สร้างบารมีในยามยากผลบุญอัศจรรย์
วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม
พ.ศ.๒๕๔๐ (๙.๓๐ – ๑๑.๐๐ น.)
สภาธรรมกายสากล (หลังคามุงจาก)
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ให้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันนะจ๊ะ
ท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอเข้าใจวิธีการปฏิบัติอย่างดีแล้วก็ให้ลงมือปฏิบัติธรรมได้เลย
ส่วนท่านที่มาใหม่ยังไม่เข้าใจวิธีการปฏิบัติ ก็ให้นึกน้อมใจตามเสียงหลวงพ่อไปทุกๆ
คน แล้วก็ต้องขอโอกาสสำหรับท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอที่จะต้องให้โอกาสกับผู้ที่มาใหม่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติธรรม
ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ ท่านที่มาใหม่ดูคนข้างเคียงเขานะ เขาทำอย่างไร
ให้ทำอย่างนั้น
หลับตาของเราเบาๆ พอสบาย
คล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับแค่พอสบายเท่านั้น
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
ตั้งแต่บริเวณเปลือกตา หน้าผาก ศีรษะให้ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อบริเวณบ่าไหล่
แขนทั้งสอง ถึงปลายนิ้วมือ ให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า
ให้ผ่อนคลายให้หมด ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนให้หมดเลย
ปรับใจ
เมื่อเราผ่อนคลายร่างกายแล้ว
ต่อจากนี้ก็ปรับที่ใจของเรา ใจที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
จะต้องเป็นใจที่ปลอดโปร่ง ว่างเปล่า จากภารกิจเครื่องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
ใจต้องวางทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์
สิ่งของ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ธุรกิจการงาน
เรื่องครอบครัว เรื่องที่คั่งค้างอยู่ในใจ หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ผ่อนคลายทิ้งไปให้หมด ขจัดออกให้หมด อย่าให้มีหลงเหลืออยู่ในใจของเรา
ไม่คิดอะไรเลย
ให้ใจของเราว่างเปล่าจากความคิดทั้งมวล ปลอดความคิดชั่ว ขณะที่เราจะปฏิบัติธรรม
เพราะเราได้ใช้ความคิดกันมาตลอดระยะเวลายาวนาน
สำหรับท่านที่มาใหม่ใช้ความนึกคิดตลอดเวลา ส่วนท่านที่มาสม่ำเสมอ หนึ่งเดือนผ่านมาเราก็ได้ใช้ความคิดกันมามากมาย
เพราะว่าระบบของโลก เขาหล่อหลอมให้คิด ไม่ว่าจะทำมาหากินก็ต้องคิด จะศึกษาเล่าเรียน
จะครองเรือน ต้องคิดกันทั้งนั้น เพราะความคิดนั่นแหละ ทำให้ใจเราว้าวุ่น สับสน
ไม่เป็นระเบียบ จึงปราศจากความสุข เพราะฉะนั้นเราจะมาพักความคิด หยุดความคิดกันชั่วคราวในวันนี้
เป็นวันที่เราปลอดความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
ทำใจให้ว่างๆ ให้นิ่งๆ
หยุดนิ่งเฉยๆ แล้วเดี๋ยวเราจะพบว่า การที่ไม่คิดนั้น หรือการที่ใจหยุดนิ่งนั้น เราจะพบความสุขอันล้ำค่า อย่างที่เรานึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่า
จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา หรือมีอารมณ์ชนิดนี้ในโลก ณ จุดตรงนั้น เราจะพบความสุขอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน
แค่เราหยุดความคิดทั้งมวล
ตอนนี้ทำใจให้ว่างเปล่า ประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก
ทำใจให้ได้อย่างนี้ ให้นิ่งๆ ทำให้เบิกบาน สบายๆ
มาวัด มากอบโกยบุญ
วันนี้เรากำลังจะมาสร้างบารมี
มาแสวงบุญ กอบโกยบุญของเราทั้งทาน ศีล ภาวนา มีการบูชาข้าวพระ เป็นต้น ในภาคเช้า ภาคบ่าย
ทอดผ้าป่า ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา เพราะฉะนั้นทำใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ว่างๆ
ทำให้ได้อย่างนี้สัก ๑ หรือ ๒ นาที ให้นิ่งๆ พร้อมกับการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
ให้สบายๆ ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ลองทำดูทั้งท่านที่อยู่ภายในประเทศและต่างประเทศ
ทำใจให้นิ่งๆ ว่างๆ
วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตของเรา
เพราะกิจที่เรากำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา
เช่นเดียวกับลมหายใจเข้าออกที่สืบทอดชีวิตให้ยืนยาว สิ่งที่เราจะทำนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเราตลอด
ก็คือการแสวงหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ ให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง
วางใจถูกที่และถูกส่วน
จะพบความสุขภายใน
พื้นฐานชีวิตทุกคนมีความทุกข์ทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้
เราเจอแต่ความทุกข์ ความสุขยังไม่เคยเจอเลย เจอแต่สภาพที่ความทุกข์มันลดลงบ้างบางครั้งบางคราว
อยู่ในสภาพที่พอทนได้เท่านั้น และเราก็เข้าใจว่านั่นคือความสุข แต่ที่จริงนั่นแค่คือความทุกข์ที่ลดลง
หรือแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้น ยังไม่ใช่ความสุข
ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในตัว
ไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของ เราจะไปแสวงหาความสุขที่แท้จริงจากวัตถุสิ่งของ
แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สิน อะไรต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ถ้าเราไปหาผิดที่ มันก็ไม่เจอ ถ้าถูกที่แล้วจึงจะเจอ ถูกที่ยังไม่พอ ต้องถูกส่วนด้วย
ถูกที่และถูกส่วนจึงจะเจอความสุขที่แท้จริง
ถูกที่ คือ ที่ตั้งของความสุขนั้นอยู่ในตัวของเรา อยู่ตรงกลางกายฐานที่
๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติ เราขึงเส้นด้าย ๒ เส้น
จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท เหนือจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ตรงนี้แหละเป็นที่ตั้งใจของเรา ถูกที่ตั้งแห่งความสุขแท้จริง เราจะต้องนำใจของเราที่แวบไปแวบมามาหยุดอยู่ที่ฐานที่
๗ ให้ได้ตลอดเวลา อย่าให้เผลอ อย่างนี้เรียกว่า ถูกที่
ให้นำใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗ ถูกที่ตั้งของความสุข และประคองไปเรื่อยๆ
อย่าให้เผลอ อย่าให้มีความคิดใดๆ เข้ามาครอบงำ ประคองไปเรื่อยๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ทำหยุดทำนิ่ง ทำเฉยๆ ให้เป็นที่ปลอดความคิดอย่างแท้จริง เดี๋ยวจะถูกส่วนเอง
ประสบการณ์ภายใน
เวลาถูกส่วน มันจะเปลี่ยนจากภาวะหยาบไปสู่ความละเอียด
ใจจะค่อยๆ โล่งขึ้นทีละน้อย ร่างกายดูเหมือนจะบางเบา มีความรู้สึกว่า
มันบางเบาและก็ขยายกว้างออกไป บางครั้งคล้ายจะเหาะจะลอยได้
ใจก็จะนิ่งแน่นอยู่ตรงนั้นแหละ นิ่งจะแน่นปึ้กลงไปตรงนั้นเลย นิ่งแน่นก็ขยายไปเรื่อยๆ
ยิ่งเราหยุดกับนิ่งตรงนั้นไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งขยาย
ใจขยายออก ตอนนี้ความสุขก็เริ่มพรั่งพรูออกมาทีละน้อย เราจะเริ่มสัมผัสแหล่งของความสุข
ที่มีความรู้สึกว่า ใจเริ่มบริสุทธิ์ขึ้น เกลี้ยงเกลาขึ้น เป็นอิสระเพิ่มขึ้น ขยาย
โปร่ง เบา ไปเรื่อยๆ เลย
จนกระทั่งความรู้สึกที่ร่างกายของเราหมดไป เหมือนกับเราไม่มีร่างกาย
มีแต่ใจอยู่เพียงดวงเดียวที่หยุดนิ่งอยู่ ณ จุดที่เป็นแหล่งกำเนิดของความสุข
ความสุขจะเกิดขึ้นตอนนี้ทีละน้อยๆๆ เรื่อยไปเลย เป็นความสุขที่เราเริ่มจะยอมรับว่า
เออ อย่างนี้เรียกว่าความสุข เป็นอารมณ์ที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอมาก่อน
มันไม่เหมือนกันจริงๆ เป็นความประณีตที่ละเอียดอ่อน
ยิ่งใจนิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อยๆ ความบริสุทธิ์ของดวงจิตก็ยิ่งปรากฏขึ้น
เป็นแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาทีละน้อยๆ เหมือนฟ้าสางๆ ตอนเช้า ในฤดูร้อนค่อยๆ
สว่างขึ้น อาการก็คล้ายๆ กับดวงอาทิตย์ผุดเกิดขึ้นตอนเช้า แต่มันเป็นความสว่างภายใน
เป็นความอัศจรรย์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ของดวงจิต
ความสว่างนี้มาพร้อมกับความสุข จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ เหมือนความสว่างของดวงอาทิตย์ตอน
๖ โมงเช้า ๗ โมงเช้า ๘ โมงเรื่อยไปเลย จนกระทั่ง ๑๐ โมง ๑๑ โมง ถึงเที่ยงวัน เป็นความสว่างที่เกิดขึ้นจากจิตที่บริสุทธิ์เพราะหยุดนิ่ง
ไม่มีความคิดใดๆ มาปรุงแต่ง
เป็นความสว่างที่สุกใสเหมือนแสงแก้วที่ไม่เคืองตา
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เย็นกว่าแสงจันทร์ กายก็เบาสบาย ขยายไม่มีขอบเขต มีความสุขมากในท่ามกลางของแสงสว่าง
ที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นแสงที่กระจายไปทั่วเป็นปริมณฑลในที่กว้างๆ
โล่งๆ เหมือนกลางอวกาศ ที่เต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งความสุขที่สบายที่สุดเลย
เข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้น
ใจก็จะยิ่งนิ่งๆ ลงไปอีก หยุด นิ่ง แน่นไปเรื่อย นิ่งลงไปในกลางความสว่าง นิ่งลงไปในกลางความสุข
พอถูกส่วนอีกระดับหนึ่ง ก็จะเห็นจุดกึ่งกลางของความสว่างที่กระจายโดยรอบเล็กๆ
ขนาดดวงดาวในอากาศ จุดสว่างนี้สว่างกว่าแสงที่กระจายโดยรอบ เป็นเครื่องหมายให้เราเห็น
เป็นที่รวมของใจ คือ ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้
๔ อย่างมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันเลย
ไม่คิดเรื่องอะไรเลย มีแต่ดวงสว่างใสๆ
ที่เล็กเหมือนดวงดาวในอากาศ และยิ่งเราหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งขยายโตขึ้น ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ยิ่งเรานิ่งเข้าไปอีก ก็ยิ่งขยายขนาดดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
งามไม่มีที่ติ ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่นิดเดียว ใสบริสุทธิ์
เป็นความใสที่เกินความใสใดๆ ในโลก คือ ใสกว่าน้ำ
ใสกว่ากระจกเงาที่ส่องเงาหน้า ใสกว่าเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนเลย เป็นความใสที่เกินความใสใดๆ
ในโลก มาพร้อมกับความสุขที่เพิ่มพูนทับทวีขึ้นมาเกิดขึ้น ใจของเรากับดวงนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ดวงธรรมนี้แหละ เรียกว่า
ดวงธรรมเบื้องต้น
เป็นความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ในเบื้องต้น เป็นจุดเริ่มต้นที่จะเดินทางไปสู่อายตนนิพพาน
ทางนี้ไม่ใช่ทางธรรมดาเหมือนในโลกมนุษย์ เป็นทางของพระอริยเจ้า คือ
ผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสอาสวะ มีชีวิตอันประเสริฐสมบูรณ์ อุดมไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
ทางนี้เรียกว่า อริยมรรค
เริ่มจากดวงธรรมดวงแรกนี้แหละ ที่ใสสว่างกลมรอบตัว
สัมมาทิฏฐิเกิด เมื่อเข้าถึงปฐมมรรค
ถ้าเมื่อใด เราได้พบดวงธรรมดวงนี้ เข้าถึงแล้ว ปิดประตูอบายภูมิ
รักษาดวงธรรมนี้ตลอด ดวงธรรมนี้จะคุ้มครองเราให้ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
เพราะว่าเมื่อใจเข้าถึงดวงธรรมดวงนี้ ความบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้น สัมมาทิฏฐิ เกิดขึ้นตอนนี้แหละ
เราจะมีความเห็นถูกว่า ต้องเดินทางนี้ถึงจะถูกต้อง
ถึงจะหลุดจากความทุกข์ทั้งมวลได้ ความเห็นถูกก็จะเกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะเห็นดวงธรรมเบื้องต้นเป็นดวงกลมใส
บริสุทธิ์
ใครยังไม่เห็นดวงธรรมนี้
มันยังเห็นไม่ถูก มักจะมีความเห็นไปต่างๆ นานา ตามรสนิยม ตามความเข้าใจ แต่ถ้าเข้าถึงธรรมดวงนี้แล้ว
เห็นเพียงประการเดียวว่า ต้องไปสู่อายตนนิพานเท่านั้น
จึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย จะต้องหยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมนี้
และต้องเดินเส้นทางสายนี้ คือ เข้าไปสู่ภายในดวงธรรมนี้ดวงเดียวเท่านั้น วิธีเดียวเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นจากสรรพทุกข์สรรพกิเลสทั้งหลายได้
จะเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะได้ ต้องผ่านเข้าไปในกลางดวงธรรมดวงนี้
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกชนิดนี้จะเกิดขึ้นมา เมื่อเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมเบื้องต้น
ที่บังเกิดขึ้นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ ความเห็นถูกก็จะเกิดขึ้น
ความเห็นถูก เป็นต้นทางของความคิดถูก ความคิดของเราก็เริ่มมีระบบขึ้นมา
มีระบบมุ่งตรงไปสู่อายตนนิพพาน ความคิดที่จะแตกต่างจากความคิดเดิม ความคิดเดิม คิดอยากจะครองโลก
ครองบ้าน ครองเรือน ครองทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น
การเบียดเบียนมันถึงเกิดขึ้น
แต่พอเราเข้าถึงดวงธรรม ความคิดถูกต้องจะเกิดขึ้นมาเองเลย
คือ คิดที่จะออกจากทุกข์ทั้งหลาย อะไรเป็นเครื่องรุงรังของชีวิต ก็จะปลดปล่อยวาง คิดมุ่งตรงต่อหนทางของพระอริยเจ้าอย่างเดียว
และจากตรงนี้ ใจก็จะหยุดนิ่งไปเรื่อย
ก็จะมองหาวิธีว่า ทำอย่างไรกายวาจาใจของเราจึงจะบริสุทธิ์ได้ เพราะเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางของผู้บริสุทธิ์เท่านั้น
หมายความว่า ถ้ากายวาจาใจเราบริสุทธิ์ได้ เราจึงจะเข้าสู่เส้นทางนี้ได้ และถึงตอนนี้
กำลังใจก็เกิดขึ้นมา อยากจะทำกายวาจาใจให้บริสุทธิ์
เพราะฉะนั้น เมื่อคิดถูกแล้ว การกระทำก็ดี คำพูดก็ดี
ก็หาวิถีทางที่ทำให้มันถูก ความคิดถูก ทำถูก พูดถูก จะเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันเลย สิ่งใดที่ทำให้กายวาจาใจไม่บริสุทธิ์
ก็จะไม่ทำสิ่งนั้น จะคิดพูดทำแต่สิ่งที่ถูกต้องที่จะนำไปสู่อายตนนิพพาน ก็จะเป็นขบวนการอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เลย ไปตามลำดับ
จนกระทั่งตรวจตราดูเข้าไป
ถึงทำความเพียรถูก เพียรอย่างไร เราควรจะเพียรทุกเรื่องไหม ดวงปัญญาก็จะเกิดขึ้นแล้วว่า
การทำความเพียรถูก มันต้องเพียรเพื่อที่จะทำให้กายวาจาใจบริสุทธิ์ เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์
ความเพียรก็จะต้องบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นบาปอกุศลก็จะพยายามระวังไม่ให้เกิด
เกิดแล้วก็พยายามแก้ไข สิ่งอะไรที่เป็นความบริสุทธิ์ก็เติมขึ้นมา
และทำให้เจริญ
เข้าถึงดวงธรรมถัดๆ
ไป
เมื่อนิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อยๆ
สติก็จะตั้งมั่น เป็นมหาสติ มหาสติที่เป็นไปภายใน คือ ใจจะดึงมาหยุดนิ่งอยู่ภายใน
ตรงหยุดนี่แหละ สติถึงเป็นมหาสติ ใจจะหยุดนิ่งแน่นไปเรื่อยเลย มีสติที่อยู่ภายใน
สมาธิที่ถูกต้องก็บังเกิดขึ้น คือ นิ่งแน่นหนักเข้าไปเรื่อยๆ ก็หลุดผลัวะเข้าไปเลย
เข้าถึงดวงธรรมดวงถัดๆ ไป ถึงดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ถึงดวงวิมุตติ
หลุดกันไปเป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ เลย
เข้าถึงกายภายใน
จนกระทั่งเข้าไปถึงกายภายใน ถึงกายมนุษย์ละเอียด
ลักษณะหน้าตาเหมือนกับตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชาย หลุดเข้าไปเป็นชั้นๆ
อย่างนี้แหละ แล้วเราก็จะพบกายภายใน พบดวงธรรมต่างๆ สลับกันไป
ในกลางกายก็มีดวงธรรม ในกลางดวงธรรมก็มีกาย ในกายก็มีกายมนุษย์ละเอียด
มีกายทิพย์ มีกายรูปพรหม มีกายอรูปพรหมและก็เข้าถึงกายธรรมได้ในที่สุด
ธรรมกายที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
กายธรรม
คือ สรณะ เป็นตัวหลักของพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา แปลว่า
คำสอน หรือความรู้ที่เกิดมาจากความบริสุทธิ์ของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ก็คือ ธรรมกาย นั่นเอง
เป็นเนมิตกนามของธรรมกายเป็นตัวหลักทีเดียว เข้าถึงธรรมกายก็เป็นตัวหลัก
ธรรมกาย
คือ พุทธรัตนะ เป็นที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุดของเรา
เพราะ ธรรมกาย ท่านมีธรรมจักขุ
มีญาณทัสสนะ มีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพ มีความรอบรู้ที่ไม่มีประมาณ
ธรรมกายนี้จึงเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกของเรา ลักษณะเหมือนพระพุทธรูป
แต่ว่าสวยงามกว่า เกตุดอกบัวตูม ท่านนั่งทำสมาธิอยู่ภายใน
ในลักษณะที่ทำสมาธิซึ่งเป็นท่านั่งของผู้ที่เสร็จกิจแล้ว
กิจอย่างอื่นไม่ต้องทำแล้ว นั่งสงบนิ่งอยู่ภายใน ใส สว่าง งามไม่มีที่ติ
ธรรมกายจะมีเกิดขึ้นเป็นชั้นๆ
เข้าไปตามลำดับ ตั้งแต่หยาบไปหาธรรมกายที่ละเอียด ผุดซ้อนกันขึ้นมา มีธรรมกายพระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหัต ซ้อนๆ กันอยู่
สิ่งที่ต้องรู้
ไม่รู้ ไม่ปลอดภัย
ทั้งหมดนี้เป็นแผนผังของชีวิตมนุษย์ทุกๆ
คนในโลก เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้ว่า มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใน และเราจะต้องทำอย่างนี้
การดำเนินชีวิตก็จะผิดพลาด เราก็จะทำแบบผู้ไม่รู้ทั้งหลายที่อยู่ในโลก ที่เขาเกิดมาแค่ทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย ทำมาหาเก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลานกันต่อไป แล้วก็ตายฟรี
เราก็จะมีความรู้ในระดับแค่นั้นเท่านั้นเอง
ชีวิตมันก็ไม่ปลอดภัย ถ้าไม่รู้แล้วการดำเนินชีวิตก็ผิดพลาด
บางครั้งและส่วนใหญ่มักจะทำให้ไม่บริสุทธิ์ คือทุศีลเกิดขึ้น ก็จะต้องพลัดไปเกิดในอบาย
และตัวก็ไม่รู้ว่าอบายมีจริงไหม อยู่ที่ตรงไหน อย่างไร ทำไปเพราะไม่รู้
แต่ผลของความไม่รู้นั้นคือความทุกข์ทรมาน เพราะฉะนั้น ไม่รู้จึงไม่ได้ ต้องรู้อย่างเดียว
ชีวิตจึงจะปลอดภัย
ดังนั้น
ในวันนี้ให้รู้ไว้ว่า มีกายในกายซ้อนอยู่ภายในอีกมากมายหลายกาย กายแต่ละกายนั้นมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป
กายที่สำคัญ คือ พระธรรมกาย กายธรรมที่อยู่ภายในเป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา
ถึงกายธรรมนี้เราดับทุกข์ได้ ถ้ากายอื่นนั้นยังดับทุกข์ไม่ได้ เกิดมาภพนี้ชาตินี้ เราต้องการแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าถึงธรรมกาย
ต้องถูกที่และถูกส่วนจึงจะเข้าถึงได้
ดังนั้นต่อจากนี้ ก่อนที่เราจะประกอบพิธีบูชาข้าวพระ
ขอให้ท่านทั้งหลายฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน ตรงฐานที่ ๗ ให้ถูกที่และถูกส่วน
จะได้ไปรู้เห็นเข้าถึงดวงธรรมและกายต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
บริกรรมนิมิต
สำหรับท่านที่มาใหม่
ถ้าหากให้วางใจนิ่งเฉยๆ ตรงฐานที่ ๗ บางทีเราไม่มีเครื่องหมายเพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา
จะทำให้เราสับสน ไม่รู้ว่ามันตรงไหน ดังนั้นให้กำหนดเป็นบริกรรมนิมิต คือ นึกว่ามีเพชรลูกใสๆ
บริสุทธิ์ ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตา อยู่ตรงฐานที่
๗ หรือจะนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
เป็นสิ่งแทนตัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นเครื่องหมาย เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา
นึกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราถนัดอย่างไหนก็นึกอย่างนั้น แต่ให้นึกตรงฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ
นึกกับเห็นแตกต่างกันอย่างไร
การนึกกับการเห็น
ไม่เหมือนกัน การนึกเราจะเห็นไม่ชัดเจน คือ ภาพมันปรากฏไม่ชัดเจน
เพราะเรายังนึกอยู่ ส่วนการเห็นนั้นชัดเจนแล้ว เราคุ้นกับการเห็นมากกว่า
ดังนั้นเวลาที่เรากำหนดบริกรรมนิมิต คือ นึกถึงภาพดวงแก้ว
หรือว่าเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว ก็ให้นึกอย่างสบายๆ นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น
นึกให้ต่อเนื่องกันไป อย่างสบาย อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ให้นึกแต่เพชรลูกเป็นบริกรรมนิมิต หรือนึกแต่พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์
ให้ต่อเนื่องกันไปเลย อย่าให้เผลอ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับภาวนาในใจ เมื่อใจเราฟุ้ง
ภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ ให้ภาวนาไปอย่างสบายๆ โดยให้เสียงคำภาวนา ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต
ถ้าหากว่าเป็นเพชรลูก ก็ให้ดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของเพชรลูก ตรงฐานที่ ๗ ถ้าเป็นพระแก้วใสๆ
ก็ให้ดังออกมาจากในกลางท้องของท่าน
ภาวนาไปเรื่อยๆ จะกี่ครั้งก็ได้
แล้วแต่ความพึงพอใจของเรา หรือจะไม่ภาวนาก็ได้ จะนึกถึงภาพเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมวอย่างเดียวก็ได้ โดยไม่ภาวนา หรือจะนึกถึงพระแก้วใสๆ
บริสุทธิ์โดยไม่ภาวนาก็ได้ ทดลองทำดูนะ ทำไปอย่างสบายๆ เงียบๆ
อย่าพูดอย่าคุยกัน
หลับตานึกไปเบาๆ ให้ต่อเนื่อง พระแก้วใสๆ ก็ดี เครื่องหมายเพชรลูกก็ดี ที่เป็นของใสๆ
นั้น ยิ่งเรานึกเท่าไร ใจก็จะยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นนึกให้ต่อเนื่องกันไป
ภาวนากันไปเรื่อยๆ จนกว่ากายวาจาใจจะสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส
เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ ถึงตอนนั้นหลวงพ่อก็จะประกอบพิธีบูชาข้าวพระกัน
ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ
เมื่อกาย วาจา
ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่อย่างนี้แล้ว
ต่อจากนี้เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป ให้ทุกท่านนั่งพับเพียบหลับตาพนมมือขึ้นพร้อมๆ
กัน
(สวดมนต์
ทำพิธีบูชาข้าวพระ และอธิษฐานประจำวัน)
เมื่อเรากล่าวคำบูชาข้าวพระเสร็จ
ก็นั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันอีกครั้งหนึ่ง ตั้งใจให้ดีนะ ทุกๆ ท่าน ใจของเรายังอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตลอดเวลาเลย
เมื่อเรากล่าวคำบูชาข้าวพระ
เสียงอายตนะ เสียงทิพย์จะดังก้องขึ้นไปเลยถึงอายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้ทุกคนเอาใจหยุดนิ่งๆ
ในกลางกาย
ใครเข้าถึงดวงธรรมก็หยุดไปในกลางดวงธรรม
ใครเข้าถึงกายภายในก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายภายในจะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์
กายรูปพรหม หรือกายอรูปพรหมก็ตาม ใครเข้าถึงกายธรรม ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรม
ทำใจให้หยุดในหยุด นิ่งในนิ่งลงไปอย่างสบายๆ ทุกๆ คน
คราวนี้เราก็นึกน้อมเอาเครื่องไทยธรรมมีดอกไม้ธูปเทียน
อาหารหวานคาวน้อมด้วยใจของเรามาตั้งไว้ในกลางกาย ถ้าใครใจยังไม่ละเอียด เวลาน้อมเข้ามานี่
เราจะมีความรู้สึกว่า จะต้องย่อของใหญ่ให้เป็นของเล็กเข้ามาภายใน
ก็จะมีความรู้สึกเหมือนเราจะต้องชะโงกมองลงไปก็ไม่เป็นไร สำหรับใครยังหยุดไม่สนิท
แต่คนที่เขาใจหยุดสนิทแล้ว พอนึกน้อมมันก็จะเข้าไปอยู่ตามสภาวธรรม ไปอยู่ในกลางนั้นเลย
เพราะเวลาเข้าถึงกายต่างๆ ภายในเราจะหลุดจากกายหยาบนี้ไปแล้ว ไปอยู่ข้างใน
การบูชาข้าวพระ
การบูชาข้าวพระเป็นสิ่งที่ได้ทำสืบเนื่องกันมายาวนานมี
๒ วิธี คือ บูชาข้าวพระแบบขอถึง และ บูชาข้าวพระแบบเข้าถึง
การบูชาข้าวพระแบบขอถึง
คือ การจัดเครื่องไทยธรรมอาหารหวานคาวถ้วยเล็กๆ ใส่ถาด และนำไปวางไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา
ประหนึ่งว่า ได้ใส่บาตรพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คล้ายกับท่านยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในสมัยพุทธกาล แล้วก็กล่าวคำบูชาข้าวพระ
ใจก็น้อมไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเอาพุทธปฏิมากรนั้นเป็นสิ่งแทนพระองค์ท่าน ซึ่งได้ทำอย่างนี้กันมายาวนาน
การบูชาข้าวพระแบบเข้าถึง หมายถึง
เราจะต้องนำเครื่องไทยธรรมไปไว้ในกลางพระธรรมกายและทับทวีเครื่องไทยธรรมนั้น รวมทั้งทับทวีกายตามหลักวิชชาธรรมกายขั้นสูง
ขั้นละเอียด ต้องทำความละเอียดกันมากมายจนกระทั่งเครื่องไทยธรรมเหล่านั้นและกายธรรมมีความละเอียดถูกส่วนเท่ากับอายตนนิพพาน
อายตนนิพพานก็จะดึงดูดเข้าไปสู่ในอายตนนิพพาน
ทั้งธรรมกายและเครื่องไทยธรรมก็จะไปปรากฏในอายตนนิพพาน
ซึ่งมีแต่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้านับพระองค์ไม่ถ้วน ทั้งพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ล้วนแต่มีพระธรรมกายทั้งนั้น ที่ลักษณะเหมือนกัน
ต่างแต่ขนาดและรัศมี ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละพระองค์
รวมทั้งเข้าไปสู่อายตนนิพพานเก่าๆ
แก่ๆ ก่อนโน้น ก็จะมีลักษณะเหมือนกัน แต่ขนาดจะไม่เท่ากัน ยิ่งเข้านิพพานไปเก่าแก่โน้น
กายท่านก็โตใหญ่หนักยิ่งขึ้นไป แต่ขนาดเล็กที่สุดก็ ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เป็นกายของพระอรหันตสาวก
โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีประมาณ
เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง
๔ นี่ไม่ใช่เป็นข้ออุปมา แต่เป็นความจริง เพราะสังสารวัฏมันตั้งมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
กำลังสืบกันเข้าไปอยู่อย่างนั้น
ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากมายก่ายกอง นับกันไม่ถ้วน มากยิ่งกว่าเมล็ดทราย
เมล็ดทรายว่ามากแล้ว แต่พระพุทธเจ้ามากกว่านั้นเข้าไปอีก เข้าไปเก่าๆ แก่ๆ
สมัยดึกดำบรรพ์โน้น ในกัปต้นๆ โน้น
กายยิ่งโตใหญ่หนักขึ้นไปเรื่อย สุกใส สว่างใสเพิ่มขึ้น สว่างหนักเข้าไปอีก
เราจะไปถวายพระพุทธเจ้า พระธรรมกายเหล่านั้นแหละ ด้วยวิชชาธรรมกาย
อานิสงส์การบูชาข้าวพระ
การบูชาอย่างนี้เรียกว่า บูชาข้าวพระแบบเข้าถึง คือไปถึงตัวจริงพระองค์ท่านเลย
แต่ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าจะเสวยอาหารทิพย์อย่างพระสงฆ์ขบฉันภัตตาหารอย่างนั้น ถวายเป็นพุทธบูชาไปถึงทุกพระองค์เท่าที่ไปถึง
เขาเรียกว่า สุดรู้สุดญาณ สุดญาณทัสสนะ สุดรู้ คือ มองเห็นไปแค่ไหน ขอบเขตของญาณทัสสนะของธรรมกายไปถึงไหน
ก็เห็นไปถึงนั่น เห็นเท่ากันไปหมดเลย เห็นไม่ว่าจะอยู่ในระดับหยาบละเอียดก็เห็นไปพร้อมๆ
กัน เห็นไปหมด แต่ก็ยังไม่หมดสักที ยังไปไม่สุดเลย มีอีกเยอะแยะ
อานิสงส์ที่เกิดขึ้นมีมากมายก่ายกอง เป็นบุญพิเศษสำหรับธาตุธรรมพิเศษเท่านั้น
เป็นอสาธารณะ ไม่ใช่สาธารณะ
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องเหลือวิสัย
ยกเว้นผู้ที่ทำวิชชาธรรมกายได้ จึงจะไปถึงตรงนี้ เป็นสิ่งมีจริง พิสูจน์ได้จริง
เข้าถึงได้จริง ก็จะไปเจอของจริงอย่างนี้ ดังนั้นใครจะว่าไม่จริงก็ช่างเขา
เพราะเขาทำไม่จริง เข้าถึงไม่จริง ก็เลยพูดว่า มันไม่จริง แต่ที่จริงๆ มันต้องเข้าวิชชาธรรมกาย
ทำความละเอียดทับทวีเข้าไป มันจะเห็นชัดเลย ไม่ใช่ตามนุษย์เห็น ไม่ใช่ตากายมนุษย์ละเอียดเห็น
ไม่ใช่ตาของกายทิพย์ พรหม อรูปพรหมเห็น แต่เป็นธรรมจักขุของธรรมกาย
ตอนนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปแล้วนะกับธรรมกาย
ที่เราน้อมขึ้นไปถวายด้วยวิชชาธรรมกาย เพราะฉะนั้น มีอานิสงส์มาก มากจนเขาใช้คำว่า
อสงไขยอัปปมาณัง คือ ไม่รู้จะคำนวณอย่างไร
จะเอาอะไรมาเทียบ ก็ไม่รู้จะไปเปรียบอย่างไร นอกจากเทียบว่า ฟ้าที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า ปราศจากดาวนักษัตรต่างๆ ปราศจากเมฆหมอก
ลม ฝน กวาดออกไปให้เกลี้ยงเลย เหลือแต่ที่โล่งๆ ว่างๆ ในนั้นอัดแน่นด้วยกระแสธารแห่งบุญของเราที่บังเกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระในแต่ละครั้ง
เพราะฉะนั้น การบูชาข้าวพระ เป็นเรื่องใหญ่
เป็นเรื่องสำคัญ เป็นบุญพิเศษสำหรับผู้ที่มุ่งไปถึงที่สุดแห่งธรรมเท่านั้น
และการไปถึงที่สุดแห่งธรรมนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย
เป็นเรื่องต้องอาศัยกำลังบุญ กำลังบารมี ถ้ามีเล็กๆ น้อยๆ มันไปไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังบุญมากๆ
พระนิพพานที่เก่าๆ แก่ๆ โน้น ท่านอยากให้ไปถึงที่เขาประชุมคำนวณกันมาอย่างนั้น
จึงให้เป็นบุญพิเศษ
สำหรับบูชาข้าวพระอันนี้ ผู้มีบุญทั้งหลายพึงเข้าใจเอาไว้ว่า
เป็นบุญพิเศษสำหรับผู้มีบุญเท่านั้น ใครมีบุญได้ยินได้ฟังก็มีความปลื้มปีติ อิ่มเอิบ
เบิกบาน ถ้าธาตุธรรมไม่ตรงกัน ฟังแล้วก็จะเฉยๆ ไม่คิดอะไร เพราะฉะนั้นบุญที่เราจะได้จากการบูชาข้าวพระนี้
ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย เป็นบุญใหญ่กันทีเดียว
ดังนั้น ให้เอาใจหยุดนิ่งๆ กันให้ดี หยุดนิ่งให้ใจใส นึกน้อมเท่าที่เราจะทำได้ ให้น้อมกันไปอย่างนั้น
เพราะว่าที่เขาทำความละเอียดกันอยู่ เขาคุมขึ้นไปถวายทับทวีกันขึ้นไปเรื่อยๆ เลย
ทับทวีกันไป
เครื่องไทยธรรมก็ไปสุกใสสว่างอยู่ในนั้น
เต็มไปหมดเลย กระแสธารแห่งบุญก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมาติดอยู่ในศูนย์กลางกายของเรา เป็นดวงสว่างที่กลมๆ
รอบตัว เหมือนดวงแก้วอย่างนั้นแหละ ติดหมดทุกกาย มีกี่กายติดหมดเลย
บุญอยู่ในกายไหน เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์
บุญอยู่ในกายมนุษย์ก็เปิดขึ้นใช้ ให้เราได้มีสมบัติทั้งสามครบถ้วน บริบูรณ์
ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ รวมทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน
ติดเราไปหมดเลย
รูปสมบัติ
เราจะมีรูปงาม แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว สร้างบารมีไปได้นาน
และสะดวกสบาย นั่งธรรมะ ก็ไม่ค่อยปวด ค่อยเมื่อย นั่งกันได้นาน ใครเห็นก็เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจ
ยกย่องชื่นชมกันหมด ทุกๆ คนที่เห็นรูปสมบัติของเรา ที่เราจะพึงได้เกิดขึ้น
ทรัพย์สมบัติ จะเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ที่มีวิญญาณครอง
หรือไม่มีวิญญาณครอง ให้เราได้ใช้สร้างบารมีกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น และสร้างได้สะดวกสบาย
ไม่เหมือนภพนี้ชาตินี้ที่สร้างกันลำบาก แต่ภพชาติต่อไปกำลังบุญที่เราได้จากการบูชาข้าวพระนี้
สมบัติจะตักไม่พร่องเลย ให้เราสร้างบารมีกันอย่างสนุกสนาน
คุณสมบัติ มีความเฉลียวฉลาดแตกฉานทั้งทางโลกทางธรรม
รู้เท่าทันเหลี่ยมคู ผู้คนหมด ใช้สติปัญญาก็ได้ดังใจ
เข้าอกเข้าใจในชีวิตได้แจ่มแจ้ง รวมทั้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกายด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆ
ก็จะตามมาพร้อมหมดรวมอยู่ในกลางดวงบุญ
บุญเป็นทุกสิ่ง - เศรษฐีขายถ่าน
บุญเป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าหากบุญส่งผล จะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้น
แต่ว่าเมื่อไรหมดบุญ สิ่งที่เราได้ครอบครองอยู่ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง กระจัดกระจายกันไป
ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องจริงที่เหลือเชื่ออยู่เรื่องหนึ่ง คือ เศรษฐีท่านหนึ่ง
มีทรัพย์มาก มีสมบัติแก้วแหวนเงินทองมากมาย มีคนนับหน้าถือตา แต่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประมาทมัวเพลิดเพลินเรื่องการทำมาหากินอย่างเดียว
บุญก็ไม่ได้ทำ กินแต่บุญเก่า ต่อมาบุญเก่าหมด สมบัติเหล่านั้นกลายเป็นถ่าน จากทองเป็นถ่าน จากสิ่งที่มีมูลค่ากลายเป็นไร้มูลค่า ไม่น่าเชื่อเลย
เกิดความทุกข์ใจ ไปปรึกษาเพื่อน โชคดีมีเพื่อนเป็นบัณฑิต ให้คำแนะนำว่า ที่สมบัติจากทองกลายเป็นถ่าน
แสดงว่า หมดบุญนะ จะต้องหาคนมีบุญให้เขามาดูแล
เพราะกำลังบุญเราไม่พอที่จะไปครอบครองสมบัติไว้ได้ หมดบุญแล้ว
เศรษฐีก็ถามว่า จะต้องทำอย่างไร
ก็แนะนำว่า ให้เอาทรัพย์ที่แปรเป็นถ่านไปวางขายในตลาด เอาเสื่อปูแล้วเอาทองไปกองขาย
ใครผ่านไปผ่านมาก็ประกาศขายไปเรื่อยๆ แล้วถ้าหากว่า เจอผู้มีบุญ เขามาจับถ่านเป็นทองได้
ถ้าเป็นผู้หญิงก็เอามาเป็นสะใภ้ ถ้าเป็นชายก็เอามาเป็นลูกเขย
แล้วทรัพย์นั้นก็ยกให้เขาครอบครองไปเถอะ เราอาศัยบุญเขาอยู่ไปตลอดชีวิต อย่างนี้ถึงจะได้
เศรษฐีไม่มีทางเลือก ก็ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเพื่อน
หอบเอาสมบัติที่กลายเป็นถ่านนั้นมากองขายกลางตลาด คนผ่านไปผ่านมาก็แปลกใจว่า เอ๊ะ เศรษฐีทำไมมานั่งขายถ่าน
ก็ถามท่านว่า ทำไมขายถ่าน เศรษฐีก็บอกว่า มันก็เป็นเรื่องธรรมดา มีอะไรขายได้ ก็จะขายไป
ไม่เห็นจะแปลกอะไร
ต่อมา มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างบางบาง แต่เป็นคนมีบุญอัดแน่นอยู่ในร่างบอบบางนั้น
เดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ถาม “อ้าว ลุงทำไมเอาทองมานั่งขายเหมือนขายผักขายเนื้ออย่างนี้ล่ะ
เดี๋ยวขโมยขโจรมันมาปล้นเอานะ” เศรษฐีถามว่า “ไหนหนู ตรงไหนล่ะ ที่มันเป็นทอง”
เด็กผู้หญิงนั้นก็เลยหอบบอกว่า “นี่ไง” นำไปไว้ในมือเศรษฐี
เออ จากถ่านก็เป็นทองจริงๆ คนมีบุญนี่ หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองหมด
จับถ่านก็เป็นทอง เลยให้จับทั้งกอง มันก็เลยเป็นทองทั้งกอง ก็เลยถามว่า “หนูบ้านอยู่ไหน”
เผื่อจะสืบถามดูว่า แต่งงานแล้วหรือยัง ปรากฏว่า ยังเป็นโสดอยู่ ก็เลยไปขอมาเป็นสะใภ้
แล้วก็ได้ครอบครองสมบัติอันนั้น เพราะฉะนั้น
บุญจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นทุกสิ่งทีเดียว
ปราสาทราชวังสร้างมากับมือ ถ้าหมดกำลังบุญแล้วนี่ มันอยู่ไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งๆ ที่เคยคิดว่า มันเป็นของเรานี่แหละ สร้างด้วยเงินของเรา แต่พอหมดบุญแล้ว มันอยู่ไม่ได้
มันได้แต่แลดู แล้วก็เศร้าโศกเสียใจกันไป
เพราะฉะนั้น บุญสำคัญ
เป็นเรื่องใหญ่ สั่งสมเอาไว้เถิด เวลาเราจะไปเกิดอยู่ ณ ภพภูมิไหนก็ตาม บุญนั้นจะส่งผลให้เรามีสมบัติทั้งสาม
พร้อมทั้งความสุข ความสำเร็จในชีวิตทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี
คนเราเวลาจะประกอบธุรกิจการงาน
หรือทำความสำเร็จอะไรสักสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่แค่ใจถึง มือถึง ทุนถึง ทีมถึง อะไรทุกอย่างถึง
แล้วความสำเร็จมันจะเกิดขึ้น มันยังไม่สำเร็จหรอก ถ้าบุญไม่ถึง
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำคือจังหวะที่ดีของนักสร้างบารมี
-
เมณฑกเศรษฐี
บุญเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นทุกสิ่งทั้งหมด
เมื่อพูดถึงเรื่องบุญแล้ว เรานักสร้างบารมีอย่าไปหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ต่อสถานการณ์ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นจะลงก็แล้วแต่ ใจเราอย่าฟุบแฟบตามไปด้วย
มันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ คนละเรื่องกับการสร้างบารมีของเรา
ในช่วงจังหวะเวลานี้ หลายๆ คนทุกข์ใจ
แต่มันกลับเป็นจังหวะที่ดีของนักสร้างบารมี คือ ถ้าสร้างบารมีในยามยาก
ลำบาก ยามเกิดทุพภิกขภัยภัย ข้าวยากหมากแพง ทำด้วยหัวใจนักสร้างบารมี ไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคใดๆ
ทั้งสิ้น แม้ด้วยชีวิต เวลาบุญส่งผลนั้น มันเกินควรเกินคาด
อย่างที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ประวัติของท่าน
เมณฑกเศรษฐี หรือทุกๆ เศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ในสมัยพุทธกาล
ที่มีสมบัติจักรพรรดิ ตักไม่พร่อง ทุกท่านล้วนแต่ทำบุญในยุคทุพภิกขภัยทั้งสิ้น คือ
ในยุคนั้น จะเป็นเครื่องวัดกำลังใจและวัดสติปัญญาของแต่ละคนว่า ใครมีภูมิปัญญาที่จะดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติ
กระทั่งถึงที่สุด
ใครจะมีภูมิปัญญากันแค่ไหน จะมองใกล้มองไกลกันแค่ไหน
บางคนมองช่วงสั้นก็เอาดีเฉพาะภพชาติปัจจุบัน แต่คนที่มีภูมิปัญญา เขามองไกล มองกันข้ามภพข้ามชาติ
และมองกันหลายๆ ชาติ และเขาคิดอีกว่า ถ้าหากเรามีสมบัติปริมาณขนาดนี้ เราทำอย่างไร
ทำทีเดียวใช้ได้หลายที ใช้ได้หลายชาติ ตายแล้วยังใช้ได้อีก เกิดใหม่ก็ใช้ได้อีก
คนมีภูมิปัญญาเขาจะคิดกันอย่างนี้ว่า
ทรัพย์เรามีแค่นี้ ทำอย่างไรมันถึงจะขยายไปใช้ได้มากๆ และวัดกำลังใจว่า
ในวาระเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดทุพภิกขภัย ใครจะมีกำลังใจสร้างความดีกัน เขาดูกันตรงนี้
เพราะฉะนั้น ท่านเมณฑกเศรษฐี
เราได้ยินชื่อนี้กันบ่อย ท่านมีกำลังใจสูงส่ง ฉกฉวยชิงโอกาสที่เกิดภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้น
สร้างบารมีไปเลย โดยท่านคิดว่า ถ้าข้าวมื้อนี้เรากิน เราก็อิ่มแค่มื้อนี้เท่านั้น
แต่มื้อนี้ ถ้าคิดถึงเป็นมูลค่ามันก็ไม่กี่บาท ถ้าเราไปใส่บาตรพระ พอข้าวตกจากมือเราลงไปในบาตรพระ
มันมีฤทธิ์ มีอานุภาพ เป็นผลบุญติดอยู่ในตัวของเรา และติดไปกระทั่งถึงวาระสุดท้ายทีเดียว
เวลาตายนึกถึงบุญนี้ก็ปลื้มปีติ
ตายแล้วบุญส่งผลให้ไปมีสมบัติอันเป็นทิพย์ มีรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์
รสทิพย์ สมบัติเป็นทิพย์ มีความเป็นใหญ่ที่เป็นทิพย์ทั้งหมด ลงมาเกิดอีก บุญนั้นยังส่งผลให้มาเป็นมหาเศรษฐีอีก
และก็ไม่ได้เป็นชาติเดียว เป็นแล้วเป็นอีก เป็นแล้วเป็นอีก เป็นอีกแล้วก็ทำบุญอีก
จนกระทั่งภพสุดท้ายถึงได้มีสมบัติตักไม่พร่อง เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อก็เป็นความจริง
เหลือเชื่อ คือ มนุษย์ในยุคนี้ นึกไม่ออกว่า มันจะเกิดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ภาวะนี้
จะเป็นภาวะที่จะวัดกำลังใจของเราว่า เราจะมีกำลังใจเข้มแข็งกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกันแค่ไหน
และวัดภูมิปัญญาของนักสร้างบารมี ถ้าใครตระหนี่ถี่เหนียว
ภพชาติต่อไปความตระหนี่นั่นแหละจะทำให้เราจะลำบากยากแค้นกันภพชาตินี้ แต่ถ้าใครไม่ตระหนี่
ใช้สติ ใช้ปัญญา ทุ่มเทกันทำกันเต็มที่ เมื่อเราเกิดมาสร้างบารมี บุญนี้ก็จะไปเป็นของเรา
ไม่ได้ไปเป็นของใคร และสมบัตินี้ก็ตักไม่พร่อง โจรปล้นก็ไม่ได้ น้ำท่วมก็ไม่ได้ ไม่ถูกทำลาย
ไม่เสียหาย ไฟไหม้ก็ไม่เป็นไร จะเกิดวาตภัยลมพัดก็เฉยๆ ไม่มีอะไรทำลายสมบัตินี้ได้เลย
ยกตัวอย่าง ท่าน โชติกเศรษฐี
ไปวัด สมบัติอยู่ที่บ้าน พระราชาจะมาปล้น จะมาขนสมบัติ แต่เอาอะไรไปไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งๆ ที่มีพลพยุหเสนามากมาย ก็ยังเอาอะไรไปไม่ได้ ทำลายไม่ได้
เพราะบุญคุ้มครองเอาไว้ ของใครก็ของคนนั้น เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราจะทอดทิ้งธุระไม่ได้เลย มีอะไรที่เป็นบุญได้
พึงทำเสียเถิด
บุญเฉพาะหน้าสำหรับเรามีหลายอย่าง
ตั้งแต่บุญเป็นเจ้าภาพบวชสามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป ในวันมาฆบูชาที่จะถึงนี้ ไปชวนคนมาบวชเป็นสามเณร สำหรับผู้นำบุญอย่าเพิ่งบวชเลย ไปตามมาดีกว่า
และก็คอยเป็นเสบียง ดูแลหล่อเลี้ยง ไปตามใครมาเป็นเจ้าภาพบวช บวชให้ได้ ๑๐,๐๐๐ รูป
เพื่อที่จะร่วมฉลองอัญเชิญพระบรมพุทธเจ้าเสด็จประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์
วันปีใหม่นี้ เราจะหล่อรูปคุณยาย
ด้วยทองคำ ขนาดเท่าตัวจริงของท่าน ในวันที่ ๑ มกราคม สำหรับผู้ที่จะมาอยู่ธุดงค์
หรือใครว่างวันนั้นก็มาแสวงบุญ
บุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวอีก สร้างด้วยตัวเอง หรือจะไปชวนใครมาสร้าง
มันเป็นบุญใหญ่ของเราทั้งสิ้นเลย
เพราะฉะนั้น ให้ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการสร้างบารมี
อย่าไปหวั่นไหวตามกระแสโลกเขา นั่นเป็นเรื่องของผู้ไม่รู้ คนที่เขาไม่รู้หนทางที่จะไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
ปล่อยเขาไปเถอะ แต่เรารู้แล้วเห็นแล้ว
ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเป็นเดิมพัน ทำด้วยตัวเอง และก็ไปชวนคนอื่นมาทำกันให้เยอะๆ
บนสวรรค์จะได้มีหมู่พวกของเราให้เต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นให้เข้าใจตามนี้
ต่อจากนี้ไปก็อธิษฐานจิตตามใจชอบทุกๆ
คน ในขณะที่กระแสธารแห่งบุญกำลังหลั่งไหลเกิดขึ้นในศูนย์กลางกาย
ให้ทุกคนอธิษฐานจิตจะสำเร็จเป็นอัศจรรย์ ต่างคนต่างอธิษฐานกัน
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2565