ความสุขแท้จริงที่พุทธองค์ค้นพบ
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์
สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
การหลับตา
หลับตาของเราเบาๆ พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ
ไม่ถึงกับปิดสนิท หลับตาพริ้มๆ ถ้าเราหลับตาเป็นอย่างสบายๆ
ร่างกายของเราจะผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่ใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่
แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือ ก็จะผ่อนคลายไปเอง กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว
ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าก็จะผ่อนคลายไปเอง ต้องหลับตาเบาๆ ไม่เร่งรีบ ใจเย็นๆ ตรงนี้สำคัญนะจ๊ะ
อย่ามองข้ามกันไป
ปรับใจ
และทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่ง ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ต้องปล่อยวางจริงๆ ทั้งคน ทั้งสัตว์
ทั้งสิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง เป็นต้น
งานที่แท้จริง
ต้องปล่อยวาง เพราะว่าเรากำลังจะทำงานที่แท้จริง
สำหรับการมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้ง
คืองานที่จะดับทุกข์ด้วยการเดินทางกลับเข้าไปสู่ภายใน เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง
เดินทางภายนอกมันก็วนๆ เวียนๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นสาระแก่นสารอะไร
วนไปวนมาไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นชีวิตของเราจึงไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริงเลย
เจอแต่ความเพลิน เพลินๆ สนุกสนาน เพลิดเพลิน แล้วก็ไม่ใช่เพลินทุกครั้ง มีทั้งปัญหามีแรงกดดัน
พอความทุกข์มันลดลงมาหน่อยก็พอเพลินๆ ก็วนๆ เวียนๆ กันไปอย่างนี้
แต่การเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
ตลอดเส้นทางภายในนั้น จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เราจะเจอแต่ความสุขที่เรายอมรับว่า
เป็นความสุข คือ ความสบายกาย สบายใจอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
และความสุขนี้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันลดลง ไม่ถอยหลังเลย
ความสุขที่ไม่มีประมาณ เพิ่มความไม่มีประมาณให้มากไปขึ้นไปเรื่อยๆ
จนไม่อาจจะใช้ภาษาใดๆ ในโลกมาอธิบายความรู้สึกของความสุขอย่างนี้ ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทางก็ยิ่งมีความสุข
ยิ่งถ้าไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย นั่นก็เป็นสุขบริบูรณ์เลย
เพราะว่าหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง
มันอิสระ บริสุทธิ์ สุข รอบรู้ มีมหากรุณา ความเกิดใหม่ไม่มีแก่ท่านแล้ว
เพราะว่าผังที่จะทำให้เกิด หรือดวงเกิดนั้นถูกทำลายไปหมดสิ้น ภพชาติจึงไม่มีสำหรับท่านต่อไปในสังสารวัฏ
ดับไปหมดเลย
คำว่า ภพดับแล้ว ชาติดับแล้ว ชาตินี้
หมายถึงการเกิด ภพชาติการเกิดใหม่ในสังสารวัฏไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าดวงเกิดไม่มี ดวงเกิดที่ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ของท่าน มันดับไปเลย ดับแวบเหมือนเราเข้าไปในห้องมืด แล้วเราก็กดสวิตซ์ไฟแล้วไฟมันสว่างจ้า
ความมืดมันก็แวบหายไป แต่ว่าในห้องเรานั้น มันสว่างชั่วคราว แต่ความสว่างภายใน ในระดับที่ภพสิ้นแล้ว
ชาติการเกิดสิ้นแล้วนะ มันดับไปอย่างถาวร และก็สว่างเจิดจ้าเป็นนิรันดร์อย่างนั้น
เมื่อไม่เกิดก็ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ไม่ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ไม่ผิดหวังอะไรเลย ความรู้สึกผิดหวังไม่มี ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่มีหลงเหลือเลย และความไม่รู้เรื่องราวไปตามความจริงก็ไม่มีอีก
คือมีแต่ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
ชีวิตที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เพื่อการนี้
จะต้องเดินทางกลับเข้าไปสู่ภายใน นี่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้ง
แต่ละครั้ง แต่ละภพ แต่ละชาติ เราต้องจับหลักตรงนี้ให้ได้ แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง
เส้นทางพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันนี้เรามาถึงจุดที่เรากำลังจะเดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ท่านปลด ปล่อย วาง คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง คลายความผูกพันในสิ่งที่มนุษย์ผู้ไม่รู้ทั้งหลายที่ยังไม่มีความรอบรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตผูกพันอยู่
ติดยึดอยู่ จะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจวาสนา อะไรต่างๆ
เหล่านั้น เป็นต้น ผูกพันอยู่ ท่านหลุดหมดเลย คือไม่มีอาลัยอาวรณ์ ไม่อ้อยอิ่ง
ไม่ผูกพัน
เพราะฉะนั้น ใจของท่านก็จะกลางๆ ว่างๆ
เกิดความวิเวกภายใน ท่านก็อยากจะปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังที่เรียกว่า ปลีกวิเวกออกจากสิ่งแวดล้อมที่อึกทึกวุ่นวาย
เพื่อว่าให้ใจวิเวก ใจจะได้สงัดอยู่ในที่สงัด เงียบๆ ที่ไม่ระคนด้วยสิ่งเหล่านั้น
ในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่มันผ่านเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ใจจะสงบนิ่งๆ ไม่ยินดีในสิ่งเหล่านั้น และก็ไม่ยินร้าย
คือไม่ขุ่นมัวกับสิ่งเหล่านั้น ใจจะเป็นกลางๆ สงัดจากสิ่งเหล่านั้นเรียกว่า อุปธิวิเวก สงัด
เวลาอยู่ในที่สงัดตามลำพังเงียบๆ สงัด แต่ความเงียบนั้นไม่ใช่เงียบเหงา
เป็นเงียบที่มีความสุข สดชื่น ตื่นตัวภายใน และเราจะเห็นความแตกต่างเลย
แต่เดิมที่เราเข้าใจว่า เรานอนหลับไป
พอถึงเวลาเราตื่นขึ้นนั่นเราเข้าใจว่า เราตื่นแล้ว แล้วเราก็ไปทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย ทำกิจกรรมต่างๆ แต่พอใจสงัดจากสิ่งเหล่านั้นมาอยู่ในที่เงียบๆ ภายในตัว
อยู่กับตัวเอง เราก็จะค้นพบความตื่นอีกระดับหนึ่งที่ลึกซึ้งกว่าความเข้าใจดั้งเดิม
อยู่ในระดับลึกเป็นการตื่นตัวภายใน
ตื่นจากหลับจากการนอนหลับนั้น เหมือนกับเป็นการตื่นในระดับพื้นผิว
ถ้าเป็นน้ำก็เหมือนพื้นผิวน้ำ นี่ในระดับความลึกของก้นทะเลมหาสมุทร นี่ก็เป็นความตื่นตัวภายในที่ลึกซึ้ง
และก็มีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเลย คือ สติมันก็จะไปเป็นมหาสติ
ปัญญาความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิตในระดับหนึ่งเบื้องต้น
จนนำเรามาสู่การปฏิบัติ ก็จะเป็นมหาปัญญา คือ เป็นความรอบรู้ยิ่งกว่าเดิมในระดับลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น
เราก็จะต้องเดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการปลด ปล่อย วาง ไม่แวะข้างทาง
ไม่แวะอยู่ที่คน ที่สัตว์ ที่สิ่งของ ปล่อยวางเรื่องทรัพย์ เรื่องอวัยวะ
กระทั่งมาถึงชีวิต
พอมาถึงตัวก็ต้องปล่อยวาง
เรามีร่างกายอยู่อย่างนี้ ต้องปล่อยวางความรู้สึกตั้งแต่ภายนอกที่อยู่กับตัวเรา
เสื้อผ้าอาภรณ์ เส้นผม เส้นขน ผิวหนัง ลึกเข้าไปเลย กล้ามเนื้อ อาการ ๓๒
อวัยวะภายใน ปล่อยวางหมด ก็แปลว่าเราปล่อยวางไม่ผูกพันกับร่างกายของเรา
ชีวิตของเราไม่ได้ผูกพัน เราปล่อยวาง ใจก็จะนิ่งๆ
คืออะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายชีวิตก็เฉยๆ นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำอย่างนี้นะจ๊ะ
และใจก็จะกลับเข้าไปสู่ที่ตั้งดั้งเดิมเอง ปล่อยวาง ไม่แวะข้างทาง ไม่แวะที่ผม ขน
เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อะไรต่างๆ
เหล่านั้น มันก็จะนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายเองเลย
เมื่อปล่อยวางร่างกายได้
จนถึงจุดที่มันถูกส่วน
พอถูกส่วนการปล่อยวางจะเกิดขึ้นจริงอีกระดับหนึ่ง แต่เดิมเราสมมติว่าเราปล่อยวาง
เราตั้งใจปล่อยวาง แต่ตอนนี้เข้าไปถึง วิมุตติ ถึงการปล่อยวาง คือ หลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในกายนะ
ในชีวิต ในระดับตัวมันโล่งๆ โปร่ง เบา สบาย ความรู้สึกว่าตัวขยาย และหายไปเลย หลุดจากกายหยาบไปเลย
หลุดจากความผูกพันในชีวิต เลือดเนื้อของเรา
หลุดไปอยู่ในแหล่งแห่งความสุข บริสุทธิ์อยู่ภายใน
ที่มีแสงสว่างเรืองรอง รองรับเราอยู่เป็นความสว่างที่เจิดจ้า แต่ไม่แสบตา ต่างจากแสงดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว แสงที่มนุษย์ผลิตขึ้นมา แสงธรรมชาติอะไรต่างๆ
แสงสว่างเกิดขึ้น ดึงดูดให้ใจเรานิ่งในนิ่งจนกระทั่งถึงนิ่งแน่น
พอใจยิ่งแน่นจะเคลื่อนไปอีกระดับหนึ่ง มีอาการเหมือนตกศูนย์วูบลงไป
แล้วก็จะมีดวงธรรมลอยขึ้นมา คือการเข้าถึงดวงธรรม คือความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น ที่สมบูรณ์มากกว่าเดิม
เป็นความบริสุทธิ์ที่เห็นได้ เห็นแจ้งได้
เมื่อเข้าถึงดวงธรรมภายใน
เมื่อเราผ่านความไม่บริสุทธิ์ มลทินของใจ
ความมืดในใจ หรือภาษาธรรมะเรียกว่า นิวรณ์ ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว
ก็จะเห็นดวงธรรม เห็นดวงใสๆ เหมือนน้ำที่ขุ่น เมื่อมันตกตะกอน เราก็มองเห็นก้นภาชนะ
ก้นโอ่ง ก้นตุ่ม กระทั่งถึงก้นสระ ก้นทะเลลึกๆ อย่างนั้นแหละ
จะเป็นดวงใสๆ ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย อย่างน้อยก็ใสเหมือนน้ำใสๆ เหมือนกระจกใสๆ บ้าง เหมือนแก้วใสๆ
เหมือนเพชรใสๆ จะสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เย็นใจ เป็นแสงที่เย็น
อุปมาเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่มันดีกว่านั้นเยอะ ใจจะพึงพอใจอยู่ที่ตรงนั้น
ชัด ใส สว่าง มาพร้อมกัน จะชัดตั้งแต่ในระดับเท่ากับลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
หรือยิ่งกว่านั้น เวลาเอากล้องขยายวัตถุนี่เห็นชัดเลยยิ่งกว่านั้น แจ่มชัด ใสแจ่มกระจ่างภายในซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่มีประมาณ
และความบริสุทธิ์
บริสุทธิ์อย่างที่เราไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเราจะสามารถบริสุทธิ์ได้ในระดับขนาดนี้
ในระดับที่เราปลื้มปีติ ภาคภูมิใจ เป็นใหญ่อยู่ในตัวเอง ปกครองกายนครนี้ได้ ควบคุมตัวเองได้โดยไม่ปรารถนาอะไรอีกเลย
มองสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นใหญ่อยู่ในตัวเองเป็นสุข ณ ดวงใสๆ
และความรู้สึกก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แต่เดิมเราอยากจะได้ อยากจะเอามาเป็นของเรา แต่ตอนนี้ความรู้สึกเราอยากจะแบ่งปันลงไป
อยากเป็นผู้ให้ ความรู้สึกอยากเป็นผู้ให้เกิดขึ้นมาพร้อมกับความสุขของความรู้สึกอยากเป็นผู้ให้
และก็ให้สิ่งแรกก็คือให้ความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
การแผ่เมตตาก็จะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ อย่างที่เรายอมรับว่า
เราแผ่เมตตาจริงๆ คือกระแสแห่งความบริสุทธิ์ ความสุข ความรักและปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายจะขยายออกไป
จากตรงกลางดวงใสๆ นั้น ขยายออกไปกลืนไปกับบรรยากาศ ขจัดมลทินในบรรยากาศ ในกลางอวกาศโล่งๆ
ว่างๆ ไปตามกระแสรอบตัวไปอย่างนั้น ทุกจักรวาลไปอย่างนั้น แม้เราจะยังไม่เห็นจักรวาลนั้น
แต่ความรู้สึกไปถึง
เมตตาที่แผ่ออกไปนี้จะแตกต่างจากเดิม เดิมเราคิดจะแผ่เมตตา
เราจะต้องนึกถึงเป็นประโยค เป็นถ้อยคำ สร้างความรู้สึกแผ่เมตตา แต่นี่เป็นความรู้สึกของเมตตาจิตที่มันเกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ของใจที่หยุดนิ่ง จนเห็นความบริสุทธิ์รวมเป็นดวงใสๆ
เรียกว่า ดวงปฐมมรรค เป็นจุดเริ่มต้นประดุจปากประตูไปสู่อายตนนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านก็มาถึงตรงนี้แล้วก็เดินทางเข้าไปเรื่อยๆ
เพราะมันจูงใจให้เราอยากเดินทางเข้าไปสู่ภายในด้วยการหยุดกับนิ่ง
และก็เคลื่อนเข้าไปข้างใน ไปทั้งเนื้อทั้งตัวเลยเพราะไม่มีอะไรจะเหนี่ยวรั้งเราแล้ว
เนื่องจากเราไม่ผูกพันกับอะไรเลย
เปลือกเหล่านั้นเราได้กะเทาะล่อนลงไป เหมือนผลไม้ที่เนื้อกับเปลือกมันไม่ติดกัน มันจะล่อนเข้าไปสู่ภายในไปเรื่อยๆ
และก็เห็นแจ้งในสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวไปเรื่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
ความรอบรู้ของเราก็เพิ่มขึ้นเป็นการรู้แจ้งเห็นแจ้ง
รู้พร้อม รู้รอบตัวไปทุกทิศทุกทางเลย
ชีวิตของเราก็เริ่มดำเนินชีวิตที่ถูกต้องไปสู่จุดหมายปลายทางแล้ว ความสมหวังในชีวิตก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ความพึงพอใจก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆ ความสุขสดชื่นเพิ่มเข้าไปอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดเลย
เพราะฉะนั้น วันนี้ลูกทุกคนก็จะต้องฝึกใจให้หยุดนิ่ง
ชิงช่วงที่ร่างกายเรายังแข็งแรงอยู่ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่
ต้องรีบชิงช่วงฝึกใจให้หยุดให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ก็เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
นึกเป็นดวงใสๆ แบบขอถึงไปก่อน และก็เมื่อใจนิ่งสนิทมันก็จะเข้าถึงเอง
จากขอถึงไปสู่การเข้าถึงจริง
กำหนดบริกรรมอันนิมิตเป็นดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ในกลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ก็แถวๆ
บริเวณกลางท้องไปก่อนก็ได้ พร้อมกับภาวนาในใจเบาๆ ให้สม่ำเสมอว่า สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ
นะจ๊ะ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น แจ่มใส เย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียรให้แกร่งกล้า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ก็ให้ตั้งอกตั้งใจกันให้ดี ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565