เส้นทางพระอริยเจ้า
วันอาทิตย์ที่
๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ ( ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. )
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ หลับตาพอสบายๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้สบาย ให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ
ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลาย
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันกับทุกสิ่ง
โดยนึกถึงความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่า เมื่อมีเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องเสื่อมสลาย ทุกสิ่งไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
นี่เป็นความจริงแท้
ตึก ราม บ้านช่อง รถรา ต้นไม้ ภูเขา ผู้คน แม้แต่โลกของเราใบนี้
สักวันหนึ่งต้องไปสู่จุดสลาย เกิดกัปวินาศ ด้วยไฟบรรลัยกัลป์บ้าง ลมบรรลัยกัลป์ หรือน้ำบรรลัยกัลป์
ซึ่งมันก็มีอย่างนี้ในทุกกัปที่ผ่านมา ก็แปลว่า ทั้งสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเดชพระคุณหลวงปู่ และคุณยายอาจารย์
ยังถูกพญามารจับถอดกายได้ นับประสาอะไรกับเราที่ยังไม่ได้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรายังไม่ทรงอภิญญาเหมือนมหาปูชนียาจารย์ ขนาดท่านได้ไปรู้ไปเห็นวิชชาธรรมกาย
ยังถูกพญามารจับถอดกายได้ นับประสาอะไรกับเราที่สักวันหนึ่งก็จะต้องเป็นอย่างนั้น
แปลว่า เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด สรรพสัตว์กับสรรพสิ่งทั้งหลาย
คน สัตว์ สิ่งของเหล่านั้น เป็นเครื่องอาศัยกันอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
สักวันก็จะต้องพลัดพรากจากกันไป ไม่เราพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้นไปก่อน
สิ่งเหล่านั้นก็จะต้องพลัดพรากจากเราไป นี่ก็เป็นความจริงแท้
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวาง
ต้องคลายความผูกพัน กับทุกๆ สิ่ง ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นของเรา เป็นตัวเรา
จนเกิดความติดยึด ใจของเราก็จะได้ปลอดโปร่งสบาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่หวั่นไหว
แล้วเราก็จะได้ใช้เวลาอย่างจำกัดของชีวิตนี้แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด
เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของชีวิต นั่นคือแสวงหามรรคผลนิพพาน
อย่างน้อยก็หาพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา เพราะฉะนั้นในตอนนี้
เราก็จะต้องปลดปล่อย วางดังกล่าว
วางใจ
แล้วก็รวมใจของเรากลับไปหยุด นิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมาเส้นหนึ่ง ขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
หรือเราจำง่ายๆ ว่า อยู่ในบริเวณกลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ บริเวณนี้นะจ๊ะ
ฐานที่
๗ ต้นทางพระนิพพาน
ฐานที่ ๗ นี้ เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น
ของเรา แล้วก็เป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ต้นทางสายกลางภายใน ที่เรียกว่า ต้นทางแห่งความบริสุทธิ์
หรือ วิสุทธิมรรค ต้นทางแห่งความหลุดพ้น
เรียกว่า วิมุตติมรรค เป็นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเริ่มหยุดใจอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ หลังจากที่ท่านศึกษาเรียนรู้หนทางแห่งการดับทุกข์ จากครูบาอาจารย์ต่างๆ
ในยุคนั้น แล้วท่านก็ค้นพบว่า ไม่ใช่วิถีทางที่จะดับทุกข์ได้ พ้นทุกข์ได้
จึงปลีกวิเวกมาแสวงหาด้วยตัวพระองค์เอง และในที่สุดก็ค้นพบมรรคผลนิพพานอยู่ภายในตัว
ที่ใต้ต้นโคนไม้พระศรีมหาโพธิ์ ด้วยการเริ่มหยุดใจอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้ โดยไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าคิดมามากแล้ว ปล่อยวางเฉยๆ ทำใจหยุดนิ่งเฉยๆ
พอถูกส่วนเข้า ใจก็จะตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน แล้วสิ่งที่มีอยู่ในตัวก็บังเกิดขึ้นมา
สภาวธรรมภายใน
สิ่งแรก คือ ดวงธรรมบังเกิดขึ้นในศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค เป็นดวงใสๆ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งไปกว่านี้ ใส เย็น สบาย
คล้ายแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่ว่าเย็นสบาย มาพร้อมกับความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน
ทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ในกลางดวงธรรมดวงนี้ แล้วก็เห็นไปตามลำดับ
เห็นดวงศีล อยู่ในกลางดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน
เห็นดวงสมาธิ ผุดขึ้นมาในกลางดวงศีล
เห็นดวงปัญญา ผุดขึ้นมาจากกลางดวงสมาธิ
เห็นดวงวิมุตติ ผุดขึ้นมาจากกลางดวงปัญญา
เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ผุดขึ้นมาจากกลางดวงวิมุตติ
แล้วก็เข้าถึงกายในกาย พอถึงกายมนุษย์ละเอียด
ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ก็เข้าถึงกายทิพย์
ในกลางกายทิพย์ ก็เข้าถึงกายรูปพรหม
ในกลางกายรูปพรหม ก็เข้าถึงกายอรูปพรหม
ในกลางกายอรูปพรหม ก็เข้าถึงกายธรรมโคตรภู
ในกลางกายธรรมโคตรภู ก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน
ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน ก็เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี ก็เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี
ในกลางกายธรรมพระอนาคามี ก็เข้าถึงกายธรรมพระอรหัต
แต่ละกายก็มีกายหยาบ กายละเอียด ซ้อนกันอยู่
รวมทั้งกายหยาบ เป็น ๑๘ กาย กายสุดท้าย คือ กายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าถึงก็ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตของเราที่จะได้เดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราก็จะต้องหยุดใจของเราให้นิ่งๆ นุ่มๆ สบายๆ ทำแบบเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำ
คือ หยุดใจนิ่งอย่างเดียว แล้วเราก็จะได้บรรลุธรรมไปตามลำดับ เช่นเดียวกับพระองค์บ้าง
เพราะว่ามรรคผลนิพพานอยู่ในตัวของเราเท่านั้น
ต้องผ่านศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เข้าไปดังกล่าว จึงจะเห็นไปตามลำดับ เห็นได้แจ่มแจ้ง
เห็นได้แตกต่างจากที่เราเคยเห็นด้วยตามนุษย์ เป็นการเห็นอันประเสริฐ อันเลิศ อันวิเศษ
เห็นแจ้ง ภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิปัสสนา เพราะว่าเห็นแจ้ง
แล้วก็จะรู้แจ้งขึ้นมา เห็นได้รอบตัว ก็รู้ได้รอบตัว นี่คือทางมรรคผลนิพพาน ที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านได้ทำอย่างนี้
บริกรรมนิมิต
เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็จะต้องหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ด้วยการผูกใจไว้กับหลักของใจ คือ บริกรรมนิมิต คือ ภาพทางใจ ที่เราจะใช้นึกแทนสิ่งอื่น
คน สัตว์ สิ่งของ เพราะว่าเป็นวัตถุอันบริสุทธิ์ ของใสๆ นึกแล้วใจเราจะใสๆ
คือ นึกถึงดวงใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย ขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยก็โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือว่าเป็นเพชรสักเม็ดหนึ่ง
ใสบริสุทธิ์กลมรอบตัว อยู่ในกลางท้องของเรา บริเวณที่เรามั่นใจว่าเป็นศูนย์กลางกายฐานที่
๗
นึกให้ต่อเนื่องอย่างสบายๆ นึกได้แค่ไหนเราก็เอาแค่นั้น
แต่ต้องนึกอย่างสบาย นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร
เพราะวัตถุประสงค์ต้องการให้ใจมาหยุดนิ่ง อยู่บริเวณกลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ หรือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ให้นึกไปเรื่อยๆ
หรือใครถนัดนึกถึงองค์พระ ก็นึกถึงองค์พระไป ใครถนัดนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่อยู่กลางกายก็ได้
อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องนึกอย่างธรรมดา สบาย คล้ายกับเรานึกถึงคนที่เรารัก ของที่เรารัก
ที่เราคุ้นเคย
นึกถึง ๓ สิ่งนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นวัตถุอันเลิศ
บุคคลอันเลิศ ใจเราจะได้สะอาด บริสุทธิ์ สูงส่ง ตามท่านไปด้วย
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สม่ำเสมอ
โดยให้เสียงดังออกมาจากในกลางท้องของเรา ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ ทุกครั้งที่ภาวนา
สัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมนึกถึงภาพความใสบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิตดังกล่าว
และทุกครั้งที่นึกถึงบริกรรมนิมิต จะต้องไม่ลืมภาวนา
สัมมาอะระหัง อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจเราฟุ้งคิดเรื่องอื่น
เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง กันใหม่ ให้ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้ ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่งถูกส่วน
แล้วก็จะเห็นไปตามลำดับดังกล่าวเองนะจ๊ะ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ทำความเพียรทำงานที่แท้จริง
คือ การฝึกใจให้หยุดนิ่ง เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ที่พึ่ง ที่ระลึก ที่อันสูงสุด
ของเรา ก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2565