หลับตาให้เป็นก่อน
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
หลับตาให้เป็น
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าบีบเปลือกตา ปรือๆ ตานิดๆ พอสบายๆ
ร่างกายระบบประสาทกล้ามเนื้อจะได้ผ่อนคลายไปด้วยทั้งเนื้อทั้งตัว
เพราะการเห็นภาพภายใน
แสงสว่าง ดวงธรรม กายภายใน หรือองค์พระ เราไม่ต้องใช้ลูกนัยน์ตาดู หลับตาแค่ไม่ให้เห็นภาพภายนอกคน สัตว์ สิ่งของ ใจจะได้ไม่ฟุ้ง
ก็มีวัตถุประสงค์เพียงแค่นั้นแหละ
ถ้าเราไปบีบตาแน่น
เหมือนเรากำลังจะเล็งมองดูอะไรที่กลางท้อง จะได้แต่ความมึน ตึง เกร็ง เครียด แล้วก็จะทำให้เบื่อหน่ายในการนั่งสมาธิ
สุขที่เกิดจากสมาธิเราก็จะไม่ได้สัมผัส จะทำให้เราท้อแท้ เบื่อหน่าย
พลอยน้อยอกน้อยใจ โทษนั่น โทษนี่ นึกว่ามีบุญวาสนาน้อย คงไม่มีโอกาสได้เห็นธรรมะเหมือนพี่น้องวงธรรมะผู้อื่นอย่างนั้น
ก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ แล้วอยู่ที่ทำถูกวิธีไหม กับให้มีความเพียรอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
อย่าให้ขาด
เริ่มต้น ต้องหลับตาให้เป็นก่อน หลับตาเป็นก็เท่ากับเรากำความสำเร็จที่จะเห็นทุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวถึงล้านเปอร์เซ็นต์
บ่ายนี้
เราเริ่มต้นกันอย่างช้าๆ ปิดเปลือกตา ผ่อนคลายให้เป็น ผ่อนคลายอย่างไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งสิ้น
เพราะมันมีอยู่แล้ว เราจะต้องไปคาดหวังอะไร แสงสว่างดวงธรรม กายภายใน องค์พระภายใน
มีอยู่แล้วเป็นผังของชีวิตติดตัวเรามา ความสุขก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่เรายังเข้าไปไม่ถึงเท่านั้น
หัดทำให้เป็นนะลูกนะ เอาตรงนี้ให้ได้ก่อน เพราะอายุเราเยอะแล้ว วันเวลาในโลกก็เหลือประเดี๋ยวประด๋าวก็จะหมดเวลาแล้ว
ทำตรงนี้ให้ได้กันก่อนนะ หลับตาเบาๆ ผ่อนคลาย วางมือให้เป็น วางร่างกายให้เป็น ช้าๆ
ปรับตรงนี้ให้ได้ มันจะได้เร็ว ยังไม่ต้องไปถึงไหน เอาแค่นี้ ปรับกันให้เป็นก่อน ถ้าทำเป็นแล้วก็ต้องขยัน
อยู่ที่บ้านก็ต้องหมั่นทำการบ้านที่ให้เอาไว้ ต้องทำนะลูกนะ จะเป็นประโยชน์สำหรับเรา
เพื่อเราไม่ใช่เพื่อใครเลย เราจะต้องใช้ไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
และยิ่งชีวิตของเราจะต้องเจอปัญหา
เจอมรสุมมากบ้าง น้อยบ้าง เราหลีกเลี่ยงไม่พ้น ก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจของเราให้ดี
ให้มันถูกหลักวิชชา พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง โดยที่เราไม่หวั่นไหว เผชิญแบบบัณฑิต
นักปราชญ์ในกาลก่อน แม้ด้วยชีวิตท่านก็ไม่หวั่นไหว เพราะว่าเตรียมตัวเตรียมใจฝึกกันมาอย่างดีแล้ว
เราเข้าสู่สมรภูมิชีวิตกันทุกวัน
บางวันก็มาก บางวันก็น้อย วันไหนมากปัญหาชีวิตก็ชัดเจน บางวันน้อยก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ไม่ผ่านเลยก็ไม่ค่อยจะมี
เพราะฉะนั้นการฝึกใจให้หยุดนิ่งสำคัญมากนะลูกนะ ต้องฝึก ต้องทำให้เป็น อย่าขี้เกียจ
ฝึกของเราอย่างนี้ หลับตาผ่อนคลาย วางมือ วางเท้า วางตัวให้เป็น วางคิ้ว ลูกนัยน์ตา
หน้าผาก ศีรษะ วางให้มันเป็น เดี๋ยวจะเห็นภาพเอง
บริกรรมนิมิต
เราใช้ใจของเรานึก
นึกอะไรก็ได้ทั้งนั้น นึกถึงคน สัตว์ สิ่งของ ส่วนชัดหรือไม่ชัดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นอยู่กับการคุ้น
หรือไม่คุ้น ถ้าเราคุ้นมันก็นึกง่าย มันก็ชัดมาก แต่ถ้าหากเราไม่คุ้นมันก็ยากขึ้นมานิดหนึ่ง
แต่ก็ไม่ใช่ว่ายากมาก ยากพอสู้
เราก็นึกเป็นดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว องค์พระ อะไรก็ได้ของใสๆ หรือเพชรสักเม็ดหนึ่ง แต่ควรจะเป็นของที่ทำให้ใจเราสูงส่งได้ก็จะดี
แต่ความจริงแล้วอะไรก็ได้ ยกเว้นสิ่งที่ทำให้ใจเราตกต่ำ ขุ่นมัว เศร้าหมอง นึกถึงของที่อยู่ในระดับเป็นกลางๆ
ที่ไม่ขุ่นมัว ไม่เศร้าหมองก็ได้ หรือของที่ยกใจให้สูงขึ้นอย่างพระรัตนตรัยก็ได้ยิ่งดี
ยิ่งประเสริฐ
แต่การนึกต้องนึกง่ายๆ
อย่างธรรมดา ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ ธรรมดาเหมือนเรานึกถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์วันเพ็ญ
ดวงตะวันยามเที่ยง เพชรสักเม็ด พลอยสักก้อน น้ำแข็ง น้ำค้างปลายยอดหญ้า เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา
ช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ต้นเดือน
ซึ่งจะแตกต่างจากทุกอาทิตย์ ทุกอาทิตย์เราก็ทำกันอยู่แล้ว อาทิตย์ต้นเดือนก็จะเป็นวาระพิเศษ
เพราะเดือนหนึ่งมีครั้งหนึ่งที่เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ โดยนำเครื่องไทยธรรมดอกไม้
ธูปเทียน อาหารหวานคาว นำมาจากบ้าน หรือเรามาตั้งกองทุนบูชาข้าวพระ ก็ถือว่าไทยธรรมนี้ก็เป็นส่วนของเราด้วย
ซึ่งเราได้น้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระพุทธเจ้า
ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายในอายตนนิพพาน พระปัจเจกพุทธเจ้าจะไม่มีบริวาร
เพราะท่านไม่ได้สอนใคร สอนแต่ตัวเอง แต่ก็เป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ ให้ผู้มีบุญได้ตักตวง
ท่านจะอยู่คนเดียวโดดๆ ลอยๆ ในอายตนนิพพานที่ไม่มีอะไรกำบัง มีอาสนะนั่งที่เป็นแผ่นกลมแบน
ใสๆ แต่ว่าใสมาก เป็นกายธรรม เกตุดอกบัวตูม อยู่ในอิริยาบถเดียวเหมือนกันหมด คือ เจริญสมาธิ
กายธรรมที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ
ดังนั้นจึงสง่างาม ไม่คด ไม่งอ ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่สูง ไม่ต่ำ แต่ว่าสวยงาม
กายท่านจะตั้งตรง มีเป็นจำนวนมาก ล้วนเป็นกายธรรมทั้งสิ้น
ถ้าเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และสั่งสอนผู้อื่นโดยชอบ ก็จะมีพระสาวกล้อมรอบท่าน เรียงไปตามกำลังบารมี
ล้วนแต่เป็นกายธรรมทั้งสิ้น เหมือนพิมพ์เดียวกันออกมา
ปริมาณของพระสาวกก็ไม่เท่ากัน ตามกำลังบารมีที่ท่านสั่งสม แบบปัญญาธิกพุทธเจ้า ศรัทธาธิกพุทธเจ้า
หรือวิริยาธิกพุทธเจ้า ในอายตนนิพพาน ที่เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ นั่งอยู่บนโลกุตรฌานสมาบัติแผ่นใสๆ
เหมือนที่จำลองมาให้เห็นในจออย่างนั้นแหละ
พระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ธรรมกายท่านเหมือนกันหมด
เหมือนกับธรรมกายในตัวของเราก็หน้าตาเหมือนกับท่าน รูปร่างก็เหมือนกัน อิริยาบถก็เหมือน
และอยู่ในกลางกายมนุษย์ฐานที่ ๗ ทุกคนในโลก จะเป็นเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ใดก็เหมือนกัน
แตกต่างแต่เพียงภายนอก
ที่แตกต่างมันก็มีเหตุ เกิดการแตกแยก สื่อสารกันไม่ได้ ทำให้ความคิด คำพูด และการกระทำแตกต่างกันไป
สิ่งนี้พญามารเขาบังคับบัญชาทำเอาไว้ แบ่งแยกเพื่อปกครองให้แตกต่างกัน ให้ทะเลาะกันเองบ้าง
ให้ไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของทั้งหมด จะได้เสียเวลาทะเลาะกัน แล้วก็ออกกฎเกณฑ์วิบากบังคับว่า
ให้ทำอย่างนี้ ทำแล้วก็จะเจอผลอย่างนี้ ชีวิตก็วนกันไปวนกันมา ถึงเรียกว่า วัฏสงสาร วนเกิดเป็นนั่น เป็นนี่ ก็วนหาทางออกไม่เจอ
และไม่รู้ด้วยทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ และทำอย่างไรถึงจะพ้นอย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาบังคับซ้อนไว้หลายๆ
ชั้น จนกระทั่งเรานั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แล้วก็เซ็ตโปรแกรมให้มีความแตกต่างในทุกด้าน
ความคิด คำพูด การกระทำ ความเชื่อขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณี ภาษา ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
อาหาร การศึกษา ความเป็นอยู่ แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นจึงสื่อสารกันไม่ได้
คุยกันไม่ได้ ยังมีข้อแย้งอยู่ในใจ แล้วก็ไม่รู้เรื่องราว
จนกระทั่งมีผู้มีบารมีแก่ๆ
ที่ฝ่ายบุญภาคปราบเขากลั่นให้ใสกระทั่งอยู่ในระดับตั้งความปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
ที่จะมาทำหน้าที่เป็นพระบรมครู ความจริงเขากลั่นให้เป็นพระบรมครูได้ทันที แต่พญามารเขาไม่ยอม
เขาก็ยืดออกไป มากีด มาขวาง มากัน จนต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จวิชชาพระบรมครูขึ้นมา
ทำหน้าที่สอนมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย อย่างน้อยก็ ๒๐ อสงไขย แสนมหากัป อย่างกลางก็ ๔๐
อสงไขย แสนมหากัป อย่างมากก็ ๘๐ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะเป็นครูที่มีนักเรียน สอนนักเรียนได้
กว่าจะจบหลักสูตรก็นานขนาดนี้ แล้วก็มียุค มีสมัย อายุกัปขัยขึ้น กัปขัยลง อะไรต่างๆ
เยอะแยะ
เพราะฉะนั้น
ความแตกต่างก็จะมีอยู่ภายนอก ความไม่รู้ก็บดบัง แต่ความเหมือนอยู่ภายใน ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
พระบรมครู
พระบรมศาสดาก็จะสอนให้เข้าถึงกายธรรมนี่แหละ โดยสอนหลักการเหมือนกันหมดว่า ให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีสาระแก่นสารอะไร ไม่มีสิ่งที่อยากจะได้คือความสุขที่แท้จริง
ชีวิตเป็นทุกข์ สอนเหมือนกันหมด สอนอริยสัจ ๔ ขันธ์๕ อายตนะ๑๒ ธาตุ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท
เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องหลักวิชชา สอนให้รู้จักว่า มีสภาพเป็นอย่างไร คุณสมบัติอย่างไร
ว่าสิ่งเหล่านี้อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะมันไม่ใช่ ของไม่ใช่ไปยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มีประโยชน์
ท่านก็จะสอนเพื่อให้คลายความผูกพัน และใจกลับมาสู่สภาวะดั้งเดิม คือ หยุดนิ่ง พอถูกส่วนก็จะดิ่งเข้าไปสู่ภายใน แล้วก็ไปพบแก่นของชีวิต
สิ่งที่เป็นสาระของชีวิต เห็นไปตามลำดับ เห็นกายในกาย จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย
พอถึงธรรมกายแล้ว
พญามารก็กำบังไม่อยู่แล้ว เพราะมีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ ก็จะเห็นอะไรไปตามความเป็นจริง
ซึ่งแตกต่างจากตามนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหมเขาเห็น ซึ่งถ้ามนุษย์ก็เห็นอะไร มันก็ไม่จริง
ไม่ถูกต้อง เทวดาก็เหมือนกัน แต่ดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พรหม อรูปพรหมก็ดีขึ้นกว่าเทวดา
ก็เห็นกันไปอย่างนั้น
พอถึงกายธรรมก็จะเห็นอะไรไปตามความเป็นจริงว่า
เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้ ก็จะทิ้งทุกอย่าง ทุกสิ่ง แล้วก็ดิ่งเข้าไปสู่ภายใน จนกระทั่งถอดกายออกเป็นชั้นๆ
เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต เป็นพระอรหันต์
หลุดร่อนจากกิเลสอาสวะ ไม่ติดอะไรเลย ไปสู่อายตนนิพพาน
แต่ก็จะค้นได้
หรือจะขนได้ระดับหนึ่ง ขนสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไปสู่ฝั่งอายตนนิพพาน ที่ไปเป็นพระสาวกล้อมรอบพระสัพพัญญู
ปริมาณไม่เท่ากัน มีบารมีมากก็ขนไปได้มาก สอนได้เยอะ บรรลุตามได้เยอะ
ที่ยังบรรลุไม่จบหลักสูตรปริญญา ๓ ญาตปริญญา
ตีรณปริญญา หรือปหานปริญญา พวกนั้น ก็เป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระอนาคามี ก็อยู่ปัญจสุทธาวาส
พระสกิทาคามี พระโสดาบัน โคตรภูบุคคลก็อยู่ตามภพภูมิต่างๆ ที่ตัวปรารถนา แล้วก็ส่วนที่ยังไม่ได้อะไรเลยก็ได้
อย่างน้อยเป็นฌานลาภีบุคคล น้อยกว่านั้นก็เป็นคนดีที่โลกต้องการ เป็นกัลยาณชน ให้ปิดอบายไปสวรรค์
เพื่อรอคอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตมาสอนกันต่อ
สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ นับกันไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้นฝ่ายบุญภาคโปรดที่เป็นฝ่ายของกระทรวงศึกษาสอนนักเรียนให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
แต่ละยุคก็ขนไปได้ทีละนิดทีละหน่อย ที่เหลือก็ทิ้งค้างไว้อยู่ในวัฏฏะ แต่อยู่ในฐานะผู้รู้ระดับหนึ่งที่ยังไม่สมบูรณ์
จึงต้องมีอีกทีมหนึ่ง ทีมนี้ก็มีมานานแล้วที่ขนกันไปทีเดียวหมดเลย
ซึ่งก็จะต้องกลั่นบารมีแก่ๆ มาในระดับที่พญามารกันไม่อยู่ในระดับหนึ่ง ที่จะไปรู้ซึ้งถึงเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตได้
เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วก็จะศึกษาได้เร็วแรงแทงตลอดทีเดียว ก็จะมีหน้าที่ไปรื้อผังใหญ่
ผังย่อย ที่บังคับบัญชากันตลอดหมดเลย ถ้าพญามารเขาไม่ยอมก็สู้รบปรบมือกันไป ก็ทำกันไปอย่างนี้
แต่ถ้า ถึงที่สุดแห่งธรรมเมื่อไร ปราบพญามารได้หมด
กายก็จะเปลี่ยนไป ภพก็จะเปลี่ยน สิ่งที่กำบังบดบังเป็นความลับของชีวิตก็จะถูกเปิดเผย
แล้วก็ไปสู่ภพที่ดีที่สุด ไปกันทั้งหมดเป็นทีม คราวนี้หมดจริงๆ
นึกถึงบุญ
วันนี้เป็นวันบูชาข้าวพระ ในภาคบ่าย เราก็มาระลึกนึกถึงบุญ
เมื่อเราหลับตาเป็น ผ่อนคลายเป็น ใจนิ่งเป็นแล้ว เราก็จะได้ตามระลึกนึกถึงบุญทุกบุญ
คือ ถ้าเรายังทำวิชชาธรรมกายไม่เป็น จะต้องระลึกนึกถึงกันอย่างนี้ว่า ได้ทำบุญอะไรมาบ้าง
หรือนึกคลุมๆ ว่า นับภพนับชาติไม่ถ้วน เราทำบุญอะไรมาบ้าง ทุกบุญมารวมกันเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่กลางกายเป็นดวงกลมรอบตัวเหมือนดวงธรรม ดวงแก้ว แต่คุณสมบัติไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไป
เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ถ้าทำเป็นก็จะเห็นภาพ เห็นเป็นเรื่องไปเลยว่า
ได้ทำบุญอะไรมา เห็นม้วนเดียวไปสุดเรื่องเท่าที่รู้ญาณความละเอียดเราจะไปถึงกว้างไกล
และก็จะรวมรวบมาเลย ถ้าทำยังไม่เป็นก็นึกๆ กันไปก่อน นึกว่าได้ทำบุญนั้น บุญอะไรเราก็นึกกันไป
อานุภาพใจที่หยุดนิ่ง
/ เมื่อใจใสสมบัติใหญ่ก็ไหลมา
·
ถ้าเราฝึกใจหยุดนิ่งเป็น เวลาที่ระลึกนึกถึงบุญเราจะได้บุญมาก
จะบริสุทธิ์มาก
·
ถ้าเราทำวิชชาเป็น บุญในชาติไหน
ตอนที่เราทำแล้ว ก่อนทำเราหงุดหงิด ใครมาชวนทำบุญก็หงุดหงิด เวลาทำก็ฟุ้งซ่าน ทำไปแล้วก็หลงลืม
ไม่นึกถึง หรือเสียดาย เราก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยว่า บุญนั้นมันกระจัดกระจายไปที่ไหน
ใครมาตัดรอนเอาบุญไป ถ้าทำวิชชาเป็นก็จะต้องไปตามกลับมา เอามารวม เอามากลั่นแก้ เพื่อให้ติดอยู่ในกลางกาย
·
ถ้าบุญใสๆ ใจใส เวลาได้สมบัติใหญ่
มันเกิดง่ายๆ ง่ายแบบที่เราจะต้องใช้คำว่าอจินไตย คือ มันเลยความคิดของมนุษย์ที่มีข้อจำกัด
คิดไปไม่ถึง ไม่รู้จะคิดอย่างไรว่า มาอย่างไร เป็นอย่างไร ทำไมสมบัติมันเกิดง่ายเหลือเกิน
·
ถ้าใจใสๆ พญามารเขาเอาผังของเขามาปนเป็นไม่ได้
ธาตุธรรมก็ปนเป็นไม่ได้ เขาย่อยแยกบุญ และสมบัติไม่ได้
พอใจใส วงบุญภาคปราบล้วนๆ
ก็ลงคลุมหมดเลยทุกกาย เวลาบุญส่งผลในเมืองมนุษย์ มันพรึบเหมือนเวลาบุญทำให้ทิพยสมบัติเกิดบนสวรรค์
มันจะพรึบขึ้นมาเลย ซึ่งทิพยสมบัติเกิดขึ้นบนสวรรค์ มนุษย์ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า
มันจะไปเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร
บุญเป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่น่าศึกษา
เพื่อให้ลูกทุกคน อย่าท้อในการสร้างบุญทั้งด้วยตนเอง แล้วก็ชวนคนอื่นเขามาทำด้วยสำคัญนะ
มันอัศจรรย์จริงๆ เลย
ชีวิตเราขาดบุญไม่ได้ ถ้าไม่มีบุญหล่อเลี้ยง
บาปหล่อเลี้ยงก็เอาความทุกข์ยากลำเค็ญ ทุกข์โศกโรคภัยมาให้ เพราะฉะนั้นเรื่องบุญสำคัญมาก
ต้องทำ อย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียวนะลูกนะ ใครจะมาพูดตัดรอน ก็อย่าไปเสียกำลังใจ
เขาพูดเพราะเขาไม่รู้ แต่เรารู้แล้ว เราก็ต้องไม่ทุกข์ใจ ก็สั่งสมบุญใหญ่กันต่อไป
เราควรจะเชื่อผู้รู้ ผู้ไม่รู้จะพูดอย่างไรก็ได้
ผู้รู้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเชื่อท่านก็เป็นอย่างท่าน ถ้าเชื่อผู้ไม่รู้ก็เป็นอย่างผู้ไม่รู้
ก็ของตื้นๆ อย่างนี้
ต้องอธิษฐานให้เป็น
ภาคบ่ายตอนนี้ เราก็ระลึกนึกถึงบุญ ที่จริงถ้าทำเป็นเรานึกนิดเดียวแค่นั้นเอง
และหลังจากนั้นก็นิ่งอย่างเดียว นิ่ง นุ่ม เบา สบาย พอนึกถึงบุญ ดวงบุญก็พรึบขึ้นมาเลย
ขยายไปเลย ใสบริสุทธิ์ เราก็จะเห็นบุญธาตุ เห็นผังที่เราได้ตั้งใจเอาไว้ว่า เราอยากจะให้มีชีวิตเป็นอย่างไร
ตามกำลังปัญญาบารมีของเรา เรารู้เรื่องราวของชีวิตได้แค่ไหน ก็อธิษฐานได้แค่นั้น เช็ตโปรแกรมไปได้แค่นั้น
ถ้าเราคิดว่า ขอให้รวยอย่างเดียว เพราะเราคิดว่า
ความรวย ความมีทรัพย์จะทำให้เราได้ทุกสิ่ง ถ้าเรามีความรู้แค่นั้นก็มักจะอธิษฐานแค่นั้น
ทีนี้มันมีช่องว่าง เหมือนกฎหมายอย่างนั้น เพราะพระกับมารปะทะกันอยู่
อธิษฐานต้องอย่าให้มีช่องโหว่
แม้เราไม่เป็นนักกฎหมาย ก็ต้องเป็นนักออกแบบชีวิต พอเรารู้เรื่องกฎแห่งกรรม ต้องอธิษฐานให้สมบูรณ์
ไม่ให้มีช่องโหว่เลย พออธิษฐาน ผังสำเร็จนี้มันก็ซ้อน
บางคนมีความรู้ว่า ขอสวยขอหล่ออย่างเดียว
บุญนี้ก็ปรุงไปเลย ภาพความสวยความหล่อมันก็พรึบไป แต่ว่าเอาไปใช้ทำอะไร เรารู้ไม่สุด
เพราะฉะนั้นรู้ได้แค่ไหน มันก็ไปได้แค่นั้น
เพราะฉะนั้น คำอธิษฐานหลักๆ
ถ้าจะไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ก็ตั้งเป้าไปสู่ที่สุดแห่งธรรม อันนี้เป็นหลัก
นอกนั้นก็เป็นส่วนประกอบ
ถ้าจะเป็นพันธุ์พ้นวัฏฏะ
ก็อธิษฐานให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็แล้วแต่เราจะอธิษฐานอย่างไร เอาหลักก่อน ยึดเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดจากกรอบของชีวิต
ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้ หรือเผื่อเหนียว เราไม่รู้ว่าที่สุดแห่งธรรมมีจริงไหม แต่เรารู้ว่า
มรรคผลนิพพานมีจริง เราก็อธิษฐานให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ได้บรรลุวิชชาธรรมกาย
ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ก็เผื่อเหนียวเอาไว้
แต่คนที่รู้แล้วอย่างคุณยายอาจารย์ฯ
ของเราอธิษฐาน คำอธิษฐานของท่านคำแต่ละถ่ายทอดมาให้หลวงพ่อฟัง คำสั้น กระชับ แต่มันลัดนิ้วมือเดียว
ของท่านไม่ติดข้องอะไรเลย คำอธิษฐานท่าน ปุ๊บไปโน่นเลย เพราะว่าทำวิชชามาคุ้นเคย
เราจะเห็นได้ว่า
หลักสูตรการอธิษฐานนี้ ก็เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ต้องศึกษาอีกเหมือนกัน นอกเหนือจากการศึกษาเรื่องการทำบุญ
ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข และความสำเร็จในชีวิต กับวิถีทางที่จะพ้นจากทุกข์ ให้เข้าถึงความสุขในปัจจุบันนี้
แม้ยังไม่หมดกิเลสก็ต้องศึกษา เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต มันลึกลับซับซ้อน ไม่ศึกษาไม่ได้
จะให้รู้เองเห็นเอง มันยาก แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า รู้เอง เห็นเอง ก็ต้องผ่านท่านผู้รู้
ศึกษาซ้ำๆ กว่าจะบรรลุด้วยตัวเองได้ ก็ต้องผ่านผู้ที่รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดมาจากในอดีต
นับพระองค์ไม่ถ้วนแล้ว
ลูกทุกคนมีบุญที่มาได้ยินได้ฟังเรื่องราวอย่างนี้
ดังนั้นอย่าให้ความสำคัญสิ่งอื่นมากไปกว่าการสร้างบารมี ต้องสั่งสมบุญบารมีให้เยอะๆ
ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา เป็นต้น อย่าตกบุญเลยแม้แต่เพียงบุญเดียว ให้ติดเป็นนิสัย
เวลาที่เหลืออยู่นี้เราก็ระลึกนึกถึงบุญ ด้วยใจที่หยุดนิ่งใสๆ แล้วเราก็นึกอธิษฐานของเราไปตามใจชอบกันนะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565