เส้นทางพระอริยเจ้า
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐(๐๙.๐๐
- ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คน
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับแค่พอสบายๆ
เหมือนปรือๆ ตานิดหนึ่ง ไม่ถึงกับปิดสนิท
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่ใบหน้า
ต้องผ่อนคลาย หลับตาพริ้มๆ นั่งหน้ายิ้มๆ แย้มๆ อย่างนั้น ถ้าเราทำตรงนี้ได้เดี๋ยวจะผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดปล่อยวาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
จากเครื่องกังวลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ บ้านช่อง ธุรกิจ การงาน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
คลายความผูกพัน
ให้คลายความผูกพันจากสิ่งเหล่านี้ไปให้หมด เพราะว่าความเป็นจริงบางทีเราก็จากสิ่งนี้ไปก่อน
บางทีคนสัตว์สิ่งของก็จากเราไปก่อน นี่เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่
แล้วก็เสื่อมสลายไป เราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรมากเกินไป ความจริงมันเป็นอย่างนี้
แม้แต่ร่างกายของเรา ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นของๆ เรา สักวันก็ต้องละทิ้ง ทอดทิ้งไป กายละเอียดเราต้องเดินทางออกไป
ทิ้งกายหยาบเหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งเอาไว้ในป่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็อย่าไปผูกพันมัน
จนทำให้เกิดเป็นความหวงแหนทุกข์ทรมานของชีวิต เอาแค่เป็นเครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็จากกันไป
เราอาศัยกายหยาบนี้และทุกสิ่ง เพื่อการทำพระนิพพานให้แจ้ง
แสวงบุญ สร้างบารมี มีวัตถุประสงค์เพียงแค่นี้ จะได้สลัดตนให้พ้นจากความทุกข์ จากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารทั้งหลาย
ถ้าหากเราไม่มีความรู้ตรงนี้ เราก็จะตกเป็นบ่าวเป็นทาสเขา อยู่ภายใต้กฎระเบียบ กฎแห่งกรรม
กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เรากระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนมีวิบากทั้งสิ้น
เราจะต้องเอาชนะมันให้ได้ หาทางหลุดทางพ้นให้ได้
วิธีการเดียว คือ ต้องทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้ฝึกตนพัฒนาตัวของท่าน
ในการละชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส สั่งสมบุญบารมี ๓๐ ทัศ เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว
ท่านก็จะไม่ผูกพันต่อสิ่งใดเลย ใจจะคลายความผูกพันกระทั่งชีวิต แม้เลือดจะเหือดแห้งหายไป
เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ท่านมุ่งมั่นที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ให้ได้
วางใจ
เมื่อใจคลายความผูกพันแล้วแม้กระทั่งชีวิต ซึ่งที่สุดใจก็จะกลับมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่กลางท้องในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ใจจะไปหยุดอยู่ตรงนั้น
เส้นทางพระอริยเจ้า
พอถูกส่วนเข้า ใจที่ไม่ติดอะไร
ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งแม้กระทั่งชีวิต ก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน และดวงธรรมใสๆ
ก็ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายของท่าน กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรที่เจียระไนแล้วหรือยิ่งกว่านั้น
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มาพร้อมกับความสุขความบริสุทธิ์ของใจ
ใจของท่านก็ยิ่งนิ่งแน่นอยู่ในกลางดวงใสๆ ซึ่งเป็นธรรมดวงแรก คือปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน
หลังจากนั้นความสุขที่เกิดขึ้น
ก็ดึงดูดให้ใจท่านติดอยู่ตรงกลางดวงธรรมใสๆ แล้วก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
เส้นทางสายกลางภายในของพระอริยเจ้าเรียกว่า อริยมรรค ทางเดินของพระอริยเจ้า หรือเดินทางไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้าที่ห่างไกลจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
ใจก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในไปตามลำดับ จะเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัว ซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน
เป็นทางมาแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะของท่าน
ท่านก็ดำเนินจิตเห็นกายในกายตามเห็นเข้าไปเรื่อยๆ
เห็นกายมนุษย์ละเอียด อยู่ในกลางกายมนุษย์หยาบท่าน เห็นกายทิพย์หยาบซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด
เห็นกายทิพย์ละเอียดซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์หยาบ เห็นกายรูปพรหมหยาบซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์ละเอียด
เห็นกายรูปพรหมละเอียดซ้อนอยู่ในกลางกายรูปพรหมหยาบ
เห็นกายอรูปพรหมหยาบซ้อนอยู่ในกลางกายรูปพรหมละเอียด
เห็นกายอรูปพรหมละเอียดซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหมหยาบ
เห็นกายธรรมโคตรภูหยาบ ซ้อนอยู่กลางกายอรูปพรหมละเอียด
เห็นกายธรรมโคตรภูละเอียด ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมโคตรภูหยาบ
เห็นกายธรรมพระโสดาบันหยาบ หน้าตัก ๕ วา สูง
๕ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมโคตรภูละเอียด
เห็นกายธรรมพระโสดาบันละเอียด ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระโสดาบันหยาบ
เห็นกายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ หน้าตัก ๑๐ วา
สูง ๑๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระโสดาบันละเอียด
เห็นกายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ
เห็นกายธรรมพระอนาคามีหยาบ หน้าตัก ๑๕ วา
สูง ๑๕ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด
เห็นกายธรรมพระอนาคามีละเอียด ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอนาคามีหยาบ
เห็นกายธรรมพระอรหัตหยาบ หน้าตัก ๒๐ วา สูง
๒๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอนาคามีละเอียด
และกายสุดท้าย เห็นกายธรรมพระอรหัตตผลซ้อน อยู่ในกลางกายธรรมพระอรหัตหยาบ
ทั้งหมด ๑๘ กาย จะซ้อนๆ กันเป็นชั้น ๆ อยู่ภายใน
กายที่ใหญ่กว่าซ้อนอยู่ในกลางกายที่เล็กกว่า ซ้อนกันได้เพราะมีความละเอียดกว่า บริสุทธิ์มากกว่า
เห็นไปตามลำดับ และเห็นกิเลสอาสวะที่ร้อยไส้ในแต่ละกาย เห็นอวิชชาร้อยไปหมดทุกกาย จนกระทั่งไปถึงกายธรรมพระอนาคามีละเอียดแต่ว่าเจือจางลงไป
เห็นสังโยชน์เบื้องสูง เบื้องต่ำ ซ้อนกันอยู่ กระทั่งกิเลสที่หยาบลงมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึง โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นซ้อนๆ กันอยู่อย่างนี้
แต่กิเลสอวิชชาจะซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอรหัตตผลไม่ได้
ก็จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จากสังโยชน์ จากเครื่องผูกติดไว้ในภพสาม ก็จะไปสู่อายตนนิพพาน
มรรคผลนิพพานเขาเดินทางกันอย่างนี้ มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก
มีอยู่ในกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านเห็นไปตามลำดับ
และนำมาถ่ายทอดให้กับพระสาวกจนกระทั่งเห็นตาม เห็นแจ้งรู้แจ้งแทงตลอด หลุดพ้นจากทุกข์ตามท่าน
ได้เป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ ขั้นกลางก็เป็นโคตรภูบุคคล หย่อนลงมาก็เป็นฌานลาภีบุคคล
น้อยที่สุดก็เป็นกัลยาณชน คนดีที่โลกต้องการ
วันนี้เรากำลังจะเดินทางมรรคผลนิพพาน
ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา โดยทั้งหมดจะต้องใช้วิธีการหยุดใจให้นิ่งๆ
อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ หยุดตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
เพราะใจหยุดเท่านั้นจึงจะทำให้เกิดความสว่าง เป็นแสงสว่างภายใน เกิดความสุข
ความบริสุทธิ์ เกิดการเห็นแจ้งรู้แจ้ง ตลอดจนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ทั้งหลาย
เราต้องจับหลักตรงนี้ให้ได้
ยากตรงหยุดแรก
เพราะฉะนั้นเบื้องต้น เรามาฝึกกันว่า ทำอย่างไรใจจะหยุดนิ่งได้
มันยากตรงหยุดแรก เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการหยุดใจ แต่เราคุ้นเคยกับความอยากของใจ
ที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุข อำนาจ วาสนา พวกพ้อง บริวารอะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น
ความทะยานอยากที่ไม่ประกอบไปด้วยปัญญา แต่ประกอบไปด้วยความเพลินและความไม่รู้
ทำให้เราไปติดกับสิ่งเหล่านั้น พอไปติดกับสิ่งเหล่านั้น
ความวนของชีวิตก็บังเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เราไปติดมีวิบากที่เกิดจากการกระทำทางกาย
วาจา ใจ เพราะกิเลสบังคับ กิเลส กรรม วิบาก มันจะไปด้วยกัน ใจจะไปผูกพันตรงนั้น เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจะต้องมาหยุดใจให้ได้
บริกรรมนิมิต
การหยุดใจนี้ ต้องหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เท่านั้น ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เพื่อให้เป็นที่ยึด ที่เกาะของใจเราก่อนเป็นเบื้องต้น
ใจจะได้ไม่ซัดส่ายไปคิดเรื่องอื่นที่เราคุ้นเคย ไม่ไปคิดเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง ดังกล่าว
บริกรรมนิมิตให้กำหนดสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย
ต้องเป็นของใสๆ โดยจะเริ่มต้นจากอะไรก็ได้ ที่เป็นวัตถุที่เรานึกแล้วทำให้ใจสูงส่งขึ้นมา
เช่น นึกถึงองค์พระก็ได้ ดวงใสๆ ของเพชรสักเม็ดหนึ่ง หรือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวในอากาศ
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ แทนสังฆรัตนะ เราเลือกเอาว่าเราจะจำสิ่งไหนได้ง่าย นึกง่าย
นึกได้อย่างธรรมดา
คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่คุ้นเคย เอาอย่างเดียว
นึกอย่างสบายแต่ให้สม่ำเสมอ ให้ต่อเนื่อง อย่าเผลอไปคิดเรื่องอื่น
บริกรรมภาวนา
ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นก็ประกอบบริกรรมภาวนา
ประคองใจให้หยุดนิ่งควบคู่กันไป โดยให้เสียงคำภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนดังออกมาเองจากกลางท้องของเรา
หรือเราภาวนาอย่างแผ่วเบาละเอียดอ่อน เหมือนบทเพลงและบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย
ดังออกมาจากกลางท้อง ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ
นึกถึงหลวงปู่
ในช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่เนื่องกับพระเดชพระคุณหลวงปู่
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ที่เราจะไปตอกเสาเข็มต้นสุดท้ายในวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ ๔
กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ให้นึกถึงภาพท่านที่เราเคยเห็นในภาพถ่าย รูปปั้น รูปหล่อทองคำ
นึกเบาๆ สบายๆ
อาราธนาให้ท่านมานั่งคุมธรรมะให้กับเรา
มากลั่นธาตุธรรมสะสางธาตุธรรมเราให้สะอาด คือ หลับตามองลงไปให้เห็นท่านเท่าที่เราจำได้
แม้บางส่วนของท่านก็ไม่เป็นไร โดยเริ่มต้นจากตรงที่เราพอจะนึกได้
ด้วยใจที่สบายอย่างนั้นไปก่อน แต่ให้ต่อเนื่อง และอย่าพยายามไปเค้นภาพ
นึกเท่าที่เราจะนึกได้ หรือถ้านึกภาพท่านไม่ได้ อย่างน้อยก็ทำความรู้สึกว่า มีท่านอยู่ในกลางกายอย่างนั้นไปก่อน
เพื่อให้ใจของเราอยู่ในบริเวณกลางท้องแถวศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้น
ประสบการณ์ภายใน
พอถูกส่วนแล้วใจมันจะละเอียดเอง
จะมีปรากฏการณ์ หรือสัญญาณขึ้นมา คือตัวที่ทึบๆ จะโล่งโปร่งเบา กลวงภายในคล้ายๆ
ลูกโป่งกลวงภายใน ให้นิ่งนุ่มเบาๆ อย่างนั้น ไปเรื่อยๆ ใจจะละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
คือยิ่งโล่ง โปร่ง เบา สบาย ยิ่งมีความสุข แม้จะนึกอะไรไม่ออก ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม
ถ้าถูกวิธีเราจะมีความพึงพอใจ
กับการวางอารมณ์อย่างนี้ วางใจอย่างนี้ นึกคิดอย่างนี้ หรืออยู่กับความรู้สึกอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
ใจจะยิ่งชุ่มชื่น เยือกเย็น สบาย แล้วจะมีจังหวะหนึ่งที่มันจะเปลี่ยนมิติ
คือ จะมีการตื่นตัวภายในที่ทำให้เราสดชื่น มีชีวิตชีวาขึ้นมา สมมติเรากำลังงัวๆ เงียๆ
นี่พอไปถึงตรงนั้น มันเหมือนเราสดชื่นเลย หายงัวเงีย ตื่นตัวภายใน
แล้วใจก็อยากอยู่ตรงนั้น ไม่อยากคิดเรื่องอะไร ไม่มีเรื่องอะไรจะมาคิด
มันจะนิ่งไปเรื่อยๆ นิ่ง นุ่ม เบา สบาย
เดี๋ยวแสงสว่างจะมาเอง
เพราะแสงสว่างมีอยู่แล้วในตัว แต่ถูกนิวรณ์ครอบงำเอาไว้ เหมือนดวงตะวัน
ดวงอาทิตย์ก็มีอยู่แล้วบนท้องฟ้า แต่เมฆมาบัง ทำให้มีเหมือนไม่มี ของเราก็เช่นเดียวกันมีอยู่
แต่เราไม่รู้ว่ามี แล้วนิวรณ์ ทั้ง ๕ คือการนึกถึงเรื่องกาม พยาบาท ความสงสัย ความฟุ้ง
ความง่วง ความท้อใจ เป็นต้น มาบดบัง
พอใจเริ่มมีความสุขสนุกกับการนั่งแล้ว
เดี๋ยวสว่างมาเอง พอความสว่างมาแล้ว ใจก็จะดื่มด่ำอยากอยู่ตรงนี้อย่างเดียว
เพราะความสุขชนิดนี้เราไม่เคยเจอ แล้วก็นิ่ง ยิ่งนิ่งก็ยิ่งสว่าง สว่างจนกระทั่งเหมือนเราถูกใครเอาไฟมาส่อง
หรือเกิดความรู้สึกสงสัยว่า ใครเปิดไฟน่ะ ถึงได้จ้าขึ้นมาขนาดนั้น เหมือนอยู่กลางแจ้ง
แต่แสงนั้นเป็นแสงแก้วไม่แยงตา ใจจะใสขึ้นไปเรื่อยๆ
จะเห็นไปตามลำดับอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว มาเองเพราะสิ่งนี้มีอยู่แล้วแต่เป็นของละเอียดที่ซ้อนอยู่ภายในของตัวเราและชาวโลก
ของมนุษย์ ของเทวดาทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ลูกทุกคนหยุดใจนะจ๊ะ ฝึกไปเรื่อยๆ นิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สัมมาอะระหังๆ เรื่อยไปเลย อย่าไปอยากเห็นมากเกินไป อย่าไปตั้งใจเกินไป
ให้ทำอย่างมีความสุข สนุกสนานกับการทำ ปรือๆ ตา ผ่อนคลาย ทำอย่างนี้
แค่นี้เท่านั้น เดี๋ยวเราจะสมหวังดังใจ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะทำความเพียร บำเพ็ญกรณียกิจ คืองานที่แท้จริง ให้ตั้งใจฝึกใจหยุด
ใจนิ่ง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ให้ลูกทุกคนสมหวังดั่งใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565