อารมณ์พระ
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
หยุดใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราเหนือสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่แถวบริเวณกลางท้อง
แล้วก็เอาใจหยุดนิ่งๆ ตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ ค่อยๆ
ประคองใจไปเรื่อยๆ ให้หยุดนิ่งอยู่ภายในด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง ประคองใจไปเรื่อยๆ
ต้องหาที่พึ่งภายใน
ภาคบ่ายนี้ หลังอาหาร อย่าหลับนะจ๊ะ ฝึกเอาไว้ให้ได้ในทุกช่วงเวลาของวัน
เราจะต้องเตรียมตัวของเราให้พร้อมเสมอสำหรับอะไรที่มันจะเกิดขึ้น
ถ้าเรามีพระในตัว หรืออย่างน้อยดวงใสๆ ก็จะไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดๆ
ที่จะเกิดขึ้น เพราะว่ามีที่พึ่งภายใน แต่ที่พึ่งภายในนี้จะได้ขึ้นอยู่กับความขยัน
ความเพียร พยายามหมั่นฝึกใจเอาไว้เรื่อยๆ ให้หยุดให้นิ่ง
ซึ่งก็ยากในช่วงแรกๆ จะยากกันสักหน่อย แต่ก็ยากไม่มาก ยากพอสู้ คือ ถ้าเราสู้แล้วก็ไม่ยาก
สู้ฝึกฝนอบรมไป โดยนึกถึงประโยชน์ที่เราจะได้รับว่า คุ้มเกินคุ้ม เมื่อใจเราหยุดนิ่งๆ
อยู่ภายในกระทั่งเข้าถึงดวงใส หรือองค์พระภายใน จะมีความสุข มีปีติสุขเบิกบานประจำวันทีเดียว
ดวงจิตจะแจ่มใส จะเป็นฐานที่จะรองรับภารกิจต่างๆ ได้อย่างดี ไม่ว่าจะคิด พูด
หรือจะทำอะไรก็ตาม ถ้าใจใสแล้ว คิดก็คิดดี พูดก็พูดดี ทำก็ทำดี ผลออกมาก็ดี และก็ทำอย่างมีอานุภาพด้วย
ทำน้อยแต่ได้ผลดีเยอะ คุณประโยชน์เกิดขึ้นเยอะ ก็ต้องฝึกกันไป
อย่าท้อ
เพียรฝึกทุกวัน ของมันมีอยู่แล้ว
อย่าท้อถอย ฝึกกันไปทุกวัน การที่เรานึกถึงดวง หรือองค์พระใสๆ
ไม่ออก ในแต่ละวันนั้นก็ไม่ได้แปลว่า ไม่ก้าวหน้า อย่าไปคิดอย่างนั้นว่า ไม่ได้อะไร
หรือว่าถอยหลัง สมาธิจะเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ทุกครั้งที่เราหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย
เรามาเน้นที่หยุดกับนิ่ง เน้นตรงนี้ให้เยอะๆ
ส่วนภาพนั่นจะเป็นผลพลอยได้ ซึ่งอย่างไรต้องเกิดขึ้นแน่นอนเมื่อใจหยุดนิ่ง
เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วในตัวของเรา ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้มี
ที่เรียกว่า ตถตา ของมันมีอยู่แล้ว
จะเป็นดวงใสแสงสว่างภายใน กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม
กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต
ก็มีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ
เราไม่ต้องไปเสียเวลาหาไปควานหา หรือไปกังวลกับสิ่งเหล่านี้ มีอยู่แล้ว
เหมือนของมีอยู่แล้วในห้องแต่ว่า มันมืด ก็เป็นแต่เพียงไปเดินเปิดสวิตช์เท่านั้นแหละ
พอกดสวิตซ์ไฟมันสว่างพรึบ เห็นดวงธรรมและกายภายใน พระรัตนตรัยในตัวก็เช่นเดียวกัน เหมือนของที่อยู่ในห้องมืด
แต่ว่ากายภายใน และดวงธรรมอยู่ในความสว่าง แต่ที่เราไม่สว่าง เพราะว่าใจเรามันยังมืด
มีนิวรณ์มากั้นเอาไว้ ทำให้มืด
คือ ใจถูกนำเอาไปใช้ในการนึกถึงเรื่องกาม เรื่องเพศ เรื่องสมบัติ
เรื่องความโกรธ ความสงสัย ในเรื่องราวคน สัตว์ สิ่งของ ฟุ้งซ่านฟุ้งฝันเรื่อยไป
หรือบางทีมันก็เคลิ้มๆ ง่วงเหงาหาวนอนซึมเซาอะไรต่างๆ เหล่านั้น
เราถูกสิ่งเหล่านี้มาบดบัง เหมือนความสว่างของดวงจันทร์วันเพ็ญ กับดวงตะวันยามเที่ยง
มีอยู่แล้วแต่บางครั้งเมฆมันก็มาบัง ดวงตาเราก็มีอยู่ แต่เรามองไม่เห็นความสว่างของดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์
เพราะเมฆมาบัง เช่นเดียวกันเราถูกนิวรณ์มาบัง คือ ความคิดในเรื่องดังกล่าวนั่น ทีนี้นิวรณ์จะแพ้ใจที่หยุดนิ่ง
เมื่อเราทำความเพียรอย่างถูกหลักวิชชา คือ ต้องค่อยๆ ประคองใจ ฝึกให้หยุดนิ่ง ฝึกทุกวัน
อย่าลดละ อย่าท้อถอย
ต้องมี
๕ ส.
แล้วก็หมั่นสังเกตว่า เราทำถูกหลักวิชชาไหม ที่สำคัญเราต้องสมัครใจที่จะทำเสียก่อน
สมัครใจ มีสติ สบาย สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง แล้วก็หมั่นสังเกต
การฝึกใจให้หยุดนิ่ง ก็คือ การแสวงหาความพอดี
หรือความสมดุลของใจ ที่ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ปราศจากความยินดียินร้าย ใจจะเป็นกลางๆ
ถ้าหากว่า เราพบความพอดีได้ ถูกส่วนได้ ก็นิ่งเองนั่นแหละ หรือแสงสว่าง ดวงธรรม
องค์พระ ก็จะผุดขึ้นมาเมื่อใจเราละเอียด เพราะฉะนั้นเราต้องจับหลักให้ได้ว่า อยู่ที่หยุดกับนิ่งนี่เอง
เมื่ออยู่ที่หยุดกับนิ่ง เราจึงไม่จำเป็นต้องกดลูกนัยน์ตาไปดู
เพราะเวลาใจหยุดนิ่งจริงๆ แล้ว จะหลุดจากกายหยาบ ด้วยความรู้สึกเราหลุดจากกายหยาบ
เหมือนตัวโล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยายออกไป และก็หายกลืนไปกับบรรยากาศ แปลว่า เราไร้ตัวตนแล้วไปสู่ภาวะละเอียด
หรือมิติใหม่ที่ละเอียดกว่าเดิม ความสุขก็จะค่อยๆ ปรากฏเกิดขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งก็จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจ ที่จะอยู่ในสภาวะนี้นะ
วิธีสังเกตเรานั่งถูกหลักวิชชาไหม
ถ้าจะวัดหยาบๆ ว่า เรานั่งได้ก้าวหน้าไหมก็ตรงที่รู้สึกว่า
เวลามันหมดไปเร็วเหลือเกิน นั่งไม่เบื่อ ไม่เมื่อย ไม่เบื่อ แม้ไม่เห็นอะไรก็ไม่เบื่อ
จะมีความรู้สึกใจนิ่งๆ เฉยๆ แต่ไม่ใช่เฉยแบบทื่อๆ เฉยแบบสบาย นิ่งแบบสบายนั่นแหละ เราทำถูกต้องแล้ว
และหลังจากนั้นก็ประคองใจให้อยู่ในสภาวะนั้นตลอด เหมือนเราหัดขับรถแล้ว เมื่อรถขึ้นสู่ทางได้แล้ว
แค่จับพวงมาลัยในระดับความเร็วที่เราต้องการให้สม่ำเสมอเท่านั้นแหละ ภายในก็เหมือนกัน
ต้องฝึกไป
นี่คืองานที่แท้จริงของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สอนตัวเองทุกวัน
บอกตัวเองอย่างนี้ แล้วจะทำให้เราขยัน หรือบางทีก็นึกว่า เออ พี่น้องวงบุญของเรา เขายังทำได้เลย
บางคนก็ทำได้มานานแล้ว บางคนมาทีหลังเรา หรือมาพร้อมเรา เขายังทำได้ เขามีมือ มีเท้า
มีอะไรทุกอย่างๆ ที่เรามี เราก็ต้องทำได้บ้าง คิดอย่างนี้แล้วจะได้ฮึดสู้
ต้องสอนตัวเองอย่างนี้นะลูกนะ แล้วใจเราจะนิ่ง นุ่ม สบาย
เพราะฉะนั้น ข้อสังเกตว่า เราทำถูกวิธีไหมคือ เรารู้สึกว่า สบายไหมล่ะ
ถ้าสบายก็ถูกต้อง แต่สบายอย่างมีสติ ไม่ใช่สบายแบบฟุ้งฝันเรื่อยเปื่อย
แต่ถ้าไม่สบายก็แสดงว่า ไม่ถูกหลัก เราก็ต้องปรับใหม่ อย่าไปดันทุรังทำไปนะ ขยับเนื้อขยับตัวเราก็ค่อยๆ
ปรับไป
ถ้านึกภาพไม่ออก จะเป็นดวงใส หรือพระแก้วใสๆ
นึกไม่ออกก็ไม่ต้องไปนึก เราอาจจะเริ่มต้นในสิ่งที่เรานึกได้ง่ายก่อนก็ได้ เพื่อใจจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว
นึกถึงขันล้างหน้า แปรงสีฟัน และก็นึกถึงสิ่งที่เราคุ้น แหวนเพชร พระห้อยคอ น้ำที่กลิ้งบนในบัว
น้ำค้างปลายยอดหญ้า ดอกบัว ดอกกุหลาบอะไรก็นึกไปอย่างนั้น แต่อย่านึกนาน
นึกแค่ว่าให้ใจนิ่ง นึกแล้วก็ปล่อย เพื่อที่จะกลับมานึกถึงดวงแก้ว หรือองค์พระให้ได้แบบนั้น
แบบที่เรานึกถึงสิ่งเหล่านั้นก็ฝึกกันไปอย่างนี่
ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน
ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนทั้งนั้นนะลูกนะ ไม่มีใครที่อยู่ๆ ก็เป็นขึ้นมา
แม้ผู้มีบารมีแก่ๆ ก็ต้องมานั่งฝึก ดูอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา บารมีท่านก็แก่มาก
ท่านก็ยังต้องมานั่งฝึกฝนปล่อยชีวิต เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบารมีท่านก็แก่ๆ
ท่านก็ยังต้องฝึกฝนแล้วก็ปล่อยชีวิต แต่ว่าหลักก็ไม่หนีฝึกใจให้หยุดนิ่งอยู่ในตัว นี่คือข้อสังเกตนะลูกนะ
สังเกตให้ดีๆ
ประสบการณ์ภายใน
หรือบางทีปีติเกิดขึ้น เมื่อเราละวิตก วิจารได้ เช่น ขนลุกซู่ซ่า
น้ำหูน้ำตาไหล ตัวโยก ตัวโคลง ตัวเบา ตัวขยาย ตัวยืด ตัวย่อ ตัวลอย หรือเหมือนหล่นจากที่สูง
เป็นต้น เกิดขึ้น เขาเรียกปีติที่สามารถเอาชนะนิวรณ์ได้ด้วยวิตก วิจาร คือ ตรึกนึกถึงดวงใส
องค์พระ หรือภาวนา สัมมาอะระหัง อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งหลุดจากนิวรณ์ข้อใดข้อหนึ่ง หลุดไปเลย พอหลุดไปก็เกิดปีติว่า เอ้อ
เราเอาชนะได้ ปีติก็แสดงออกมาทางใจ แล้วขยายสู่ระบบประสาทกล้ามเนื้อ
ทำให้เราเกิดอาการดังกล่าว
ถ้าคนใหม่ เกิดประสบประการณ์อย่างนี้ก็จะสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้น แต่ข้อแนะนำคือจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องสงสัย
ให้ทำใจนิ่งๆ คือ พอปีติเกิดขึ้นแล้ว จะคลาย รู้สึกไม่เมื่อยแล้ว สบายๆ
สบายในระดับที่เรายอมรับว่า เออ มีความสุขที่น่าจะอยู่กับตรงนี้นานๆ
แล้วใจก็จะอยู่ตรงนี้ จนกระทั่งไม่เขยื้อน คือ หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์เป็น เอกัคคตา คือ ใจเป็นหนึ่งไปแล้ว ไม่มีเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ความคิดใดๆ
เข้ามา จะเป็นสถานที่ปลอดความคิด ซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย และไม่เคยเฉลียวใจว่า
มีสถานที่อย่างนี้อยู่ ใครมาบอกเราก็ไม่เชื่อ เพราะเราไม่มีประสบการณ์
ตรงใจเป็นหนึ่งจะปลอดความคิด
ซึ่งตอนนี้เราจะเปรียบเทียบได้ มันแตกต่างจากอารมณ์ที่มีความคิดคำนึงไม่ว่า จะเป็นเรื่องดี
หรือไม่ดีก็ตาม ที่เป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม สู้อารมณ์ที่เป็นหนึ่งไม่ได้ เอกัคคตา
และก็มาพร้อมกับความสุขที่ยิ่งใหญ่ และหลังจากนั้นใจก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เห็นแสงสว่าง
ดวงธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น
ฝึกให้ชำนาญ
เราก็ต้องหมั่นฝึกตรงนี้ให้ได้ทุกวันเลย อย่าขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียว
เดี๋ยวต่อไม่ติด ฝึกจนกว่าจะชำนาญนั่นแหละ ฝึกให้ชำนาญ คือ เมื่อความชำนาญเกิดขึ้น
ก็จะใช้ระยะเวลาเร็วขึ้นในการเข้าไปสู่ เอกัคคตา
หรือความเป็นหนึ่งของใจที่ไม่เขยื้อน ใจจะนิ่งแน่น
ใหม่ๆ เราอาจจะใช้เวลาถึงชั่วโมง มันก็จะลดมาเหลือ ๕๐, ๔๐, ๓๐ นาที ลดลงมาเรื่อยๆ เมื่อเราขยันฝึกจนกระทั่งพอหลับตาก็นิ่งเลย
หรือถ้าชำนาญกว่านั้น ทั้งหลับตา ลืมตา ก็อยู่ตรงนั้นแหละ และชำนาญกว่านั้นก็สามารถแบ่งออกมาคิดเรื่องหยาบได้
กับอีกครึ่งหนึ่งอยู่ข้างในนั่นแหละ ซึ่งจะสอดคล้องกันไปด้วยกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว
ข้างในก็จะหยุดนิ่ง แม้ข้างนอกจะเคลื่อนไหว แต่มีความสุขภายใน เพราะใจใสตลอดเวลา จะสว่าง
ใส ประสบการณ์อย่างนี้มนุษย์ที่เป็นปกติ สามารถเข้าถึงได้
ลูกทุกคนมีบุญมาก
ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญที่สั่งสมมายาวนาน
แต่ก็ไม่รู้ตัวว่า ตัวเองมีบุญ ต้องให้คนอื่นเขายืนยันนั่นแหละ จึงจะมั่นใจ ที่ว่ามีบุญเพราะว่าเราได้มาถึงในระดับผ่านขั้นตอนที่ว่า
เราได้เข้าใกล้กับแหล่งที่เขาปฏิบัติธรรม ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมกาย
จนกระทั่งเกิดกุศลศรัทธามาปฏิบัติ เหลืออย่างเดียวที่จะมีประสบการณ์ภายในด้วยตัวเอง
ด้วยการฝึกฝน
และเมื่อเรารู้สูตรสำเร็จว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านสรุปมาให้อย่างนี้แล้ว
นั่นก็ต้องถือว่า มีบุญมหาศาล ตอนนี้ขึ้นอยู่กับความขยันของเราแล้วล่ะ ขยันมากก็หยุดได้เร็ว
ขยันน้อยก็หยุดได้ช้า เพราะว่ายังมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรก
แค่เราฝึกใจอยู่ภายในตรงกลางถี่ๆ บ่อยๆ ความคิดอื่นก็ไม่ได้ช่องที่จะมาแทรก
เพราะว่าความคิดดีๆ หนาแน่น ต่อเนื่องจนกระทั่งภาพดวงใส องค์พระไม่คลาดจากใจเลย แล้วมันจะต่อกันไปเป็นดวงใสๆ
หลับตา ลืมตา อาบน้ำอาบท่า ขับถ่าย รับประทานอาหารเคลื่อนไหวได้
มันก็เห็นได้ตลอดเวลา
อารมณ์พระ
เมื่อเราฝึกถี่ๆ บ่อยๆ มันก็ชำนาญเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งระดับเข้าถึงพระธรรมกายในตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่าน คือ เป็นพระ
แม้เราจะเป็นคฤหัสถ์ เป็นฆราวาส แต่เราก็เป็นพระภายในได้
อารมณ์พระก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เราอยากจะรู้อารมณ์พระเป็นอย่างไรก็ต้องเข้าถึง ใจจะสะอาด เกลี้ยงจากอกุศลธรรม
จะสว่างภายใน จะนิ่งๆ สงบมั่นคง ไม่เขยื้อนอยู่ภายใน มีความบริสุทธิ์ มีดวงปัญญา มีมหากรุณา
รักปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์
ปรารถนาในระดับที่อยากให้เขามาเป็นอย่างเรา ให้มีความสุขที่ยิ่งกว่าที่เขามี
หรือเขาไม่เคยเจอก็ให้มาเจออะไรอย่างนั้น เมื่ออารมณ์เราเป็นพระแล้ว มันจะเกิดอย่างนั้นแหละ
และยิ่งเราฝึกขึ้นไปเรื่อยๆ องค์พระก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น แจ่มขึ้น
ผุดผ่านขึ้นมาเรื่อยๆ สว่างไสว เวลานอนเราก็จะนอนอยู่ในองค์พระ คือ นอนไปพร้อมกับการเห็นภาพพระเป็นภาพสุดท้าย
แล้วก็หลับอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญ ในแหล่งแห่งความสุขที่บริสุทธิ์ เหมือนหลับไปแป๊บเดียวก็ตื่นขึ้นมา
สิ่งแรกที่จะปรากฏในตอนตื่น คือ องค์พระใสๆ แล้วมันก็ไม่ค่อยจะงัวเงียเท่าไรหรอก จะสดชื่น
แต่ใส องค์พระท่านก็ยังนั่งเป็นปกติในขณะที่เรานอนเป็นปกติ
ท่านก็ยังนั่งอยู่ในอิริยาบถเดียว
เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ ขับถ่าย ท่านก็ยังปรากฏอยู่
สว่างอยู่ตรงนั้นแหละจะรับประทานอาหาร จะเตรียมตัวไปทำมาหากินก็ยังสว่างอยู่อย่างนั้น
จะขับรถไปทำมาหากินก็ยังสว่าง รถจะติดจอแจมันก็ไม่ได้ไปสนใจ
เพราะว่าอยู่กับองค์พระรู้สึกมีความสุข สบายใจ ไปถึงที่ทำงานก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส
ความยิ้มแย้มแจ่มใสของเราที่ออกมาจากกลางดวง หรือองค์พระใสๆ เป็นยิ้มที่แท้จริงบริสุทธิ์
ที่เราไม่ต้องไปฝืนยิ้ม หรือขยายกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเรา ซึ่งทั้งหมดนี่จะอยู่ในสายตาของเพื่อนร่วมงาน
และจะมีกระแสออกจากตัวเรา ที่ใครเข้าใกล้จะรู้สึกสบายใจ อยากจะมาอยู่ใกล้ๆ อยากพูดอยากคุย
มีอะไรก็อยากจะเล่าให้ฟังอะไรต่างๆ เหล่านั้น แล้วก็การรับฟังของเราก็จะเป็นปกติ
ไม่เสียสมดุล คือ ไม่โน้มไปในทางยินดี หรือยินร้าย นิ่งๆ
อย่างมีความสุขเหมือนฟังเรื่องราวอย่างมีความสุข โดยอารมณ์ไม่กระเพื่อม
ตอนบ่ายๆ ของที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานแม้จะเหนื่อยเพลีย เขาล้ากันมาตั้งแต่เช้า
หลังอาหารกลางวันก็ง่วง แต่ถ้าเราเห็นองค์พระมันก็จะสดชื่น จะเป็นน้อยกว่าเขา บางคนไม่เป็นเลย
จะมีความสุขทั้งไปทำงาน และกลับจากที่ทำงานมาถึงบ้าน อารมณ์ก็ยังดูสบาย
เมื่อเราผ่านภารกิจในชีวิตประจำวันด้วยการบริหารขันธ์แล้ว ก็มานั่งสมาธิ
มันก็จะต่อเนื่องเข้ากลางไปอีกเลย กลางองค์พระใสๆ แล้วก็มีองค์พระองค์ใหม่ผุดเกิดขึ้น
เราจะเห็นดวงธรรมที่เชื่อมต่อกายในแต่ละกาย ขององค์พระแต่ละองค์พระ จะเห็นความแตกต่างขององค์พระเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งเป็นกายมหาบุรุษที่สมบูรณ์ แล้วก็จะมีกายมหาบุรุษที่โตขึ้นมา ซ้อนๆ
กันไปเรื่อยๆ
เมื่อเราได้ถึงขนาดนี้แล้ว การที่จะศึกษาวิชชาธรรมกายก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
ตั้งแต่ตรวจตราดูว่า กายเรามีทั้งหมดกี่กายที่เป็นพื้นฐาน เป็นโครงสร้างของชีวิต
เราก็จะเห็นโครงสร้างของแต่ละกายภายใน ๑๘ กาย อะไรต่างๆ เห็นทีละกาย จนกระทั่งเห็นทีเดียวทุกกายเลย
แล้วเราก็ฝึกให้ชำนาญ จะเข้าออกกายไหนเราก็ฝึกกันไป นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นอานิสงส์ของการให้โอกาสตัวเองฝึกให้หยุดให้นิ่ง
แล้วเราจะรู้คุณค่าของเวลาของชีวิต เมื่อเราทำจิตให้หยุดนิ่ง เราจะหวงแหนวันเวลาที่จะเอาไปใช้อย่างอื่น
จะสงวนเวลาสำหรับหยุดนิ่ง เพราะยังมีสิ่งที่เป็นความลับของชีวิตอีกเยอะ
ที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องภพภูมิ ต้องศึกษากันไปว่า ๓๑
ภูมิในภพ ๓ นั้นมีอะไรบ้าง อย่างเช่น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพกามภพมีลักษณะเป็นอย่างไร
มีนรก สวรรค์ มนุษย์ อบาย อะไร อย่างไร เราก็ดู พรหมมีความเป็นอยู่อย่างไร อรูปพรหม
ก็ศึกษาเรียนรู้กันไปตลอดชาติอย่างนั้นแหละ
นี่คือสิ่งที่เราจะต้องศึกษากันอีก เรียนรู้กันไปพอไปถึงขั้นสูงก็
สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเรียนถึงโครงสร้างของภพ ๓ โครงสร้างของจักรวาลต่างๆ
ทั้งหมดมีอยู่ในวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ
ดังนั้น ต้องขยันนะลูกนะ อย่าไปขี้เกียจนั่งธรรมะ วันๆ
เราให้เวลากับเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นสาระแก่นสารนี่เยอะเลย ใน ๒๔ น. เราจึงเป็นประเภทตากระทู้หูกระทะอย่างนั้น
ไม่ค่อยจะรู้เรื่องกัน ต้องขยันนะจ๊ะ ขยันฝึกไป
เวลาที่เหลืออยู่นี้ ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ทำใจนิ่งๆ เบา สบาย
ประคองใจไปให้ใจใสๆ ให้ใจเราบริสุทธิ์ เราจะมีความรู้สึกว่า ระหว่างใจที่บริสุทธิ์กับใจที่ไม่บริสุทธิ์นั้นมันแตกต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน
เหมือนฝั่งของมหาสมุทรฝั่งนี้กับฝั่งโน้น เหมือนกับเรายืนอยู่กับขอบฟ้านั้นห่างกันเลย
เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ฝึกไปประคองไป ให้ใจใสๆ นั่งหน้ายิ้มๆ ให้มันเบิกบาน
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565