พบความสุขเมื่อใจหยุดนิ่ง
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ
อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเรา ให้ว่างๆ
แล้วเราก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรา
ปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง กลวงภายใน คล้ายลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป หรือคล้ายๆ เป็นท่อๆ กลวงๆ
ใสๆ
วางใจ
เราก็น้อมใจของเรา ที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ
นำมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือ ทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสอง ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นอกจากจะเป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะเดินทางเข้าไปสู่ เส้นทางสายกลางภายใน
เป็นทางมรรคผลนิพพาน
เป็นเส้นทางของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่าอริยมรรค
เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์
ที่เรียกว่า วิสุทธิมรรค
เป็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
ที่เรียกว่า วิมุตติมรรค
ทางมรรคผลนิพพานจุดเริ่มต้น อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่กลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ซึ่งเราจะต้องทำความรู้จักเอาไว้ แต่ในแง่ของการปฏิบัติ เราแค่ทำความรู้สึกว่า ใจของเรามาอยู่ที่บริเวณกลางท้องแถวๆ
นี้ ประมาณเอา เพราะว่าฐานที่ ๗ นั้น จะเห็นได้ต่อเมื่อใจมาหยุดนิ่งสนิท ได้สมบูรณ์
ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเราจะต้องรู้จักเอาไว้ว่าอยู่ตรงนี้ ก็น้อมใจมาหยุดนิ่งๆ
บริกรรมนิมิต
พร้อมกับกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้น เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจของเรา
พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ได้ให้กำหนดเป็นเครื่องหมาย
ที่หยุดใจของเราว่า เป็นเครื่องหมายที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา
ถ้าเราไม่เคยสังเกตว่า แก้วตาของเราโตแค่ไหน
เราชอบขนาดไหน ก็เอาขนาดนั้น อาจจะเล็กเหมือนดวงดาวในอากาศ หรือโตขึ้นมาหน่อยเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
หรือขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันก็ได้
กำหนดบริกรรมนิมิต คือ การนึกถึงภาพทางใจ
เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ให้นึกอย่างสบายๆ คล้ายๆ
กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย นึกอย่างสบายๆ เหมือนเรานึกถึงผลมะนาว ผลส้ม แตงโม แอ็ปเปิ้ล
ซึ่งเราเคยเห็น ให้นึกธรรมดาสบาย ง่ายๆ
แต่ว่าแทนที่จะเป็นสิ่งนั้นก็มาเป็นดวงใสๆ
เพื่อให้ใจของเราหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เพราะว่าหยุดจะทำให้เราประสบความสำเร็จ ในการเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา
จะทำให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แล้วก็ดับทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นให้กำหนดเป็นบริกรรมนิมิตตรงนี้
อย่างสบายๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหังๆๆ
ภาวนาในใจ เบาๆ สบายๆ ง่ายๆ คล้ายๆ กับบทสวดมนต์ ที่เราคล่องปากขึ้นใจอย่างนั้น เราไม่ได้ใช้กำลังในการท่อง
แต่เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน เป็นเสียงสำนึกลึกๆ ที่ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
ดังออกมาจากบริกรรมนิมิต เป็นดวงใสๆ
สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาเรื่อยไปกี่ครั้งก็ได้
แต่ทุกครั้งจะต้องไม่ลืม นึกถึงดวงใสๆ เพชรเม็ดหนึ่ง เล็กๆ ใสๆ ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
ทำควบคู่กันไปจนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า เราไม่อยากจะภาวนาต่อไป หรือลืมภาวนา แต่ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ ให้รักษาใจให้หยุดให้นิ่งอย่างนั้นเรื่อยไป
แต่ถ้าหากว่า ใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ถึงจะย้อนกลับมาภาวนาใหม่
ไม่ชอบนึกนิมิต
ส่วนใครที่ไม่ชอบกำหนดบริกรรมนิมิต พอนึกทีไรแล้วปวดศีรษะ
มึน ตึง อดเอาลูกนัยน์ตา กดลงไปดูไม่ได้ ก็ไม่ต้องนึกบริกรรมนิมิต
หรือบางคนช่างสงสัยเวลาใจหยุดนิ่งแล้ว
เราจะเห็นชัดเหมือน เราจำลองเอาภาพดวงแก้วใสๆ ไว้ในกลางท้อง อดสงสัยไม่ได้ว่า คิดไปเอง
หรือว่ามันเห็นขึ้นมาจริงๆ ถ้ามีอะไรใสอย่างนี้ก็ไม่ต้องกำหนดภาพใดๆ เลย วางใจนิ่งๆ
หยุดใจนิ่งๆ อย่างเดียว สบายๆ
หรือใครถนัดนึกเป็นองค์พระก็ได้ เป็นพระแก้วใสๆ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ทั้งนั้น เพราะวัตถุประสงค์ต้องการให้ใจ มาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ หยุดจะทำให้เราเข้าถึงความสุขภายใน และจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
“สบาย” แสดงว่าทำถูกวิธี
ให้ประคองใจไปเบาๆ สบาย ผ่อนคลาย ถ้าทำถูกต้อง
ใจจะไม่อึดอัด ไม่คับแคบ ตัวจะโล่งๆ โปร่ง เบา สบายกาย สบายใจ แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม
จะสบาย และเราก็จะไม่คำนึงถึงเรื่องเวลา จะลืมความปวด ความเมื่อยไปเลย อยากจะอยู่กับความสบายอย่างนั้น
ตัวจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย นี่ถูกหลักวิชชาแล้ว
ก็ให้ทำใจนิ่งๆ ต่อไป หยุดกับนิ่งต่อไป
ไม่ว่าความโล่ง โปร่ง เบาสบายนั้น จะยังอยู่ในความมืด หรืออยู่ๆ ความสว่างก็เกิดขึ้นมาก็ตาม
ให้นิ่งต่อไปอย่างเดียว นิ่งอย่างเบาสบาย อย่าทำอะไรที่นอกเหนือจากนั้น
ถ้ามีภาพอะไรมาให้ดู จะเป็นภาพอะไรก็ตาม
ให้ดูไปเรื่อยๆ ดูไปเฉยๆ สบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ให้ทำอย่างนี้ แค่นี้เท่านั้น
ให้หยุดนิ่งเฉยๆ สบายๆ ไม่ว่าจะมืดหรือสว่าง ให้หยุดใจกันไปอย่างนี้ ฝึกกันไปเรื่อยๆ
การฝึกใจคือกรณียกิจ
นี่คือกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของเรา
ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละภพแต่ละชาติ การทำอย่างนี้ จะทำให้ใจของเรา บริสุทธิ์
จะหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย จะบริสุทธิ์ บุญกุศลจะเกิดขึ้นเมื่อใจบริสุทธิ์ เกิดขึ้นในระดับที่เราเห็นดวงใสๆ
ชัดเจนแจ่มใส แล้วความสุขจะพรั่งพรูออกมา อย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย ความสุขที่เราแสวงหามาตลอดชีวิต
มาอยู่ที่ใจหยุดใจนิ่งนี่เอง
ความสุขมีอยู่ที่เดียว คือ
ตรงที่ใจหยุดใจนิ่ง นอกนั้นไม่ใช่ เราจับหลักวิชชาตรงนี้ให้ได้ ซึ่งตรงกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่งไม่มี
หยุดนิ่งอย่างเดียวจะเข้าถึงความสุข ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่สุขเล็กน้อย
สุขปานกลาง กระทั่งสุขที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า บรมสุข จะต้องเกิดขึ้นจากใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อลูกทุกคนเข้าใจกันอย่างนี้ดีแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจฝึกใจให้หยุดนิ่ง อากาศในตอนเช้ากำลังสบาย เหมาะสมที่ลูกทุกคนผู้มีบุญ
จะได้ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ให้ตั้งใจกันให้ดีนะ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565