เริ่มต้นที่ฉันทะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มกราคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
บริกรรมนิมิต บริกรรมภาวนา
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบายๆ
หยุดใจไปเบาๆ
สบายๆ จะกำหนดบริกรรมนิมิตก็ได้ หรือไม่กำหนดก็ไม่เป็นไร บริกรรมนิมิตจะเป็นดวงใสๆ
หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ นึกเท่าที่เรานึกได้ อย่างสบายๆ
แล้วก็ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมา อะระหังๆๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง
คำภาวนา
สัมมาอะระหัง มีประโยชน์ตอนที่จะดึงใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม หรือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี่แหละ เราจะใช้ตอนต้นๆ เมื่อเราฝึกใหม่
เป็นนักเรียนใหม่ ใจยังไม่หยุด ยังไม่นิ่ง เราให้เวลาเกี่ยวกับการหยุดนิ่งมันน้อย หรือบางท่านไม่เคยให้เวลาเลย
ก็จำเป็นจะต้องใช้ไปก่อน พอเราฝึกไประยะหนึ่งแล้ว ใจมันคุ้นเคยอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ แล้ว เราก็ไม่ต้องใช้
ใช้เฉพาะตอนที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ถ้าใจหยุด ไม่ต้องใช้แล้ว แต่ถ้าใจยังไม่หยุด ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน นั่ง
นอน ยืน เดิน เราก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ให้ใจผูกพัน คลอเคลีย นัวเนียอยู่กับบริกรรมทั้งสองนี่แหละ
คือ บริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา ไม่ช้าใจก็จะถูกตะล่อมให้มาอยู่ที่
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ต้องมีฉันทะ
รักในการปฏิบัติธรรม
พอหยุดได้สักครั้งหนึ่ง
ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต เราจะรู้วิธีการที่จะทำให้ใจนิ่งๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ทั้งสองอย่างนั้น
คือ บริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา ถ้าเราช่างสังเกตเราก็จะจดจำเอาไว้ว่า ต้องทำอย่างนี้
วางใจอย่างนี้ พอหลับตาปุ๊ป ก็ไปรวมที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เลย แล้วมันก็จะนิ่ง
นุ่ม เบา สบาย
สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอาศัย
ฉันทะ ความรักในการปฏิบัติธรรม เพราะเห็นประโยชน์
เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรม จะทำให้เราได้พบความสุขในปัจจุบันนี้ โดยสุขด้วยตัวเอง
ไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาบำรุงบำเรอ มากระพืออารมณ์ให้มีความสุข แล้วก็เป็นสุขที่แตกต่างจากที่เราอาศัยวัตถุภายนอกด้วย
เป็นสุขที่ประหยัดที่สุด ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้วเป็นสุขที่ยั่งยืน แท้จริง และสำคัญด้วย เพราะว่ามันเกี่ยวโยงกับใจที่ผ่องใส
ที่เราจะนำไปใช้ตลอดชีวิตกระทั่งละโลก เดินทางไปสู่ปรโลก
เราจับหลักให้ได้ว่า
หยุดเป็นตัวสำเร็จ แล้วก็ไม่ต้องไปทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
แต่ว่านักเรียนบางคนก็มักจะลืมไป พอไปถึงเวลาจริงๆ เข้า แล้วก็จะลืม ต้องๆ จำไว้เรื่อยๆ
ว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากนี้
ฝึกบ่อยๆ ก็หยุด ให้มีฉันทะ
อย่างที่เห็นประโยชน์ มีความสุข จิตจะบริสุทธิ์ จนกระทั่งความสว่างภายในเกิด แล้วก็จะเห็นไปตามลำดับ
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา
ดังนั้น
อยู่ที่การให้เวลา กับเรามีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้ได้เยอะๆ เพราะนี่คือ
กรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของเรา เป็นงานที่สำคัญ จะทำให้เราได้รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ถ้าเราไม่รู้ มันทำให้การดำเนินชีวิตผิดพลาด
แม้แต่จะได้ยินได้ฟังคำของผู้รู้ แต่ถ้าหากว่า เราไม่มีประสบการณ์ภายใน
ด้วยการฝึกใจให้หยุดนิ่งแล้ว มันไม่มีกำลังใจที่จะทำตามคำสอนของท่านผู้รู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มันต้องมีกำลังใจ ใจจะมีกำลัง มันต้องหยุดต้องนิ่ง จนกระทั่งมันขยาย ขยายแล้วก็พลังแห่งบุญก็จะเข้ามาแทนที่ในทุกอณูเนื้อ
ยิ่งเราหยุดถึงระดับเข้าถึงดวงธรรมใสๆ
ใจก็จะยิ่งมั่นคง ที่เราเคยได้ยินคำว่า เอกัคคตา
คือ ความเป็นหนึ่ง ใจมันหยุดมันนิ่ง มีอารมณ์เดียว คือ นิ่งๆ ปลอดความคิด ปลอดเครื่องกังวล
บริสุทธิ์ เป็นกลางๆ นั่น คือ ความหมายของคำว่า เอกัคคตา
และหลังจากนั้นก็นิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนิ่งแน่น นี่คือ สิ่งที่ต้องฝึกฝน
พอเราทำบ่อยๆ
เข้า มันก็จะมาอยู่ตรงนี้ได้เร็วเข้า จนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ คือ หลับตาลืมตาใจจะมาติดอยู่ที่ตรงนี้
ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ติดเป็นอัตโนมัติ ใจจะใส สว่างอยู่ภายใน จะผูกพันกับตรงนี้
เมื่อหยุดแล้วก็จะเคลื่อนเข้าไปข้างใน
ถ้าไม่หยุดไม่นิ่ง มันไม่ดิ่งเข้าไปข้างใน พอเคลื่อนเข้าไปเหมือนเราเคลื่อนลง แล้วก็ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง
ใจที่เคลื่อนกำลังไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความพ้นทุกข์ จะเคลื่อนไปตรงนั้นไปเรื่อยๆ
หยุดนิ่งเฉยๆ
ทีนี้บางคนฝึกแล้ว
เห็นดวงธรรมบ้าง องค์พระบ้าง วอบๆ แวบๆ พอถึงตรงนี้มักจะลืมคำแนะนำที่ว่า ให้ดูเฉยๆ
อย่าไปคิดอะไร ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปคิด เอ๊ะ อ๊ะ หรือพยายามอยากให้ภาพนั้นอยู่กับเรานานๆ
มักจะลืมกันอย่างนี้
วิธีที่ถูกคือ
หยุดนิ่งเฉยๆ ทำอย่างนี้ แค่นี้ เท่านั้น หยุดนิ่งๆ สบายๆ แต่ถ้าเราออกจากสมาธิแล้วในท่านั่ง
เปลี่ยนอิริยาบถใหม่ เราจะพิจารณาเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา
ก็พิจารณาไปเถอะ ซึ่งพิจารณาสิ่งเหล่านี้เอาแค่นาทีเดียวมันก็จบแล้ว เพราะรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น
แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว ก็ให้ใจตั้งมั่นหยุดกับนิ่งอยู่ภายใน มีความสุข
มีความบริสุทธิ์ จะมีความรู้แจ้ง
วิปัสสนา เริ่มต้นที่กายธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
แต่เดิมท่านก็ไม่ได้รู้อะไร ตอนแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ใช้เวลา ๖
ปีในการบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ต่อมาท่านก็ทิ้งทุกอย่าง แล้วก็มาหยุดมานิ่ง และก็เห็นไปตามลำดับ
ความรู้แจ้งของท่าน เกิดขึ้นเมื่อเห็นแจ้ง
ความรู้แจ้งได้
เกิดจากการเห็นแจ้งนี่แหละ เขาเรียกว่า เป็นตัว วิปัสสนา
คำๆ นี้มักเอาไปใช้คลาดเคลื่อนกัน เห็นมีในเว็บฝึกสมาธิอยู่เว็บหนึ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
มีคำขึ้นต้นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนยังเป็นบรมโพธิสัตว์ ๖ ปีนั้น ได้ไปฝึกวิปัสสนาที่สำนักนั้น
สำนักนี้ ครูบาอาจารย์ท่านนั้น ท่านนี้ แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จในการพ้นทุกข์ จนกระทั่งมาฝึกวิปัสสนาอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์นั่นแหละ
ค้นพบด้วยพระองค์เอง วิปัสสนาเกิดขึ้นที่ใต้ต้นโพธิ์
ค้นพบด้วยพระองค์เอง ความจริงเป็นอย่างนั้น ก่อนหน้านั้น ท่านเจอครูต่างๆ อาฬารดาบส
อุทกดาบส หรือนอกเหนือจากนี้ ไม่ได้ไปฝึกวิปัสสนา แต่ว่าท่านได้สมาบัติ ฝึกใจหยุดใจนิ่ง
ในเว็บบางทีใช้ความหมายคลาดเคลื่อน มีผลทำให้นักเรียนเข้าใจผิด
วิปัสสนา เขาจะใช้เริ่มต้นอยู่ตรงที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว ถึงกายผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว กายพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ คือ ธรรมจักขุเกิด
มันเห็น แล้วญาณทัสสนะเกิดขึ้น เขาใช้กันตอนนี้ นี่ในเว็บที่ผ่านๆ
มานั้น เขาใช้คำทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อนกัน
แต่ว่าเราอย่าเพิ่งไปติดใจกับคำว่า สมถะหรือวิปัสสนา เอาฝึกใจให้หยุดนิ่งให้ได้เสียก่อน
พอถึงธรรมกายแล้วเดี๋ยวก็เข้าใจเองนั่นแหละว่า ตรงนี้สมถะ ตรงนี้วิปัสสนา มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะการเห็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ต่างๆ เหล่านี้ มันต้องเห็น
เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก แต่เห็นวัตถุภายนอกมันเห็นด้านเดียว แต่เห็นอย่างนั้นมันเห็นทุกด้าน
เห็นรอบด้าน ด้วยธรรมจักขุ ด้วยญาณทัสสนะ
วิชชา
๓ เรียนรู้ด้วยการเห็น
มีสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้อีกมากมาย
โดยเริ่มต้นจากหยุดกับนิ่งนี่แหละ รวมทั้ง วิชชา ๓
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลัง
จุตูปปาตญาณ การเห็นเรื่องกฎแห่งกรรม ภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
อาสวักขยญาณ การทำกิเลสอาสวะให้สิ้นไป ก็ต้องอาศัยหยุดกับนิ่ง
แล้วมันก็ต้องเห็น
ไม่เห็นมันก็ระลึกชาติไม่ได้ ระลึกชาติไม่เหมือนกับเรานึกคิดทบทวนว่า ตอนปีนั้นปีนี้เราทำอะไรมา
แล้วมันก็มีภาพเกิดขึ้นทางใจชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง วอบๆ แวบๆ จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อย่างนั้นไม่เรียกว่า
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ มันต้องเห็น เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย
เห็นแทงตลอดในเรื่องนั้น เป็นภาพ ยิ่งกว่าการดูหนัง ดูละคร ดูทีวี มันเหมือนเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น
มันต้องเห็นน่ะ
จุตูปปาตญาณ ก็ต้องเห็น ไม่เห็นก็ไม่รู้เรื่อง
อาสวักขยญาณ ก็ต้องเห็นอีกเหมือนกัน ไม่เห็นมันก็ไม่รู้ว่า
พ้นแล้ว หรือไม่พ้นแล้ว
ต้องฝึกทุกวัน
หลักสำคัญ
คือ การหยุดกับนิ่ง พระมงคลเทพมุนี
พระผู้ปราบมาร ถึงตอกย้ำเสมอว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ต้องจับหลักตรงนี้ให้ได้และเฝ้าเพียรฝึกไปเรื่อยๆ
ให้ใจหยุดนิ่ง แล้วมันจะถูกส่วนไปเอง พอถูกส่วนก็ตกศูนย์ แล้วก็จะเห็นไปตามลำดับ ตามภาคทฤษฎีนั่นแหละ
หยุดจึงสำคัญ
ต้องฝึก เราจะมาฝึกเฉพาะวันอาทิตย์ หรือขึ้นสวนพนาวัฒน์ หรือตามที่ต่างๆ ที่หมู่คณะจัดไปนั้นก็ไม่เพียงพอ
จะต้องฝึกกันทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แล้ววันอาทิตย์ก็มารวมประชุมกัน มานั่งพร้อมๆ กันไป
อย่างนี้มันถึงจะมีผลแห่งการปฏิบัติได้รวดเร็ว
ตอนนี้ก็ประคองใจกันไป
ให้หยุด ให้นิ่งๆ ให้ใจใสๆ นี่คือ งานที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นไม่ใช่ การทำมาหากินก็เพียงแค่หล่อเลี้ยงสังขาร กับมาสร้างบารมีเท่านั้น เราก็ต้องบริหารเวลาของชีวิตให้เป็น
ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง
ให้ทุกคนประคองใจกันไป
วางเบาๆ นิ่งๆ อย่าไปกดลูกนัยน์ตา มองเข้าไปในท้อง หรือภาพมันเกิดขึ้นในกลางกายก็อย่าไปเค้นภาพเพื่อให้มันชัดเจน
ไม่ต้อง อยากจะให้ชัดเจนเร็วๆ ต้องนิ่ง นิ่งนุ่ม เบา สบาย มีความสุข ถ้าไม่มีความสุขแล้วมันจะไม่ชัดเจน
ประคองใจกันไปนะลูกนะ แตะใจกันไปเบาๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565