ฝึกใจหยุดนิ่งสำคัญที่สุด
วันอาทิตย์ที่
๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐(๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
การหลับตา
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าถึงกับปิดสนิท อย่าเม้มตา อย่ากดเปลือกตาหรือลูกนัยน์ตา หลับพอสบายๆ
ถ้าหลับตาเป็น กล้ามเนื้อทุกส่วนก็จะคลี่คลาย
ผ่อนคลายหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ถ้าเราบีบเปลือกตา เดี๋ยวกล้ามเนื้อมันจะเกร็งหมดตั้งแต่ใบหน้า
แล้วก็ไล่ไปทั้งเนื้อทั้งตัวเลย
หลับเบาๆ พอสบายๆ แค่ไม่ให้เห็นภาพภายนอกเท่านั้น
ใจจะได้ไม่ฟุ้ง เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ ตรงหลับตานี้ให้มากๆ สำคัญนะ
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ วางใจของเราให้เป็น ถ้าวางใจเป็น เดี๋ยวก็จะเห็นภาพภายใน คือ
วางเบาๆ สบายๆ ฝึกฝนบ่อยๆ ในการวางใจ ไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
ถ้าวางใจเป็น จะถูกส่วนของมันไปเอง
เดี๋ยวตัวก็เบา จะกลวงภายใน จะโล่ง โปร่ง เบา สบาย แต่ก็ต้องฝึกบ่อยๆ ทำให้ชำนาญ แม้จะมีภารกิจอะไร
ฝึกโดยทำการบ้าน ทุกชั่วโมง ๑ นาที นึกให้คุ้นเคย
บริกรรมนิมิต
แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมา ถ้าจะเป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา จะเป็นองค์พระพุทธรูป เป็นดวงใสๆ
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา อยู่ในกลางกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง เอาอย่างเดียวที่จะทำให้เรานึกได้อย่างสบาย
และใจมีความพร้อมที่จะอยู่ที่กลางกาย
แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปว่า จะตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป๊ะเลยไหม เอาว่าประมาณเอาอยู่ในกลางท้องแถวๆ นั้น ฝึกบ่อยๆ นึกบ่อยๆ เพราะใจเราต้องคิดอยู่แล้วเรื่องอื่นเราก็คิดมาเยอะแล้ว
ก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดความพึงพอใจอันสูงสุด แค่เพลินๆ ไปชั่วคราว
แต่ถ้าจะเข้าถึงความสุขภายใน ที่จะทำให้เราเกิดความพึงพอใจอันสูงสุด จนกระทั่งไม่ต้องการอะไรอีกเลย
มันก็ต้องนึกถึงพระรัตนตรัย เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
อยู่ในกลางกาย
นึกบ่อยๆ ค่อยๆ นึก ใหม่ๆ ก็นึกไม่ค่อยออก
ถ้านึกบ่อยๆ ก็ค่อยๆ นึกได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนเหมือนกับเราลืมเห็นภาพวัตถุภายนอก
บริกรรมภาวนา
เราก็ประคองใจต่อไปเรื่อยๆ ด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหังๆๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับนึกถึงภาพควบคู่กันไป จะเป็นองค์พระแก้วใสๆ
หรือดวงแก้วใสๆ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา นึกไปเรื่อยๆ ใจมันก็จะค่อยๆ คุ้น
กับการอยู่กลางกาย แล้วเดี๋ยวความละเอียดมันก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนใจติดที่ศูนย์กลางกาย
พอใจติดมันก็ติดใจแล้ว
มีฉันทะเกิดขึ้น สมัครใจที่จะนั่งสมาธิ ไม่ฝืน ไม่พยายามเดี๋ยวก็จะเกิดขึ้นมาเอง เกิดความขวนขวายขึ้นมา
ด้วยใจรัก ฝึกใจหยุดนิ่งด้วยความสุข สนุกสนาน บุญบันเทิงกับการฝึกใจ
ฝึกหยุดนิ่งในทุกอิริยาบถ
มันจะยากตอนแรกๆ นิดหนึ่ง
เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการนึกอยู่ตรงนี้ แต่ก็ยากไม่มาก ยากพอสู้ ก็จะสู้อย่างถูกหลักวิชชาแล้วมันก็ไม่ยาก
ค่อยๆ ทำความเพียรไป
ให้มีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง
ชั่วโมงกลาง อยู่ภายในตรงนี้ให้มากๆ ควบคู่กับภารกิจประจำวันในชีวิต
จะดูแลบ้านช่อง เรื่องธุรกิจการงาน หรือการศึกษาเล่าเรียนอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ก็ทำสิ่งนี้ควบคู่กันไป
เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็จะต้องสมปรารถนา
เพราะพระรัตนตรัยมีอยู่แล้วภายในตัวของเรา
ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้มีเกิดขึ้น แต่องค์พระภายนอก ดวงใสๆ
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่นั่น เราแค่อาศัยเป็นจุดเชื่อมโยงประดุจสะพานของใจ ให้เข้าไปถึงพระรัตนตรัยที่มีอยู่แล้วในตัวของเราเท่านั้น
พอถูกส่วน สิ่งที่เราสมมติขึ้นมา สร้างภาพขึ้นมา ก็จะหายไปเอง
ตื่นตัวภายใน
เมื่อใจหยุดนิ่ง
พอถึงจุดแห่งความละเอียดของใจ
ที่เปลี่ยนมิติใหม่ คือ ใจมันละเอียด กระทั่งรู้สึกตื่นตัวภายใน ที่เราไม่เคยรู้จัก
ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
ความมีชีวิตชีวาของร่างกายและจิตใจที่สอดคล้องกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่เดิมกายส่วนกายใจส่วนใจ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่มารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความตื่นตัวภายในหรือความมีชีวิตชีวา
เราจึงไม่รู้จักและไม่เข้าใจ แต่ไปเข้าใจว่าความสนุกสนาน หัวเราะ เอิกเกริก เฮฮา
นั้นคือความมีชีวิตชีวา นี่คือสิ่งที่เราเข้าใจมาก่อน เพราะเราเห็นอย่างนั้น
เราก็มีพฤติกรรมทำมาอย่างนั้น แต่พอมาเทียบกับการตื่นตัวภายในที่แท้จริง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว
มันต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เหมือนฝั่งทะเลฝั่งนี้ กับฝั่งทะเลฝั่งโน้น มันไกลกัน เหมือนความมืดกับความสว่างที่มันไกลกัน
เพราะฉะนั้น ความตื่นตัวภายในจะรู้จักได้เมื่อใจหยุดนิ่ง
หยุดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ประสบการณ์ภายใน
พอเป็นหนึ่งเดียวกันเข้าก็จะเกิดการเคลื่อนหรือการเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
เราจะมีความรู้สึกเหมือนดิ่งลงไป หรือถูกดึงดูดให้เคลื่อนเข้าไปข้างใน ที่มีอาการคล้ายๆ
หล่นลง
ใหม่ๆ ก็จะอาการคล้ายๆ หล่นไปอย่างนั้นแหละ
หล่นลงมาจากท้องฟ้าบ้าง ตกหลุมอากาศบ้าง ตกจากที่สูงบ้าง ถ้าเราทำเฉยๆ เดี๋ยวก็จะคุ้นเคย
อาการหล่นไปนั้นกลายเป็นการขยายไปรอบทิศทุกทิศทุกทางเลย
ความสว่างก็เกิดเป็นแสงสว่างภายในที่ขจัดความมืดในดวงใจเราหมดสิ้นไป
เมื่อความมืดในดวงใจหมดสิ้นไป ความไม่รู้จริงอันใดก็พลอยหมดสิ้นตามไปด้วย
เหมือนดวงอาทิตย์ผุดขึ้นมาขจัดความมืดในอากาศ ทำให้อากาศสว่างอย่างนั้นแหละ ก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
แล้วก็มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็น
แสงสว่างภายในก็เช่นเดียวกัน จะทำให้เรารู้ เห็นแจ้งรู้แจ้งทงตลอดในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ในสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะแสงสว่างภายในจะเจิดจ้ามากกว่าแสงสว่างภายนอก
เหมือนเอาดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันมาเรียงกันเต็มท้องฟ้าอย่างนั้น แต่ว่าไม่แสบตา
ไม่เคืองตา แต่พาให้เราสุขใจ และแสงแก้วที่นุ่มเนียนละมุนตา ละมุนใจอย่างนั้น
ในโลกมนุษย์มีเวลาจำกัด
ฝึกใจหยุดนิ่งเป็นสิ่งสำคัญ
ต้องให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้ เพราะเรามาเกิดเป็นมนุษย์ก็เพื่อการนี้ นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิต
เป็นกรณียกิจ กิจที่ต้องทำ เป็นงานที่แท้จริง
ซึ่งนับวันเราจะต้องนับถอยหลังกันแล้ว เพราะเรามีเวลาอยู่จำกัดในโลกมนุษย์นี้
กายมนุษย์ก็มีข้อจำกัด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
เป็นปกติธรรมดาของสังขารร่างกายมนุษย์ทั้งหลาย เช่น เดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลาย
ก่อนถึงวันสุดท้ายของชีวิตต้องฝึกจิตให้มันสงบ
ให้มันหยุดให้มันนิ่ง ให้รู้รสชาติแห่งความสงบของใจ หรือใจหยุดใจนิ่ง นั่นแหละ มันมีรสมีชาติแตกต่างจากรสชาติที่เราเคยผ่านมาอย่างไร
เรามีเวลาจำกัด ในโลกมนุษย์นี้
ไม่ว่าจะเกิดมาก่อน เกิดหลังก็ตาม เวลาแห่งชีวิตมีเท่ากัน บางคนเกิดทีหลังตายก่อน บางคนเกิดก่อนตายทีหลัง
ตายในวัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว และวัยกลางคน หรือชราได้ มันไม่แน่ไม่นอน
ชีวิตสมณะผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร
เพื่อความไม่ประมาทในการใช้กายมนุษย์หยาบนี้ก็ต้องทำให้ถูกวัตถุประสงค์ของชีวิต
ตามที่พระอริยเจ้า บัณฑิตนักปราชญ์เขาดำเนินชีวิตกัน มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นต้นบุญต้นแบบในการดำเนินชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏนี่แหละ
เพราะท่านเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว
ผ่านชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิดมามากพอแล้ว ฝึกฝนอบรมตนพัฒนากายวาจาใจมาตลอด
ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นล่าง ชั้นกลาง หรือชั้นสูง
แล้วก็สรุปสูตรของชีวิตว่า เพศบรรพชิตจะมีโอกาสได้กว้างขวางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
สามารถดับทุกข์ได้ พ้นทุกข์ได้ เพราะไม่มีเครื่องพันธนาการของชีวิตมากเท่ากับชีวิตของคฤหัสถ์
มีเครื่องพันธนาการชีวิตเพียงเล็กน้อย แค่บริขาร ๘ ที่จะคอยดูแลกายและใจมีเป้าหมาคือทำพระนิพพานให้แจ้ง
ชีวิตจึงเหมือนนกน้อยที่ล่องลอยไปในอากาศ ชีวิตที่มีแต่ปีกกับหาง ทำมาหากินกันไปวันๆ
คือ เป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการของชีวิต มีเครื่องพันธนาการชีวิตน้อยกว่าของคฤหัสถ์
แล้วก็เอาเวลาที่เหลือมาทำความเพียร ฝึกใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียว เพราะ หยุดเป็นตัวสำเร็จ
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
หยุดเป็นตัวสำเร็จ ที่ทำให้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว
ไม่ว่าจะเป็นกายในกายอะไรต่างๆ เหล่านั้น ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม
กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต ต้องหยุดอย่างเดียว
ไม่ต้องทำอะไรเลย พอหยุดอย่างเดียวใจก็จะละเอียดนี่ก็เป็นเรื่องที่แปลก
หยุดอย่างเดียว เราก็จะเห็นไปเรื่อยๆ
พอเห็นแล้วมันก็จะรู้ขึ้นมาเอง พอเห็นแจ้ง มันก็รู้แจ้ง มันไปพร้อมๆ กัน
ต่างจากดวงตามนุษย์ที่เห็นของที่อยู่กลางแจ้ง บางทีมันยังไม่รู้ ว่าเป็นอะไร ต้องไปอยู่ใกล้ๆ
ถึงพอจะรู้
แต่นี่เห็นแจ้งแล้วก็จะรู้แจ้งไปในเวลาเดียวกันเลย
อาศัยหยุดอย่างเดียวกระทั่งเข้าไปรวมกับกายของท่านผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว คือ
ธรรมกาย กายพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลุดพ้นจากอนิจจัง
ทุกข์ขัง อนัตตา สามัญลักษณะที่เป็นปกติของสิ่งต่างๆ ทั่วไป
เกิดธรรมจักขุ เกิดญาณทัสสนะ
เข้าไปถึงกายตรงนี้ ด้วยหยุดกับนิ่ง
เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายแล้ว จะเกิดธรรมจักขุ เกิดญาณทัสสนะ ปัญญา
อวิชชา แสงสว่าง ที่เจิดจ้าเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน
และสิ่งที่เป็นความลับของชีวิตก็จะถูกเปิดเผยขึ้นมา ความไม่รู้จริงต่างๆ ค่อยๆ ดับไป เพราะวิชชาเกิดขึ้นมาเมื่อเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย
ซึ่งใจจะน้อมไปในอดีตก็ได้ ในปัจจุบันก็ได้ ในอนาคต
เราก็จะเห็นเรื่องราวความเป็นมาของชีวิตเรา ตามกำลังบุญบารมีของเราที่ไม่เท่ากัน
เราจะศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชีวิตของเราได้
ในสังสารวัฏ วัฏฏะชีวิตของ สังสารวัฏจะถูกเปิดเผย มันก็จะเห็นเป็นภาพ เป็นเรื่องเป็นราว
เหมือนเราเป็นบุคคลนั้น สิ่งนั้น ณ เวลานั้น ก็เกิดขึ้นมา
แล้วความรู้สึกที่จะเรียนรู้วิชชาต่อไปก็เกิดขึ้น
ทำให้เห็นว่า เราเป็นเช่นไร คนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เพราะต่างก็อยู่ภายใต้ Law of Karma กฎแห่งการกระทำ
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ แล้วก็จะสาวไปถึงสาเหตุ ดูโปรแกรมที่เขาตั้งเอาไว้ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ
และเกิดความทุกข์ทรมานชีวิต มีแก่ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรต่างๆ โศกเศร้า เสียใจ
คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน เจอวิบากกรรมต่างๆ
มันก็จะค่อยๆ สาวไปหาเหตุไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งไปพบรากเหง้าของอวิชชาว่า มีลักษณะอย่างไร
ตัวนี้เป็นบ่อเกิดที่ทำให้เกิดสังขาร การแสวงหาความรู้อะไรต่างๆ ก็เห็นเป็นเรื่องเป็นราวออกไป
ด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย ด้วยญาณทัสสนะของธรรมกาย ก็มองเห็น ปฏิจจสมุปบาท มองเห็น
ต้องเห็น มันเป็นภาพ เป็นเรื่องเกิดขึ้น มองเห็นว่าอวิชชามันอยู่ตรงไหน ถ้าพันธุ์พ้นวัฏฏะก็จะมาสิ้นสุดตรงนี้
ขจัดอวิชชาซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการเกิดนี่ จะมาสิ้นสุดอยู่ตรงนี้ จะไม่เลยไปกว่านั้น
แล้วเวลาหลุดพ้นก็จะเห็นว่า หลุดพ้น วิมุตติญาณทัสสนะ
เห็นว่าหลุดไปเลย แล้วความรู้สึกว่า หลุด ไม่เกี่ยวข้องในภพ ๓ ก็เกิดเป็นอิสระ อารมณ์แห่งความอิสระ
เป็นภาพ เป็นเรื่อง เป็นราว อารมณ์อะไรต่างๆ ความรู้สึก ความเบิกบานก็เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้มาจากหยุดกับนิ่งอย่างเดียว หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จนั่นแหละ แต่ถ้าพันธุ์รื้อวัฏฏะก็จะสาวไปอีกจากตรงอวิชชาตรงนั้น
ลึกลงไปอีก สาวกันไปเรื่อยๆ เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้อาศัยการหยุดนิ่ง
เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนต้องให้ความสำคัญกับการฝึกหยุดนิ่ง
นอกเหนือจากการทำมาหากิน ต้องทำควบคู่กันไปอย่างนี้แหละ
ถ้าใจไม่หยุดนิ่ง ก็เป็นทาสเขา
ถ้าไม่หยุดไม่นิ่ง ก็ไม่สามารถจะศึกษาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้
ใจก็จะหยาบ แล้วก็จะไปติดในเรื่องหยาบๆ ถ้าใจเราหยาบ พญามารก็บังคับได้
ตรึงเอาไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ บังคับให้เราทำอกุศลกรรม
หรืออกุศลจิตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้วก็ set โปรแกรมเป็นวิบากกรรม
ปรับคดี ให้เราต้องเคลื่อนย้ายไปอยู่ภพนั้น ภูมินี้ อยู่ยาวนานทีเดียว
เกิดในครรภ์มารดาบ่อยๆ ไปอยู่ในภพภูมิต่างๆ
เหล่านั้น มีความทุกข์ทรมานแล้วก็ไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าไปมหานรก ก็ไม่รู้ทำไมต้องมาตกนรก มีแต่ความทุกข์ทรมาน
ไม่มีว่างเว้นเลย อุสสทนรก ที่กรรมเบาบางลงก็มีเวลาว่างนิดหนึ่งว่า
เอ๊ะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ได้แค่นั้นก็หมดเวลาแล้ว มาถูกทรมานต่อ มาทุกข์เพิ่มขึ้น เมื่อมาอยู่ยมโลก มีเวลาของการหยุดพักทัณฑ์ทรมาน
แต่ก็ไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไร รู้แค่ อือ เราทำบาปกรรมมา เพราะมีภาพปรากฏอยู่ อย่างนั้น
อย่างนี้ ประเดี๋ยวก็ต้องโดนทัณฑ์ทรมานกันอีก
กระทั่งมาเป็นเปรต
เป็นอสูรกาย ก็มีความทุกข์ทรมาน เปรตบางจำพวกก็รู้ว่ากรรมของตัวว่า
เพราะอะไรถึงมาอยู่ตรงนี้ แต่บางจำพวก บางตระกูลก็ไม่รู้ว่า ทำไมต้องมาเป็นเปรต แล้วพอพ้นจากตรงนี้ก็ไปสู่ภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ตั้งแต่สัตว์เล็ก
สัตว์น้อย สัตว์ชั้นต่ำ เรื่อยมาจนมาถึงสัตว์ชั้นสูง
แล้วจึงจะมาเป็นสัตว์ประเสริฐคือ มนุษย์ ก็มาเป็นคนชั้นล่าง ลำบากบ้าง พิกลพิการบ้าง
สารพัด กว่าจะมาเป็นชนชั้นกลาง ชั้นสูง และได้มาบังเกิดในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้น
ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตจากคำสอนของพระองค์ท่านก็ยาวนานทีเดียว
สรุป ทำไมเราต้องฝึกใจให้หยุดนิ่ง
เพราะฉะนั้น นี่เป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาเรียนรู้กันให้ดี
แล้วก็สำรวมระวังในการที่จะดำเนินชีวิต การฝึกใจให้หยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ที่นอกเหนือจากทำให้เราเข้าถึงความสุข ภายในเบิกบานใจ ไม่เหงาใจ มีชีวิตชีวา แล้วก็ยังได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตดังกล่าว
แล้วทำให้เราไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต มีสิ่งใหม่ๆ ที่จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
เยอะแยะทีเดียว
ดังนั้น ลูกทุกคนต้องฝึกใจกันทุกวัน ก่อนที่เราจะละจากโลกนี้ไป
อย่าให้อะไรมาเป็นข้ออ้าง ข้อแม้ เงื่อนไข ที่ทำให้เราไม่ใส่ใจในการฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง
ให้ทำทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน เราก็ทำของเราไป ฝึกกันไปอย่างนี้
เวลาที่เหลืออยู่นี้
ก็ให้ลูกทุกคน ปรับกาย ปรับใจ หลับตาเป็น วางใจให้เป็น ฝึกตรงนี้เรื่อยไป ถ้าใจมันฟุ้ง
เราก็ดึงกลับมาใหม่ ก็ปรับกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2565