เส้นทางหลุดพ้นทุกข์
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๔๘
ปรับกาย
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง แล้วก็ทำใจให้ว่างๆ
สมมติว่า
ภายในร่างกายของเรานั้น ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เหมือนลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
วางใจ
คราวนี้เราก็นึกรวมใจที่คิดแวบไปแวบมาไปในเรื่องราวต่างๆ
นั้น มาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย
ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ฐานที่
๗ ต้นทางพระนิพพาน
ฐานที่
๗ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน ในเส้นทางของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่า
อริยมรรค เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด
จากสรรพกิเลสทั้งหลาย ที่เรียกว่า วิสุทธิมรรค
หรือเป็นเส้นทางแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง หลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะ ที่เรียกว่า
วิมุตติมรรค เส้นทางนี้มีปลายทาง คือ อายตนนิพพาน
มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ตรงนี้แหละที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านก็เอาใจของท่านมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้แหละ
หยุดอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อท่านมองเห็นโลกด้วยปัญญา พิจารณาด้วยปัญญาว่า ชีวิตในโลกนี้เป็นทุกข์
วัฏสงสารมีภัยมาก ท่านเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เกิดเป็นเกือบทุกสิ่งในสังสารวัฏ
เป็นมนุษย์ก็เป็นทุกชนชั้น ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง เป็นมาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์
เพราะแต่ละชนชั้นก็มีทุกข์ประจำตัว แล้วก็ทุกข์จร
ชนชั้นล่างก็ทุกข์แบบชนชั้นล่าง
ชนชั้นกลางก็ทุกข์อย่างชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงก็ทุกข์อย่างชนชั้นสูง แม้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ปกครองทวีปทั้งสี่ รอบเขาพระสุเมรุ เขาสิเนรุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์
ท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ จะเป็นเทวดา พรหม หรืออรูปพรหม ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ มีทุกข์มากหรือทุกข์น้อยเท่านั้นแหละ
ทุกๆ
ชีวิตในภพสามนี้ ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น มีแต่ความทุกข์
ยังไม่เป็นอิสระ เป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงได้ เพราะยังถูกกิเลสเขาบังคับบัญชาอยู่ พญามารเขาปล่อยมาร
๕ ฝูงมาบังคับ แล้วแถมยังตกอยู่ใต้กฎกติกาของชีวิต ที่เรียกว่า กฎแห่งกรรม กิเลสบังคับให้สร้างกรรม
กระทำโดยกาย วาจา ใจ และก็มีวิบากกรรม เป็นทุกข์ในอบาย
เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏ อยากจะแสวงหาทางหลุดทางพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งในที่สุดเมื่อใจท่านเบื่อหน่าย
ในสิ่งที่ไม่เป็นจริงเป็นจัง ไม่เป็นสาระแก่นสารเหล่านั้น ใจก็คลายความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นว่า
เป็นตัวเรา หรือของๆ เรา เมื่อไม่ผูกพัน ก็หลุดจากสิ่งที่เคยผูกพัน พอหลุดก็บริสุทธิ์ในระดับหนึ่ง
จิตก็ตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เห็นกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ลุ่มลึกไปตามลำดับ เห็นกายในกายที่ซ้อนๆ กันอยู่
๑๘ กาย
มีกายมนุษย์ละเอียด
ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู โสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัตทั้งหยาบ
ละเอียด รวมกายหยาบก็ ๑๘ กาย แต่ละกายก็มี เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมกันไป และในที่สุดท่านก็หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ
ก็หลุดพ้นไป ไปตามลำดับ กายถอดออกเป็นชั้นๆ จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมอรหัตตผล เป็นพระอรหันต์
หรือเข้าถึงกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอดเป็นชั้นๆ
ได้ หลุดพ้นได้ เพราะหยุดกับนิ่งนี่แหละ
ดังนั้น
นักเรียนใหม่ก็ต้องศึกษาเอาไว้ว่า หยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ
ที่จะทำให้เราหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งหลายได้ ดับทุกข์ได้ เข้าถึงความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีประมาณ
สุขอื่นสู้สุขที่เกิดจากการหยุดการนิ่งไม่ได้ หยุดนิ่งนั่นแหละจะทำให้เราเข้าถึงความสุข
รู้จักคำว่า ความสุขได้อย่างสมบูรณ์ เป็นสุขที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ
ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
แล้วก็จะเคลื่อนเข้าไปถึงพระรัตนตรัยในตัว
คือ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
พุทธรัตนะ รัตนะ
แปลว่าแก้ว พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ก็คือ ธรรมกาย เพราะกายท่านใสเป็นแก้ว
มีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ จึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ธรรมรัตนะ เป็นคลังแห่งความรู้ เป็นดวงธรรมใสๆ อยู่ในกลางกายพุทธรัตนะ
ที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ครบถ้วนทุกประการ แต่ว่าเกตุเป็นดอกบัวตูม เหมือนดอกบัวสัตตบงกชอย่างนั้น
สังฆรัตนะ ก็คือ ธรรมกายละเอียด หรือพุทธรัตนะที่ละเอียดซ้อนอยู่ในกลางธรรมรัตนะ
ทำหน้าที่เก็บรักษาธรรมรัตนะ หรือความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ อยู่ในกลางตรงนั้น
๓
อย่างนี้แหละ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเราและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาประพฤติปฏิบัติธรรม
มาทำงานที่แท้จริง ที่เรียกว่า กรณียกิจ
คือ งานรื้อภพรื้อชาติ รื้อกิเลส รื้ออาสวะ แสวงหาพระรัตนตรัยในตัวนี้ จึงเป็นสิ่งที่ถูกวัตถุประสงค์ของการมาเกิดเป็นมนุษย์
ลูกทุกคนเป็นผู้ที่มีบุญในระดับหนึ่ง
ที่สามารถเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้ จึงมาประชุมรวมกัน เพื่อมาประพฤติธรรม มาเจริญสมาธิภาวนา
เพื่อให้เข้าถึงแก่นของชีวิต คือ พระรัตนตรัยในตัว
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคน
หยุดใจนิ่งไว้ที่กลางกาย ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ หลังจากที่เราได้รู้จักว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ อยู่ในกลางท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือแล้วเราก็ทำความรู้สึกว่า ใจเรามาอยู่ที่ตรงนี้
โดยไม่ต้องกังวลว่า จะตรงกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป๊ะ พอดีไหม เอาในแง่การปฏิบัติเริ่มต้นของนักเรียนใหม่
ก็ประมาณเอาว่าอยู่ในกลางท้อง มาทำความรู้สึกตรงนี้นะ
บริกรรมนิมิต
หลังจากที่เรารู้จักฐานที่
๗ แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นภาพทางใจ เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของเรา
ใจจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่าน คิดไปในเรื่องราวต่างๆ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้กำหนดเครื่องหมาย ที่ใส
สะอาด บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัว โตเท่ากับแก้วตาของเรา
ตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือถ้าเราไม่เคยสังเกตแก้วตาของเรา นึกเอาเพชรสักเม็ดหนึ่งใหญ่ขนาดไหนก็ได้
แต่ว่ากลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ นึกภาพในกลางท้องในระดับเหนือสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ ให้นึกไปอย่างสบายๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหังๆๆ ประคองใจของเรา ให้หยุดให้นิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นอย่างเดียว
ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง ก็จะต้องไม่ลืมนึกถึงภาพเพชรเม็ดนั้น เครื่องหมายที่ใสสะอาด
บริสุทธิ์ อยู่ในกลางท้อง ระดับเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้ต่อเนื่องกันไป
แต่อย่าให้ตึง
อย่าให้เครียด อย่าไปเค้นภาพ ให้ทะลักออกมาจากในท้อง หรือควานหาภาพในที่มืด ให้นึกไปอย่างสบาย
ชัดเจนแค่ไหนเราก็เอาแค่นั้น ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกัน
เพราะวัตถุประสงค์เราต้องการให้ใจมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้ หยุดอย่างสบายๆ
เราจะภาวนา
สัมมาอะระหัง เรื่อยไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง แล้วก็ทิ้งคำภาวนาไป คือ มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาต่อไป
อยากรักษาใจให้หยุดนิ่งอย่างนี้ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง แต่ว่าเมื่อใดที่ใจฟุ้งออกไปในเรื่องราวต่างๆ
จึงย้อนกลับมาภาวนาใหม่ นี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้ใจเราหยุดนิ่งๆ
ไม่นึกนิมิต
แต่ถ้าเรามั่นใจว่า เราสามารถประคองใจให้หยุดนิ่งได้ในกลางท้อง
โดยไม่ฟุ้ง เราจะไม่นึกเป็นภาพก็ได้ เพราะนึกเป็นภาพทีไร เราก็จะตึงหรือเกร็ง หรือสงสัยเวลาที่ภาพมันเกิดขึ้นมา
เราก็ไม่ต้องไปนึก ให้นิ่ง นุ่ม เบา สบาย นิ่งเฉยๆ อย่างนี้ก็ได้
ส่วนคนที่ทำเป็นแล้วในระดับหนึ่ง
ที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาการภาวนา สัมมาอะระหัง สามารถวางใจที่กลางท้องได้ กลางกายได้
แล้วก็เรารู้สึกคุ้นกับการทำอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างที่เราทำได้นี่แหละ คือ
พอเรานึกรวมใจนิ่งไว้กลางกาย ตัวมันโล่ง โปร่ง เบา สบาย แล้วก็นิ่งอย่างนั้นไป นิ่งไปเรื่อยๆ
อย่าทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
หยุดนิ่งอย่างเดียว
แม้มีแสงสว่างเกิดขึ้น
ก็อย่าไปตื่นเต้น อย่าไปตกใจ ก็ยังนิ่งเฉยๆ อย่างเดียว โดยปราศจากความคิด นิ่ง นุ่ม
เบา สบาย มีภาพอะไรเกิดขึ้นมาก็ยังนิ่งอย่างเดิม หยุดอย่างเดิมนั่นแหละ จะเป็นดวงธรรมใสๆ
จะเห็นตัวเอง เห็นเป็นองค์พระ หรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ หยุดนิ่งอย่างเคย
เฉยอย่างเดิมนั่นแหละ หยุดใจนิ่งอย่างเคย แล้วก็เฉยๆ อย่างเดิมอย่างนี้
แค่นี้เท่านั้น
การทำใจให้เป็นสมาธิ
ไม่ได้ยากเกินไป เราสามารถทำกันได้ทุกคนแหละ แล้วก็ไม่ทำให้เกิดเป็นบ้า หรือเห็นภาพที่น่าตกใจ
หรือตายไปเลยไม่ใช่อย่างนั้น อย่างที่ได้ยินได้ฟังกัน มีแต่จะมีแต่ความบริสุทธิ์ของใจ
ความสุขที่เกิดขึ้นจึงแตกต่างจากที่เราเคยเจอ แล้วเป็นสิ่งนำมาซึ่งความพึงพอใจอันสูงสุด
จนกระทั่งเราไม่สนใจสิ่งใดๆ เลย เราสามารถมีความสุขได้ ในที่นั่งอาสนะเดียวนี้แหละ
ด้วยวิธีการทำอย่างนี้ นิ่งเรื่อยไปเลย นิ่ง เบา สบาย
ถ้าเมื่อยก็ขยับ
แต่อย่าให้กระทบกระเทือนคนข้างๆ ค่อยๆ ขยับ ง่วงก็ปล่อยให้มันหลับ แต่พอเรารู้สึกตัว
เราก็เริ่มต้นใหม่อย่างง่ายๆ ฟุ้งเราก็เผยอเปลือกตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง พอหายฟุ้งแล้ว
เราก็หยุดใจนิ่งต่อไปที่กลางกาย ทำอย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น เดี๋ยวลูกทุกคนก็จะสมหวังดังใจนะจ๊ะ
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
เหมาะสมสำหรับลูกผู้มีบุญทุกๆ คน จะเข้าถึงธรรมกัน ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่างที่ได้แนะนำมา
หยุดใจนิ่งอย่างสบายๆ ประคองใจของเราไปเรื่อยๆ อย่างเบาๆ สบาย ผ่อนคลาย ทำอย่างนี้
แค่นี้เท่านั้น เช้านี้ก็ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565