หยุดนิ่งอย่างเดียว
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง จะเป็นเรื่องคนสัตว์สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง เรื่องการศึกษาเล่าเรียน
หรือเรื่องอะไรที่มันนอกเหนือจากนี้
วางใจ
แล้วก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า หยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง
จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งนอกจากเป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ ที่ตื่นแล้ว ยังเป็นทางไปสู่อายตนนิพพานด้วย
บริกรรมนิมิต
ให้ลูกทุกคน มาหยุดใจอยู่ที่ตรงนี้ พร้อมกับกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เป็นเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว
โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือขนาดที่เราพึงพอใจ จะขนาดไหนก็ได้ แต่ว่ากลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์
ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรใสๆ สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
กำหนด คือ นึกขึ้นมาในใจ
อย่างเบาๆ สบายๆ คล้ายๆ กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ให้นึกถึงบริกรรมนิมิตนี้อย่างเบาๆ
สบายๆ ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้ใจนี่มาหยุดมานิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ที่บริกรรมนิมิตตรงนี้
แล้วก็นึกให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น
บริกรรมภาวนา
แต่ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น เราก็จะต้องประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
ในใจเบาๆ โดยให้เสียงของคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน
เหมือนสำนึกลึกๆ เหมือนบทสวดมนต์ที่เราคล่องปากขึ้นใจ ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ภาวนา สัมมาอะระหัง ไปใจเราก็นึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ
เหมือนกับเพชรดังกล่าวนั้น หรือจะนึกถึงองค์พระที่เราคุ้นเคยก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เราถนัด
แต่เอาอย่างเดียว แต่นึกอย่างหนึ่ง แล้วไปเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นไร ดูไปเรื่อยๆ
อย่างสบายๆ
วัตถุประสงค์ที่เราต้องประกอบบริกรรม
๒ อย่างนี้ ทั้งบริกรรมนิมิตและบริกรรมภาวนาก็เพื่อให้ใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เพราะใจหยุดเท่านั้นจึงจะทำให้เราได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา
ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต แล้วก็ธรรมในธรรม
ซึ่งเป็นแผนผังของชีวิต กายเวทนาจิตธรรมนี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
กายภายใน
กายในกาย ได้แก่ กายภายในในกายภายนอก
แล้วก็กายภายในในกายภายใน เช่น
กายมนุษย์ละเอียด ที่หน้าตาเหมือนตัวเรา
ที่เรานอนหลับแล้วฝันไปเห็นตัวเรา ออกไปทำหน้าที่ฝัน นั่นแหละกายมนุษย์ละเอียด จะซ้อนอยู่ภายในตัวเรา
ในกลางกายมนุษย์ละเอียด จะมีกายทิพย์หยาบ-ละเอียด
ซ้อนอยู่
ในกลางกายทิพย์ จะมีกายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด
ซ้อนอยู่
ในกลางกายรูปพรหม จะมีกายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด
ซ้อนอยู่
ในกลางกายอรูปพรหม จะมีกายธรรมโคตรภูหยาบ-ละเอียด
ซ้อนอยู่
ในกลางกายธรรมโคตรภู
จะมีกายธรรมพระโสดาบันหยาบ-ละเอียด ซ้อนอยู่
ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน
จะมีกายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ-ละเอียด ซ้อนอยู่
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี
จะมีกายพระอนาคามีหยาบ-ละเอียด ซ้อนอยู่
ในกลางกายธรรมพระอนาคามี
จะมีกายธรรมพระอรหัตหยาบ-ละเอียด ซ้อนอยู่
กายที่สำคัญ คือ กายธรรม ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูขึ้นไปถึงกายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี
กายธรรมพระอนาคามี แล้วก็กายธรรมพระอรหัต เพราะเป็นตัวพระรัตนตรัย เป็นพุทธรัตนะ
กายธรรมที่เป็นเป้าหมาย คือ กายธรรมพระอรหัตตผล
ซึ่งเป็นกายหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก
เราจะเข้าถึงได้เมื่อใจหยุดนิ่งเท่านั้น ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
พระอรหันต์ท่านก็หยุดนิ่งอย่างเดียว
เหมือนเราได้ยินประวัติของพระอรหันต์เถรีในกาลก่อน
ท่านก็ไม่ได้ทำอะไร เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมใจก็หยุดนิ่งตรงนี้ แล้วก็เห็นเรื่อยไปตามลำดับ
เหมือนพระสีวลี ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เลิศในทางลาภ
แค่มีดโกนปลงผม มีดโกนปลงไปได้ ๑ ใน ๔ ก็เป็นพระโสดาบัน โกนผมไปได้ครึ่งศีรษะก็เป็นพระสกิทาคามี
ค่อนศีรษะก็เป็นพระอนาคามี พอปลงผมหมดศีรษะก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
ท่านแค่หยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็จะเห็นไปตามลำดับ
หรือพระอรหันต์ต่างๆ ที่ท่านบรรลุมรรคผลนิพพานตั้งแต่ยังเยาว์วัย
๗ ขวบ ก็ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ นอกจากหยุดกับนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้นแหละ
เมื่อบารมีเต็มเปี่ยม เพราะสั่งสมโดยการคลายความผูกพัน
ความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายมายาวนาน บารมี ๓๐ ทัศ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
ใจก็จะคลายจากความผูกพันเหล่านั้น พอคลายก็หลุด หลุดแล้วก็มาหยุดนิ่งๆ ตรงนี้แหละ
พอหยุดเข้าก็บริสุทธิ์ แล้วก็เห็นเรียงไปตามลำดับ นิพพิทา วิราคะ
วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน ว่าตั้งแต่ นิพพิทา เบื่อหน่าย คลายความผูกพัน
ความยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งนั้นไม่ได้เป็นสาระแก่นสารของชีวิต แล้วก็มาหยุดนิ่งอย่างนี้
เห็นไปตามลำดับ
กรณียกิจแห่งชีวิต
เราจับหลักอย่างนี้ได้ ก็จะต้องฝึกใจให้หยุดนิ่งในทุกอิริยาบถ
โดยเฉพาะกำลังอยู่ในอิริยาบถนั่ง เราก็ฝึกใจกันไปให้หยุดนิ่ง นี่เป็นกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นไม่ใช่ สิ่งอื่นก็แค่อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไป
เกิดกันมาแต่ละครั้ง ก็เพื่อจะแสวงหาหนทางให้มันหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
โดยการไปขจัดสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ด้วยใจที่หยุดนิ่งจนกระทั่งมรรคเกิดขึ้น
เห็นอริยมรรคเป็นดวงใสๆ เกิดขึ้นที่กลางกาย แล้วก็เห็นเรื่อยไป รู้เรื่อยไป หลุดเรื่อยไป
คือเห็นแจ้งกับรู้แจ้ง แล้วก็หลุดพ้น จะเรียงกันไปอย่างนี้
อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมในการประพฤติปฏิบัติธรรม
ให้ลูกผู้มีบุญฝึกใจให้หยุดให้นิ่งสบายๆ ด้วยบริกรรมทั้งสองอย่างนั้น ทั้งบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต
จนกระทั่งใจหยุดนิ่ง ถูกส่วนมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง เหมือนเราลืมภาวนาไป หรือไม่อยากจะภาวนาต่อไป
และรักษาใจให้หยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ นอกจากมันแวบฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
จึงจะย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกคนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565