หยุดนิ่งได้ ก็ศึกษาได้
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส
ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
ทำใจของเราให้ว่างๆ
วางใจ
แล้วก็รวมใจไว้หยุดนิ่งๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ
นึกถึงบุญ
นึกถึงบุญทุกๆ บุญ ที่เราทำผ่านมา
ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สร้างบุญบารมีเรื่อยมา นับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
จะบุญเล็ก บุญน้อย บุญปานกลาง บุญใหญ่ ทุกๆ บุญ ให้มารวมกันอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
เป็นดวงบุญที่ใสสะอาดบริสุทธิ์
ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ สว่างประดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือยิ่งไปกว่านั้น ให้ใจเราหยุดนิ่งๆ ไปที่กลางดวงบุญนี้ อย่างสบายๆ
ใจเป็นธาตุสำเร็จ ถ้าเรานึกถึงเรื่องบุญ
กระแสธารแห่งบุญก็จะบังเกิดขึ้นที่กลางกาย ถ้านึกถึงเรื่องบาป บาปอกุศลก็จะบังเกิดขึ้นที่กลางกาย
แต่ว่าให้ผลนั้นแตกต่างกัน บุญให้ผลมีความสุขใจ สบายกาย สบายใจ ความสำเร็จในชีวิต บาปส่งผลตรงกันข้าม
คือ ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ อุปสรรคของชีวิต เป็นต้น
เราก็นึกถึงบุญบ่อยๆ
ให้ติดเป็นนิสัย นึกอยู่ตรงกลางตรงนั้น ที่บอก ให้อยู่ในบุญ
ก็คือการระลึกนึกถึงบุญดังกล่าวเหล่านี้ โดยเฉพาะบุญปัจจุบันที่เรามีความปลื้มปีติยินดีมาก
จะทำให้เรานึกได้ง่าย มาเป็นดวงบุญใสๆ กลางกาย ให้เป็นที่หยุดใจของเรา ใจเมื่อมาหยุดอยู่ในกลางกายแล้ว
จะบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่หลุดพ้นจากนิวรณ์ สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงธรรมภายในอุปกิเลสอะไรต่างๆ
เหล่านั้น เป็นต้น
ใจหยุดนิ่งถูกส่วนจะเห็นเอง
ให้ฝึกหยุดใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ให้ติดเป็นนิสัยเลย เมื่อถูกส่วนก็จะเห็นขึ้นมาเอง
จะสว่างขึ้นมาเอง แต่ถ้าไม่ถูกส่วน ก็ยังไม่สว่าง เมื่อไม่สว่างเราก็มองไม่เห็น ทั้งๆ
ที่สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ แต่เหมือนไม่มี เพราะว่าความสว่างยังไม่บังเกิดขึ้น
ใจต้องหยุดต้องนิ่ง ความสว่างจึงจะบังเกิด
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้อัตโนมัติ ถูกส่วนโดยอัตโนมัติ
ก็อยู่ที่การฝึกฝนอบรมใจทุกวัน
ต้องมีอิทธบาท
๔
ให้มีฉันทะ มีความรัก
ที่จะฝึกใจให้หยุดนิ่ง เพราะเห็นประโยชน์ในการฝึกใจหยุดนิ่ง ตั้งแต่ให้ความสุขในปัจจุบัน
ทำให้เราเข้าไปถึงกายในกาย แล้วก็บรรลุธรรมไปตามลำดับ
ดังนั้น ให้เราเห็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม
อย่างนี้ฉันทะก็จะเกิด แล้ววิริยะ จิตติ วิมังสา ก็จะตามมาเอง คือ มีความเพียร ทำต่อเนื่อง
ใจจะจดจ่อ แล้วก็ปรับปรุงใจให้หยุดให้นิ่ง
ทำได้ถูกต้องก็จะถูกส่วนเอง พอถูกส่วน ใจจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
จะเคลื่อนไปเอง มีความรู้สึกว่า ร่างกายขยาย ใจขยาย จนร่างกายกลมกลืนไปกับบรรยากาศ
เราจะมีความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน มีแต่ใจที่หยุดนิ่งๆ ตั้งมั่น สงัดจากกามและอกุศลธรรม
เป็นเอกกัคคตา เป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียว
ที่บริสุทธิ์ และความสุขได้เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ตั้งมั่น เป็นสุข บริสุทธิ์ ใจจะเป็นกลางๆ
คำว่า ใจเป็นกลางๆ
เราจะรู้จักเมื่อหยุดนิ่ง เป็นเอกัคคตา แล้วจะรู้จักคำตรงนี้ว่า เป็นกลางๆ หรือว่า
เป็นอุเบกขาเป็นอย่างไร แต่เป็นกลางๆ มันมีความสุข มีสติ เป็นมหาสติ มีปัญญา เป็นมหาปัญญาเกิดขึ้น
คือ ความรอบรู้ในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากการเห็นแจ้ง มันก็จะเกิดขึ้น
กายผู้รู้ภายใน
จะมีความตั้งมั่นอยู่ภายใน
ใจจะนุ่มนวลละเอียดอ่อนพร้อมที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เคลื่อนเข้าไปกระทั่งเห็นกายในกาย
กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กระทั่งกายธรรม จะเห็นองค์พระภายในใสๆ
เห็นกายธรรม
พอพูดคำว่า องค์พระ
เรามักจะนึกถึงพระพุทธรูปที่เราคุ้น เจนตา แต่จริงๆ หมายถึง กายผู้รู้ภายใน คือ
กายตรัสรู้ธรรม ที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
เกตุดอกบัวตูม เหมือนดอกบัวสัตตบงกช ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก พอดีๆ ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม
บนพระเศียรที่เรียงรายด้วยเส้นพระศกขดเวียนเป็นทักษิณาวัตร หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา และอยู่บนพระวรกายที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ
ในอิริยาบถนั่งทำสมาธิ หยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่มีการยืน ไม่มีการเดิน ไม่มีการนอน แต่ไม่ได้แปลว่า
ทำอิริยาบถนั้นไม่ได้ ทำได้ทุกอิริยาบถ แต่อิริยาบถไม่จำเป็นสำหรับกายตรัสรู้ธรรม
วิชชาพระพุทธเจ้า
เราจะเข้าถึงกายนี้ ใจจะตั้งมั่น ใส สว่าง ความเห็นจะไปรอบตัวทุกทิศทุกทาง เมื่อเราฝึกให้ชำนาญทุกอิริยาบถ เราจะหลับตา
ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน ก็จะชัด ใสแจ่มอยู่ตลอดเวลา ความตั้งมั่นของใจเพิ่มไปเรื่อยๆ
อารมณ์เป็นหนึ่ง นิ่งแน่น จะเคลื่อนเข้าไปในกลางของกลางไปเรื่อยๆ
ยิ่งเคลื่อนเข้าไปใจก็ยิ่งบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ละเอียดนุ่มนวล
ควรแก่การงานมากเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เราจะมีความพร้อมที่จะศึกษาวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิชชา
๓
ก็เหมือนเราสแกนหาภาพ เรื่องราวต่างๆ มันก็ง่าย ก็ไปถึงตรงนั้น จะน้อมไปทางไหนก็ได้
จะศึกษาเรื่องราวของตัวเราเองก็ศึกษาได้ เมื่อมันละเอียดเพิ่มมากขึ้น สว่างมากขึ้น
บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายผู้รู้ กายตรัสรู้ธรรม ในทุกอิริยาบถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย
เราคือท่าน ท่านคือเรา
คราวนี้เราก็มีความพร้อมแล้ว ที่จะเรียนรู้เรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ หรืออาสวักขยญาณ จะเริ่มต้นเมื่อเข้าถึงกายธรรม
ซึ่งการรู้เห็นก็เป็นไปตามกำลังบารมีของแต่ละท่าน อย่างพระสาวก มหาสาวก ก็ระลึกชาติหนหลังได้ในระดับหนึ่ง
ไปสุดกำลังบารมีของท่านที่เคยสั่งสมมา จะเป็นพระอัครสาวก ก็เพิ่มขึ้นไปอีก
ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เพิ่มมากกว่าพระอัครสาวก ถ้าเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ไปสุดบารมีของท่าน
แต่จิตจะนุ่มนวลบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเลย ใจจะใสบริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญ
แหล่งแห่งบุญ แหล่งแห่งความบริสุทธิ์
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับหยุดกับนิ่ง
ที่เราจะต้องฝึกฝน ให้ความสำคัญ ให้เวลาสำหรับมีชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้มากๆ
และสิ่งเหล่านี้ จะอยู่ในกำมือของเรา ศึกษาได้ ฝึกฝนได้
เมื่อชำนาญหนักเข้าก็สั่งสอนได้ เป็นขั้นเป็นตอนของมันอย่างนั้น แต่ทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวของเรา
“จริง”
ต้องได้
ที่เรายังเข้าไปไม่ถึงจุดที่ว่านี้
เพราะยัง “ไม่จริง” เท่านั้น ถ้าเอาจริง ให้โอกาสกับตัวเองจริงๆ อย่างถูกหลักวิชชา
ต้องเข้าถึงได้อย่างแน่นอน ถึงไม่ได้ มันไม่มี มันต้องเข้าถึง ถ้าเราไม่ได้เป็นอาภัพบุคคล
ไม่ได้เป็นบ้า ปัญญาอ่อนอะไรเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ต้องฝึกเรื่อยๆ หมั่นฝึกหยุด ฝึกนิ่ง
ฝึกไปทุกอิริยาบถ ไม่ว่าเราจะมีภารกิจอะไรก็ตามเราก็ฝึกไป ว่าง ๑ นาที ๒ นาทีก็ฝึก
จะอยู่ห้องน้ำ ขับถ่ายตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ ก็ฝึกได้ ไม่บาป
ทุกแห่งเหมาะสมในการฝึกใจให้บริสุทธิ์ด้วยการหยุดนิ่งทั้งนั้น
ต้องสอนตัวเราเองให้ได้ทุกๆ วัน นะลูกนะ แล้วอีกหน่อยก็จะติดเป็นนิสัย เป็นอัธยาศัย
เหมือนการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ไม่ต้องมีใครมาแนะนำ มากระตุ้นเรา พอถึงเวลาก็ต้องทำอย่างนั้น
การปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
อานุภาพวิชชาธรรมกาย
ยิ่งใจบริสุทธิ์เท่าไร บุญก็ยิ่งเกิดมากเพิ่มขึ้น
บุญนี้ก็จะไปตัดรอนวิบากกรรมต่างๆ ที่ติดมาข้ามชาติ เราจะแก้ไขได้ด้วยตัวของเราเอง เพราะว่าตอนนั้นเห็นด้วยธรรมจักษุ
รู้ด้วยญาณทัสสนะ
เห็นแล้วก็สามารถคำนวณได้ว่า
อันนี้เป็นเศษกรรม หรือว่ายังเป็นส่วนของกรรม กรรมยังหนักอยู่ ก็เห็นเป็นเรื่องราวไป
ถ้ากรรมหนักเราจะเห็นแผนผังหรือโปรแกรมที่เขาเซตเอาไว้ บังคับให้เราสร้างกรรมโดยกายวาจาใจ
แล้วก็มีวิบาก มันจะหนาแน่น เห็นเป็นเรื่องเป็นราวไป
ถ้าใช้เวลาเท่านั้นเท่านี้มันก็เห็นเป็นภาพ เป็นเรื่อง ไปใช้มาเท่านั้นแล้ว
เท่านี้แล้ว เหลืออีกนิดหนึ่ง มันติดอยู่ตรงกลางกาย มันส่งผลอย่างไร จะเห็นด้วยธรรมจักษุ
รู้ด้วยญาณทัสสนะ
นี้จึงเป็นความรู้ที่น่าศึกษา
น่าให้ความสำคัญมากๆ แต่ว่ามนุษย์ทั่วไปก็ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่ามีประโยชน์กับชีวิตของตัวเองมาก
และสำคัญที่สุด เรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องจริง แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่เรื่องจริงคือตรงนี้
พอเรารู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตแล้ว
การดำเนินชีวิตของเราก็จะมุ่งไปสู่เป้าหมายดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง และเป็นอยู่ด้วยความสุข
สงบ สงัด แม้อยู่ตามลำพังก็ไม่เหงา มีความสุข แล้วก็จะเป็นคนที่อยู่ง่าย เลี้ยงง่าย
เพราะว่าใจไม่ผูกพันกับเรื่องไม่เป็นสาระแก่นสาร ใจจะมาอยู่ตรงนี้ ตรงความใส
ความสว่าง ตรงกายธรรม และจะขวนขวายอยากศึกษา เรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ
เรียนรู้วิชชาธรรมกาย ต้องศึกษาด้วยธรรมกาย เพราะกายอื่นศึกษาไม่ได้
กำลังไปไม่ถึง ไม่มีธรรมจักษุ ไม่มีญาณทัสสนะ แต่พอถึงตรงนี้ก็จะศึกษาได้ จะขวนขวายกระตือรือร้น
และไม่ติด ไม่ผูกพันอะไร จะมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง มุ่งไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นลูกทุกคนจะต้องหมั่นฝึกเอาไว้
ศึกษาเอาไว้
เรามีเวลาอยู่บนโลกนี้จำกัด เดี๋ยววัน เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลากันไปแล้ว
กว่าจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกมันยาก ไม่ใช่ง่าย เกิดมาที่จะได้มาเจอผู้รู้ หรือในศาสนาของท่านผู้รู้ก็ไม่ใช่ง่าย
แม้อยู่ในศาสนาของผู้รู้ แต่ว่าไม่มีครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ภายใน ก็รู้ได้ยาก
เพราะฉะนั้น จังหวะชีวิตของเราตอนนี้ถือว่าดีที่สุด ที่ได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา
มีวิชชาธรรมกายบังเกิดขึ้น เรามาถึง ณ ตรงนี้แล้ว ก็เหลือแต่ความขวนขวาย ความเพียร
ความพยายาม ทำด้วยความสุข สนุกกับการฝึกฝน ไม่ใช่ฝืน ไม่ใช่พยายามที่จะทำ แต่มีความสุข
สนุกสนานกับการฝึก และใจจะค่อยๆ ละเอียดลงไปเอง
อย่าไปคำนึงถึงความมืด
หรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น ให้นิ่งๆ ไปเรื่อยๆ หยุดนิ่งไปอย่างสบายๆ ความละเอียดก็จะถูกสั่งสมเพิ่มพูนขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย
พอถึงจุดๆ หนึ่ง อะไรก็กันไม่อยู่ จะทะลุเข้าไปถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ แล้วเราจะมีปีติสุข
เกิดความภาคภูมิใจในตัวของเราว่า เราเกิดมาในชาตินี้ เราสมหวังในชีวิต ในขณะที่คนอื่นเขาไม่สมหวัง
เหมือนจันทร์ข้างแรมอย่างนั้น นับวันมีแต่จะมืดมัวลงไปเรื่อยๆ แต่ของเราก็จะเหมือนจันทร์ข้างขึ้น
ที่ใกล้ความสว่างเพิ่มขึ้น ใกล้วันเพ็ญเข้าไปเรื่อยๆ
วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันบุญใหญ่ของเรา
ให้รักษาใจให้ใสๆ นะลูกนะ ให้หยุด ให้นิ่งๆ ตามหลักวิชชาที่ได้แนะนำมาแล้ว ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565