุดเป็นตัวสำเร็จ
จะทำให้เราเข้าถึงสิ่งดีที่มีอยู่ในตัวของเรา ไม่ได้ไปปรุงแต่งสร้างขึ้นมา
แต่เราไม่รู้ว่ามีอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านรู้ว่ามี เพราะท่านเข้าถึงด้วยตัวของท่านเอง
แล้วก็นำมาถ่ายทอดว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเรา เช่น กายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต ธรรมในธรรม หรือจำง่ายๆ
ก็คือมีดวงธรรมใสๆ อยู่แล้วในตัว มีกายภายในอยู่แล้วในตัว เช่น มีกายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี
กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต ซึ่งเป็นตัวพระรัตนตรัย มีอยู่แล้วในตัว ท่านได้เข้าไปถึงด้วยวิธีหยุดใจนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ อย่างนี้
จนกระทั่งไปถึงกายธรรมพระอรหัตผล
ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เข้าไปถึงกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ภายใน แล้วท่านก็นำมาสอนมาถ่ายทอดให้กับพระสาวก
ให้กับผู้มีบุญทั้งหลายตามกำลังบารมีแก่อ่อนไม่เท่ากัน
นักเรียนชุดแรกของท่านก็คือ
พระปัญจวัคคีย์ มีผู้ที่ทำตามคำสอนของท่านได้คนแรกของโลกคือ ท่านโกณฑัญญะ แล้วท่านก็ยืนยันว่า
โกณฑัญญะเห็นแล้ว เข้าถึงแล้ว ทำเป็นแล้ว หลังจากนั้นก็ถ่ายทอดเรื่อยมา
กาลเวลาผ่านไป ทำให้
คำสอนดีๆ เหล่านี้ขาดหายไป มาฟื้นฟูหวนกลับคืนมาใหม่เมื่อแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านสละชีวิต ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จะยอมตาย
แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ไม่ได้ตายเถอะ แล้วในที่สุดท่านก็เข้าถึงพระธรรมกายในตัว
เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไปพ้องตรงกับคำว่า ธรรมกาย ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก
ในหลากนิกายทุกภูมิภาคทั่วโลก แต่ว่าความเข้าใจความหมายแตกต่างกันไปแต่ว่ามีคำว่า
ธรรมกาย หลงเหลืออยู่
ความหมายที่แตกต่างกันไปตามหลากนิกายนั้น
เกิดจากนักคิดที่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ความคิดก็แตกต่างไปตามความเข้าใจ ตามดวงปัญญาที่ตัวมี
จึงหาข้อสรุปไม่ได้ที่จะน้อมนำเข้ามาสู่การปฏิบัติ
แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่
ท่านยืนยันว่า มีอยู่ในตัวจริงๆ เป็นตัวพระรัตนตรัย มีลักษณะเกตุดอกบัวตูม ใส
บริสุทธิ์ งามมาก ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีหยุดใจนิ่งเฉยๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตั้งแต่นั้นมาก็มีผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของท่านเข้าถึงเป็นจำนวนมากทุกภูมิภาคทั่วโลก
ทุกเพศ ทุกวัย เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้มั่นใจว่า เราสามารถเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้ด้วยตัวของเราเอง
เพราะฉะนั้น หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้
ประคองใจ
วันนี้ เราจะหยุดใจนิ่งๆ
นุ่มๆ โดยเริ่มต้นนึกถึงภาพของท่าน เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล ที่เราจะไปตอกเสาเข็มต้นแรก
นึกให้ได้ตลอดเวลาคู่กันไปกับคำภาวนาสัมมาอะระหัง หรือเราอยากจะนึกอย่างเดียว
โดยมั่นใจว่า ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น จะไม่ภาวนา สัมมาอะระหัง ก็ได้ ก็นึกถึงภาพท่าน
ถ้าใครยังไม่คุ้นเคยกับท่าน
ก็ให้ทำใจนิ่งๆ นุ่มๆ ที่กลางกายอย่างเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย ภาวนา สัมมาอะระหัง ไปเรื่อยก็ได้
แล้วแต่ใจของเราชอบ หรือช่วงจังหวะตอนนี้ ใจเราชอบแบบไหน เราก็ทำแบบนั้น
ทุกวิธีการสามารถทำให้ใจหยุดนิ่งจนดิ่งเข้าไปสู่ภายใน และเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ทั้งสิ้น
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับพระเดชพระคุณหลวงปู่
มีความรักเคารพผูกพันกับท่านมาก ก็ให้นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ไปเรื่อยๆ ใจเราจะค่อยๆ ใส บริสุทธิ์ ละเอียดอ่อนไปเรื่อยๆ
ประสบการณ์ภายใน
โดยสังเกตว่า มีอาการภายใน
คือ ตัวที่รู้สึกทึบๆ ตันๆ มันจะโล่ง โปร่ง เบา คล้ายๆ ขนนกที่ล่องลอยไปในอากาศ
แล้วตกลงไปสัมผัสบนพื้นผิวน้ำอย่างนุ่มนวล โดยไม่ทำให้น้ำกระเพื่อม ตัวฟ่องเบาเหมือนนกบินอยู่ในอากาศ
หรือเหมือนขนนกล่องลอยไปตามลมอย่างนั้น แต่มีความรู้สึกดีกว่านั้นเยอะ เพราะนกโบยบินไปในอากาศมันยังเหนื่อย
ต้องขยับกล้ามเนื้อที่ปีกของมัน แต่นี่มีความเบาแล้วก็
สบาย อย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่มีความรู้สึกว่า ต้องฝืน
ต้องพยายามที่จะนั่ง
มีความรู้สึกว่า เราสมัครใจนั่ง
อยากนั่ง เพราะมันสบายมีความสุข มีปีติ ความสุขบังเกิดขึ้น
นั่นคือสัญญาณว่าเราทำถูกวิธีแล้วในเบื้องต้น
อย่างน้อยก็ ๕๐ เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว ให้รักษาใจนิ่งๆ นุ่มๆ ต่อไป อย่าลืมตา อย่าขยับตัว
ไม่ต้องกลัวอะไร ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ปล่อยมันไปอย่างที่ใจอยากจะเป็นอย่างนั้น
เดี๋ยวจะถึงจุดๆ
หนึ่งที่ใจนิ่งสนิท ความสว่างภายในจะเกิดขึ้นอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย เป็นแสงแรกที่เกิดขึ้นขจัดความมืดในดวงใจเราให้หมดไป
แต่เพราะความไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ภายในอย่างนี้ บางท่านก็มักจะสงสัยว่า แสงภายนอกมันแยงตา
ยอนตา เข้าไปอยู่ในตัวของเรามั๊ง หรือว่าเราลืมปิดสวิตซ์ไฟ หรือว่าใครเอาไฟมาส่อง อะไรต่างๆ
นานาเกิดขึ้น เพราะเราไม่เคยมีความคิดว่า
หลับตาแล้วมันจะสว่างได้ เพราะทุกทีหลับตาแล้วมันต้องมืด ไม่เห็นอะไร
นี่คือปกติชีวิตที่เราคุ้นเคย
พอเรามาฝึกใจให้หยุดนิ่ง
นุ่ม เบา สบาย พอถูกส่วน ความสว่างภายในเกิด แสงแรก แสงเงินแสงทองภายในเกิดขึ้น
เราจึงไม่คุ้นเคย สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือ
อย่าลืมตา อย่าขยับตัว ไม่ต้องกลัวอะไร
อย่าไปวิเคราะห์
วิจัย วิจารณ์ประสบการณ์ภายในว่า แสงนั้นมาจากทางโน้น ทางนี้อะไรดังกล่าว จงนิ่งอยู่ในกลางแสงสว่างนั้นต่อไป
นั่นคือ รางวัลสำหรับผู้ที่ขยันทำความเพียร ทำกรณียกิจ
คือหน้าที่หรืองานที่แท้จริงของการมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์
หรือบรรพชิตก็ตาม เป็นรางวัลแรกที่เราจะได้รับจากการปิดเปลือกตาเบาๆ
แล้วแสงสว่างภายในเกิดขึ้น เหมือนในยุครุ่งอรุณแห่งสันติสุขภายในกำลังเกิดขึ้น
แสงธรรมส่องทางชีวิต
เรามักจะได้ยินคำอุปมาว่า
ประดุจแสงธรรมส่องชีวิต เราไม่คิดว่า คำที่เหมือนอุปมานั้นเป็นจริงๆ
ที่ผู้พูดเอามาจากประสบการณ์ภายในที่แสงสว่างนั้นบังเกิดขึ้น สว่างคล้ายๆ
แสงภายนอก ต่างแต่ว่าไม่แสบตา ไม่เคืองตา แต่เย็นตาเย็นใจ
ต่างจากการดูแสงของดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ หรือดวงไฟ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเราต้องหรี่ตา หยีตา ต้องใส่แว่นกันแดดเพราะมันจ้าตา
แต่แสงสว่างภายในมันเจิดจ้ามาพร้อมกับความสุข และแสงนั้นเป็นแสงแก้วที่ใสๆ
ความสว่างกับความใสปนกัน เป็นแสงที่เราไม่คุ้นเคย สว่าง ใส และมีความสุข ต่างจากแสงอื่นที่เราดูแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แสงดาว
แสงไฟ มันไม่ได้มาพร้อมกับความสุข อย่างมากแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือดวงดาวบนท้องฟ้า
ก็ให้แค่ปลื้มใจ เพลินๆ สบายใจนิดๆ มากกว่าปกติหน่อยหนึ่ง
แต่แสงข้างในนี่มันไม่ใช่
แสงสว่างภายในที่เจิดจ้าทำให้เกิดการตื่นตาตื่นตัวภายใน บางครั้งพาให้เราตื่นเต้นตามไปด้วย ซึ่งพลอยทำให้แสงหายไปในยามที่เราตื่นเต้น
แต่มันก็น่าตื่นเต้น เพราะเรานึกไม่ถึงว่า หลับตาแล้วจะมีแสงสว่างเกิดขึ้น ก็ต้องยอมอนุญาตให้เราตื่นเต้นได้สักครั้ง
สองครั้ง แล้วในที่สุดเราจะเคยแล้วก็ชิน แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่ใจหยุดนิ่งได้สนิทแล้ว
ความมืดในดวงใจก็ต้องหายไป
เหมือนดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมาขจัดความมืดในอากาศให้หมดสิ้นไป
มีความสว่างเข้ามาแทนที่ความมืดด้วยเครื่องกั้นความดีคือนิวรณ์ มันถูกใจที่หยุดนิ่งๆ
ขจัดปัดเป่าออกไป จึงเกิดเป็นแสงสว่างภายในขึ้น
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เมื่อเรามองผ่านแสงสว่างภายในอย่างสบายๆ
ธรรมดา คล้ายเรามองผ่านแสงภายนอกธรรมดา เราจะเห็น คน สัตว์ สิ่งของ ต้นหมากรากไม้
ภูเขาเลากา รถราต่างๆ เหล่านั้น นี่ก็เช่นเดียวกัน เราปิดเปลือกตาเบาๆ สบาย
ผ่อนคลาย ใจหยุดนิ่ง ตัวโล่ง โปร่ง เบา ขยาย แสงสว่างเกิด
เรามองผ่านแสงสว่างไป
จะเห็นแหล่งกำเนิดของแสงที่เจิดจ้าขึ้น ถ้าเริ่มต้นด้วยรูปของพระเดชพระคุณหลวงปู่
เราก็จะเห็นภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่ชัดเจน แจ่มเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก ต่างแต่ว่ามีความสุขพร้อมกับการเห็นมาพร้อมกัน
และใจที่เกลี้ยงเกลา คือสะอาด บริสุทธิ์จนกระทั่งเรายอมรับว่า ใจเรานี้บริสุทธิ์กว่าทุกๆ
วันที่ผ่านมา และความรู้สึกก็อยากจะดูต่อไปเรื่อย ๆ
ในที่สุดเราจะเห็นแหล่งกำเนิดของแสง
เป็นดวงสว่างใสๆ อยู่ภายใน เหมือนเราตามแสงแดดไปถึงแหล่งกำเนิดของแสง
คือ ดวงอาทิตย์ ดวงตะวัน ตามแสงดาวก็จะเห็นดวงดาว ตามแสงจันทร์ก็จะเห็นดวงจันทร์ ตามสายไฟก็จะเห็นหลอดไฟ
เป็นแหล่งกำเนิดของแสง
ตามแสงสว่างภายในก็จะเห็นจุดสว่างภายในที่ขยายมาเป็นดวงกลมๆ
ซึ่งเมื่อเช้าเราก็รู้จักแล้วว่า นั่นคือดวงปฐมมรรค กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์
ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน
เป็นแหล่งกำเนิดของแสงแรกที่บังเกิดขึ้น ดวงนั้นเรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
พอถึงตรงนี้ ใจเราจะตั้งมั่น
สงัดจากกาม จากอกุศลธรรม นุ่มนวลควรแก่การงาน งานที่จะรื้อกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป
ควรต่อการศึกษาความรู้ภายใน ที่จะทำให้ใจเราหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้
เราจะเห็นไปตามลำดับในกลางดวงสว่างนั้น เป็นชั้นๆ เข้าไป จุดกึ่งกลางของดวง
ใจจะไปนิ่งอยู่ตรงนั้นเองโดยอัตโนมัติ เพราะว่าอยู่ตรงนั้นแล้วมันมีความสุขเพิ่มขึ้น
มากกว่าการดูภาพรวมๆ
ใจจะไปอยู่ตรงนั้นเอง
จะถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ตรงกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ เหมือนเราเคลื่อนเข้าไป คล้ายๆ กับการเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
เมื่อไปถึงตรงนั้น จุดสว่างจะขยายคล้ายๆ เราเข้าไปใกล้กับสิ่งนั้น เราจะเห็นสิ่งเหล่านั้นโตขึ้น
ต่างก็เข้าหาซึ่งกันและกัน พบกันครึ่งทางที่กลางกาย เห็นดวงใสดวงใหม่เกิดขึ้น
เป็นชั้นๆ กันไปอย่างนี้ เป็นชั้นๆ ไป ใจก็ใสๆ ไป
ความบริสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้น
ๆ เคลื่อนย้ายความบริสุทธิ์ จากบริสุทธิ์น้อยไปบริสุทธิ์มาก
จากบริสุทธิ์มากก็บริสุทธิ์มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สุขก็เพิ่มขึ้น ปริมาณและคุณภาพของความสุขก็เพิ่มพูนไปตามสิ่งที่เราเห็น
เมื่อใจหยุดนิ่ง ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ก็ยิ่งดิ่งไม่หยุด ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ยิ่งเห็นชัดใสสว่างเพิ่มขึ้น
การเข้ากลางของกลางก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวเราจะเข้าไปถึงพระรัตนตรัยในตัว
เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ลูกทุกคนหยุดใจนิ่ง นุ่ม เบาๆ สบาย ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราจะเข้าถึงพระรัตนตรัยที่มีอยู่ในตัวของเราเองว่า
ท่านงดงามสง่างามแค่ไหน เป็นที่พึ่งที่ระลึกกับเราได้อย่างไร เข้าถึงท่านแล้วเราจะรู้สึกดีอย่างไร
จะรู้ได้ด้วยตัวของตัวเอง เป็นปัจจัตตัง เพราะใครทำแทนกันไม่ได้
จะแบ่งปันความรู้สึกให้ซึ่งกันและกันก็ไม่ได้ นอกจากบอกเล่าให้ฟังในระดับหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้ลูกทุกคนก็หยุดใจนิ่ง
นุ่ม ไปเรื่อยๆ ปฏิบัติไป เพราะนี้เป็นงานที่แท้จริงของเรา เป็นการเตรียมตัว
เตรียมใจ ก่อนที่เราจะสร้างมหาทานบารมีกันต่อไป ได้รับของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์
มาเป็นเครื่องระลึกนึกถึงบุญที่เราทำเอาไว้ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565