บริกรรมนิมิต&บริกรรมภาวนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ อย่าถึงกับปิดสนิท เหมือนคนเม้มตา บีบเปลือกตา ถ้าเราหลับตาเป็น
ใบหน้าจะผ่อนคลาย พลอยให้ร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย เพราะฉะนั้น หลับตานี่สำคัญนะ เป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกฝนให้ดีทีเดียว
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายเลย
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ กะๆ เอา ประมาณนี้ ตรงนี้
บริกรรมนิมิต
แล้วใช้ใจนึก
เหมือนเรานึกถึงภาพมหาธรรมกายเจดีย์ นึกธรรมดาอย่างนั้น หมั่นนึกถึงบริกรรมนิมิต เป็นดวงแก้วใสๆ
หรือพระแก้วใสๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรารู้สึกถนัด ชอบ คุ้นเคยในการนึก
ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
นึกเท่าที่เราจะนึกให้เห็นได้ เป็นภาพทางใจ ซึ่งไม่เห็นทันทีเหมือนภาพที่เราเห็นด้วยลูกนัยน์ตาเนื้อ
ถ้าเราลืมตามองดู ก็จะเห็นชัดทันที ถ้าอยู่ใกล้ก็ชัดมาก อยู่ไกลก็ชัดน้อย ของใหญ่ก็ชัดมาก
ของเล็กก็ชัดน้อย
การเห็นภาพทางใจ
ดวงตาภายนอกเห็นชัดทันที
ถ้าเทียบสมมติว่า เป็นเปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
แต่พอหลับตานึกถึงภาพทางใจ จะมี ๒ ประเภท คือ บางคนก็นึกออก บางคนก็นึกไม่ออก
ที่นึกไม่ออกเพราะว่า
ไปตั้งใจมากเกินไป ทั้งๆ ที่เราเคยเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดวงแก้วลูกกลมๆ
ยิ่งเป็นชาวพุทธ พระพุทธรูปเราก็เคยเห็น ทำด้วยวัสดุต่างๆ เป็นโลหะบ้าง เป็นอิฐ
หิน ปูน รัตนชาติ เป็นต้น จริงๆ แล้วนึกก็ต้องเห็น แต่บางคนนึกไม่ออก ก็เพราะตั้งใจมากเกินไป
นึกออกแต่ไม่ชัดเจนเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
เมื่อเทียบภายนอกเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ บางคนนึกออกภายในกลางท้องเรา ๒ เปอร์เซ็นต์บ้าง
๕ เปอร์เซ็นต์บ้าง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ นานๆ จะมีสักคนหนึ่ง ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง
นี่พูดถึงนักเรียนใหม่นะ
ไม่ค่อยจะเจอว่า
ใครหลับตาแล้วเห็นทีเดียว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นอกจากผู้มีบุญที่สั่งสมการปฏิบัติธรรมข้ามชาติมามาก
นั่นเรายกเอาไว้ เพราะทำมามาก ลำบากมามาก ยากมามาก เมื่อบุญส่งผลก็ง่ายมากๆ
เราต้องยอมรับตรงนี้กันก่อนว่า
เราอยู่ในประเภทที่นึกได้ไม่มากนัก ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เหมือนของที่ตั้งอยู่ในที่มืดบ้าง
สลัวบ้าง เมื่อเรายอมรับตัวของเราอย่างนี้ และเข้าใจว่า การเห็นทางใจกับการเห็นด้วยลูกตาเนื้อมันต่างกัน
ความทุกข์ใจก็จะไม่มี ความกังวลใจกลัวจะไม่เห็นก็หมดไป ความตั้งใจมากเกินไป ลุ้น
เร่ง เพ่ง จ้อง ก็จะไม่หลงเหลือ ทำความเข้าใจตรงนี้สักนิดหนึ่ง เสียเวลาตรงนี้นิดหนึ่งสำหรับนักเรียนใหม่
ถ้าไม่บอกอย่างนี้
เดี๋ยวเราจะเผลอเอาลูกนัยน์ตากดลงไปดู เผลอไปเค้นภาพ จนปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา เค้นภาพ
เพื่อต้องการให้ภาพชัดเจน หรือไปควานหาอะไรในที่มืด นี่ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเป็นอย่างนี้
แล้วจะพลอยเบื่อหน่ายในการทำสมาธิ เพราะไม่ได้ความสุขที่เกิดจากสมาธิ ทำให้เบื่อหน่าย
ท้อแท้ ท้อถอย น้อยใจ เข้าใจผิดว่า เรามีบุญน้อย วาสนาน้อย แต่ความจริงทำไม่ถูกวิธี
และไม่เข้าใจธรรมชาติของการเห็นทางใจว่าเป็นอย่างไร
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการนึกภาพภายในกลางท้อง เพื่อต้องการให้ใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว
มาหยุดนิ่งอยู่ภายในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของพระรัตนตรัยในตัว
แต่เราไม่คุ้นเคยกับการทำสิ่งเหล่านี้ คุ้นกับการส่งใจไปข้างนอก ไปคิดในเรื่องราวต่างๆ
เราคุ้นอย่างนั้น เราไม่คุ้นที่จะเอาใจไปวางภายใน
เพราะฉะนั้น
วัตถุประสงค์ต้องการให้ใจหยุดนิ่งๆ อยู่ภายในกลางกาย เพราะ หยุดเป็นตัวสำเร็จ ที่จะทำให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
หรืออย่างน้อยก็เข้าถึงความสุขภายใน ได้เข้าถึงแสงสว่างภายใน ถึงดวงธรรม กายภายใน องค์พระใสๆ
หยุดนี่สำคัญตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์
นี่คือวัตถุประสงค์ของการนึกภาพทางใจไว้ที่กลางกาย ต้องทำความเข้าใจให้ดี
เริ่มต้น
ใจยังคงไม่หยุดง่ายๆ อย่างนั้นหรอก ได้เป็นบางคน เพราะฉะนั้นเริ่มต้นเราก็ต้องเอาให้ใจมันอยู่เสียก่อน
อยู่ภายในบริเวณกลางท้อง โดยทำความรู้สึกว่า ใจอยู่ตรงนี้ มีดวงแก้วใสๆ มีพระแก้วใสๆ
ขนาดใหญ่-เล็กแล้วแต่ใจเราชอบ ให้รู้สึกว่า มีไปก่อน แล้วก็รักษาความรู้สึกนั้นให้ต่อเนื่องกันไป
อย่าเผลอไปคิดเรื่องอื่น
บริกรรมภาวนา
แต่ถ้าห้ามไม่ได้
เผลอไปคิดเรื่องอื่นด้วยความคุ้นเคยก็ช่างมัน พอเรารู้ตัวเราก็กลับมาใหม่ เพราะเรายังเป็นนักเรียน
ยังฝึกฝนอยู่ ก็กลับมาใหม่ พร้อมทั้งบริกรรมภาวนาในใจกำกับไปด้วย
บริกรรมภาวนาเบาๆ
สบายๆ คล้ายกับเสียงบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย หรือบทเพลงที่เราเคยได้ยิน เราคุ้นเคย ให้เสียงนั้นดังออกมาจากในกลางท้อง
ต้องกลางท้องนะ ซึ่งใหม่ๆ เราจะคุ้นกับสมอง จะสวด จะท่อง จะภาวนาก็คุ้นว่า ต้องสมอง
ให้เราเปลี่ยนความคุ้นมาที่กลางท้อง บริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ สัมมาอะระหังๆๆ ดังออกมาจากในกลางท้อง
บริเวณแถวฐานที่ ๗
ทำประหนึ่งว่า
เป็นเสียงแห่งความบริสุทธิ์ ที่มาจากแหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ ในอายตนนิพพานที่เรายังไปไม่ถึงโน้น
ผ่านมาในกลางกาย ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจเราให้หมดสิ้นไป ขจัดทุกข์โศกโรคภัย อุปสรรคต่างๆ
นานาในชีวิต วิบัติ บาปศักดิ์สิทธิ์ วิบากกรรม วิบากมารให้หมดสิ้นไป ภาวนาอย่างมีความสุข
สนุกสนานกับการภาวนา บันเทิงใจ สัมมาอะระหังๆๆ เรื่อยไป
ความหมายของ
“สัมมาอะระหัง”
อย่าไปคิดว่า
มันจำเป็นต้องทำ หรือจำยอมต้องทำ อย่างนี้ไม่มีความสุข เพราะคำว่า “สัมมาอะระหัง”
นั้น มีอานุภาพมาก มีความหมายที่สูงส่ง
สัมมา ย่อมาจาก มรรคแปด
ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ เรื่อยไปถึงสัมมาสมาธิ การทำสมาธิชอบ รวมถึงการประพฤติชอบทั้งกาย
วาจา ใจ เป็นต้น คือให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ นี่ความหมายของสัมมาแบบย่อๆ
อะระหัง แปลว่า ห่างไกลจากกิเลส
จากความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งที่ไม่ดี วิบากกรรม วิบากมาร วิบัติบาปศักดิ์สิทธิ์
ชีวิตที่ผิดพลาดที่ผ่านมาแล้ว จะห่างไกลจากสิ่งนั้น จนกระทั่งใจนั้นสะอาด บริสุทธิ์
บริสุทธิ์ในระดับที่เห็นความบริสุทธิ์ด้วยใจของเราได้
เพราะฉะนั้น คำว่า “สัมมาอะระหัง” จึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่และสูงส่ง
ทุกคำที่เราภาวนาในใจ ใจเราจะถูกกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งธาตุธรรม เห็น จำ
คิด รู้ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ สะอาดไปหมด
เมื่อความบริสุทธิ์บังเกิดขึ้นในใจแทนที่ความไม่บริสุทธิ์ อานุภาพอันไม่มีประมาณก็จะติดตามมาด้วย
ทำให้ใจเรามีพลังที่จะทำแต่สิ่งที่ดี มีพลังที่จะกล้าละความชั่ว มีพลังที่จะทำความดี
และมีพลังที่จะทำให้ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความแตกต่างระหว่าง
“ภาวนา” กับ “ท่อง”
แต่คำว่า
“ภาวนา” กับคำว่า “ท่อง” นี่ ความหมายแตกต่างจากกัน
“ท่อง”
เราต้องใช้กำลังในการนึก การคิด การพูด แม้ท่องในใจก็ยังต้องใช้กำลัง
แต่ถ้า
“ภาวนา” มันละเอียดไปกว่านั้น คือ เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียด เป็นสำนึกลึกๆ ที่ดังออกมาเอง
โดยไม่ได้ใช้กำลังในการท่อง ถึงจะเรียกว่า ภาวนา
ใหม่ๆ
เราต้องยอมให้เป็นการท่องเสียก่อน เพื่อให้คล่องปาก ให้ขึ้นใจ แต่ต่อไปจะปรับของมันไปเอง
ไปสู่ระดับของคำภาวนา คือ เป็นเสียงละเอียดสำนึกลึกๆ ที่ดังออกมาเองจากในกลางท้องของเรา
เมื่อเราคล่องปากขึ้นใจแล้ว ก็จะผ่านมาในกลางท้องกลางกายนั่นเอง
ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหัง อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ใจอยู่ในตัว อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ในกลางท้องเรา
เพราะเป้าหมายของเราคือฐานที่ ๗ จะอยู่บริเวณแถวๆ นั้น
เมื่อคำภาวนาเลือนหายไป
จนกระทั่งถึงจุดๆ
หนึ่งเมื่อถูกส่วนเข้า คือ ความพอดีเกิดขึ้น เกิดขึ้นเอง ใจก็จะหยุดนิ่งๆ เมื่อใจหยุดนิ่งก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง
หมดความจำเป็นที่จะต้องประคองใจแล้ว หมดความจำเป็นที่จะเป็นพี่เลี้ยงของใจ ประคับประคองให้อยู่ที่ฐานที่
๗
เมื่อถึงที่หมายแล้ว คำภาวนา สัมมาอะระหัง นั้นก็หมดความจำเป็น เหมือนเรือจ้างที่แจวมาส่งถึงฝั่งแล้วก็จอดที่ริมฝั่ง
หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไป ไม่จำเป็นต้องแบกเรือจ้างขึ้นฝั่งไปด้วย
เพราะฉะนั้น
ถ้าเราภาวนาถึงจุดแห่งความสมบูรณ์ของหน้าที่การประคองใจ หน้าที่ของการเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ใจ
คำภาวนานั้นก็จะเลือนหายไปเอง จนกระทั่งเราเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งๆ
นุ่มๆ อย่างนี้อย่างเดียว แล้วคำว่า นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม จะรู้จักตอนที่ใจหยุดจริงๆ
นั่นแหละ คือ มันนุ่มจริงๆ ใจละเอียดอ่อนลงไป ละมุนแต่มีพลัง
ตัวขยาย
ใจขยาย
พอถึงตอนนี้จะปรับสภาพความรู้สึกที่ร่างกาย
ที่เคยทึบก็จะโล่งโปร่ง ที่เคยหนักๆ ก็จะเบา ที่เคยลำบากก็จะสบาย ที่คับแคบก็จะขยาย
รู้สึกตัวขยายกว้างออกไป
เหมือนลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป ค่อยๆ พองโตขึ้น แต่ลูกโป่งยังมีข้อจำกัด พองโตได้ในระดับหนึ่ง
แต่ใจหยุดนิ่งแล้ว อาการพองโตของกายและใจนั้นไม่มีขอบเขต ตั้งแต่พองโตใหญ่กว่าตัวเรา
ถ้าเรานั่งที่บ้านก็ใหญ่กว่าห้อง นั่งในสภาธรรมกายสากลก็ใหญ่ขนาดสภาธรรมกายสากลบ้าง
ใหญ่กว่านั้นบ้าง จนกระทั่งกลมกลืนไปกับบรรยากาศ คือขยายหายไปเลย โตอย่างไม่มีขอบเขต
ใจก็จะขยาย
ความรู้สึกที่ร่างกายหายไป ไร้น้ำหนัก แต่มีความสุขอย่างไม่มีประมาณบังเกิดขึ้น แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม
เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มีความเพียร ฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ อย่างถูกหลักวิชชา เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญต่อการฝึกใจหยุดใจนิ่ง
ความสุขจะเกิดขึ้น กายก็สบาย ใจก็สบาย เบิกบานทีเดียว
เหมือนอยู่กลางอวกาศที่ไม่มีขอบเขต
เคว้งคว้างแต่นิ่ง กว้าง ขยายไปทุกทิศทุกทาง แต่มีจุดๆ หนึ่งที่นิ่ง เป็นหลักของอาการที่ขยายออกไปรอบตัวนั้น
แล้วเราจะเริ่มสัมผัสความใสของใจได้ ที่ได้ยินว่าใจใส เราจะเริ่มสัมผัสเหมือนเข้าไปสู่ขอบเขตนั้น
พรมแดนของความใส อาณาจักรความใสของใจ จะเริ่มสัมผัสตรงนั้น
แล้วใจจะนิ่งต่อไปอีก
นิ่งยิ่งขึ้น จนนิ่งในระดับที่ไม่เขยื้อน นิ่งแน่น แต่แน่นที่ไม่อึดอัด แน่นที่มีความสุข คือขอบเขตอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยความนิ่ง
สมมุติว่า ตัวเราขยายไปเท่ากับท้องฟ้า ถ้าเราจะเขียนคำว่านิ่งนี่ มันโตเต็มท้องฟ้า
นิ่งอย่างนั้นแหละ
ความรู้สึกของเราก็จะเลยความรู้สึกที่อยู่ในโลกใบนี้ที่มีขอบเขตจำกัด
เหมือนเราตัดเส้นรอบวงออกไป อาณาจักรของใจดูเหมือนว่าไปสุดขอบฟ้า ฟ้าที่ไม่มีฝาครอบ
ฟ้าที่ไม่มีขอบเขต
ความสว่างที่มาพร้อมความสุข
ความสว่างก็จะเรืองรองขึ้นมา
บ้างก็เหมือนฟ้าสางๆ ตอนตี ๕ ในฤดูร้อน บ้างก็สว่างเหมือน ๖ โมงเช้า สว่างเหมือนเห็นแสงเงินแสงทองในยามอรุโณทัย
ความสว่างนั้นมากับความสุขที่เพิ่มขึ้น ความสุขจะเพิ่มขึ้นไปตามความสว่าง เป็นแสงสว่างภายในที่น่ามหัศจรรย์
เราหลับตาแล้วไม่มืด แสงสว่างที่ใสเหมือนแสงแก้ว ที่เนียนตาละมุนใจ
ความสว่างจะเพิ่มขึ้นเรื่อยไป
เมื่อใจยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น กระทั่งไปถึงความสว่างประดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
เป็นความสว่างที่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ความสว่างนั้นใสบริสุทธิ์ ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งสว่างกว่านั้นเพิ่มเข้าไปอีก
เราคุ้นเคยกับความสว่างแค่ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
ซึ่งถือว่าสว่างที่สุด เท่าที่ตามนุษย์จะพึงเห็นได้ แต่แสงสว่างภายในยิ่งกว่านั้น เป็นความสว่างที่ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้
เราไม่คุ้นเคย ไม่ทราบว่าจะใช้คำว่าอะไร เพราะคำว่าเที่ยงวันในโลกมนุษย์ คือที่สุดแห่งความสว่างของดวงอาทิตย์
เลยไปกว่านั้นจะหรี่ลงไปเรื่อยๆ แต่นี่สว่างกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ถ้าจะเทียบก็เหมือนกับเอาดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันสัก
๒ ดวงมาขยายความสว่างนั้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่แสบตา ไม่เคืองตา ยิ่งเจิดจ้าก็ยิ่งมีความสุข
มีความเบิกบาน
เราจะรู้จักคำว่า เบิกบาน เมื่อความสว่างภายในบังเกิดขึ้น ในยามที่ไร้น้ำหนัก
ไร้ความรู้สึกของความเป็นตัวเป็นตนของร่างกาย เหมือนอาการขยายของดอกบัว ที่ได้รับแสงตะวันแล้วคลี่ขยายกลีบเบ่งบาน
นั่นเป็นเพียงข้ออุปมาเท่านั้น แต่นี่คืออาการขยายของใจ ซึ่งแต่เดิมเคยคับแคบอึดอัด
ถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตแห่งความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน เศร้า ซึม
เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม
แต่นี่อาการเหล่านั้น
อารมณ์เหล่านั้นไม่มีหลงเหลืออยู่เลย ไม่รู้จักว่ามีอารมณ์นั้นเกิดขึ้น จะสบายอย่างที่เราก็ไม่ทราบว่าจะไปเทียบกับอะไร
เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรจะสบายเท่า ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแบบชาวโลก ในสิ่งที่เราอยากได้
อยากมี อยากเป็นแล้ว เราก็ได้แล้ว เราก็มีแล้ว เราก็เป็นแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้ใจเราอิ่มหรือพองโตขนาดนี้
แหล่งกำเนิดของแสงสว่างภายใน
ใจเราจะใสจะบริสุทธิ์
ดึงดูดให้ใจนิ่งแน่นหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงในระดับที่เราเห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างภายในนั้น
บ้างก็เป็นจุดเล็กๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ บ้างก็เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ บ้างก็โตขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
บ้างก็ใหญ่กว่านั้น บ้างก็เท่ากับฟองไข่แดงของไก่
พอถึงแหล่งกำเนิดของแสงที่โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่
เราจะนึกอะไรในโลกไม่ออกเลย ที่จะไปเทียบกับขนาดของแหล่งกำเนิดแสงสว่างภายในดังกล่าวนั้น
นอกจากฟองไข่แดงของไก่ ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็แล้วแต่ เมื่อใจหยุดนิ่งเข้าถึงในระดับที่เห็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างภายในโตขนาดนี้
จะใช้คำนี้ทั้งสิ้น
นี่คือความมหัศจรรย์ของใจที่เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ
คน โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ใสๆ ความใสตรงนี้จะชัดเจนกว่าเมื่อกี้นี้ เมื่อกี้นี้เราเข้าเขตอาณาจักรแห่งความใสของใจ
แต่พอเราเห็นดวงใสๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เราจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า ใส จะเป็นดวงใสๆ บ้างก็เรียกว่า ดวงแก้วเพราะว่าไม่รู้จัก
แต่ก็ยอมรับว่า ไม่อาจจะเรียกว่าดวงแก้วได้ เพราะดวงแก้วเราก็เคยเห็น เห็นแล้วก็ธรรมดาๆ
กลมเหมือนกันก็จริง แต่นี่ใสกว่า สว่างกว่า สำคัญที่อารมณ์สุขเวทนาที่เกิดขึ้น ใจเป็นสุข
สุขอย่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูกทีเดียว
แล้วดูเหมือนดวงนั้นมีชีวิต
คือ ขยายได้และบาง ฟ่องเบาบาง แล้วชวนดูด้วย ชวนหยุดใจมาอยู่ตรงนี้ ยิ่งเรานิ่งนุ่มหนักเข้าไปอีก ดวงนั้นจะขยาย แต่ดวงแก้วภายนอกเรามองเท่าไรก็โตเท่าเดิม
ความรู้สึกว่า
ดวงข้างในกับดวงแก้วข้างนอกนั้นมันกลมไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ดวงแก้วข้างนอกเราก็เจียระไนกลมดิกเลย
แต่พอถึงดวงสว่างภายในที่เป็นต้นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างแห่งความบริสุทธิ์ภายในนั้น
เราจะมีความรู้สึกว่า ตรงนี้กลมกว่า ดวงแก้วข้างนอกดูเหมือนยังไม่ค่อยกลม เป็นความรู้สึกที่แตกต่างแล้วก็น่าทึ่งน่าอัศจรรย์ทีเดียว
อุเบกขาที่มีความสุข
เราจะมีปีติ
ใจจะสงบนิ่ง เราจะรู้จักคำว่า อุเบกขา ว่าเป็นอย่างไร
คือใจจะเป็นกลางๆ แต่มีความสุขด้วย อุเบกขาที่มีความสุข
อุเบกขาบางชนิดนี่มันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่พอนิ่งถึงตรงนี้แล้วละก็เป็นดวงใสๆ ใจนิ่งเป็นกลางๆ แล้วบริสุทธิ์ มีความสุขมาก
กลางดวงธรรมนั้นจะเชิญชวนให้เราเข้าไปสู่ภายใน
จะดึงดูดเข้าไปเพื่อจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่ได้รู้เรื่องมาก่อนเลย เป็นความรู้คู่กับความบริสุทธิ์
ความรู้คู่ความสุขก็เกิดขึ้น เราจะมีหลักของใจ ใจจะมีที่ยึดที่เกาะ ไม่ว้าเหว่ ไม่เหงา
ไม่ซัดส่ายไปที่อื่นเลย
แล้วจะชวนให้เราสมัครใจนั่งสมาธิทุกวัน
ไม่ฝืน ไม่พยายามนั่ง เหมือนความรู้สึกเก่าๆ ที่ผ่านมาว่า เราต้องฝืน เราต้องพยายามที่จะนั่งทำความเพียร
แต่นี่ฉันทะเกิดขึ้นเอง คือรักที่จะหยุดใจไว้ตรงนี้
มีฉันทะ
วิริยะก็ตามมา ความเพียรจะต่อเนื่อง โดยไม่คิดว่าอะไรเป็นอุปสรรค ใจจะจดจ่อทั้งวันทั้งคืนเลย
นั่ง นอน ยืน เดิน จะกิน ดื่ม ทำ พูด คิด หยุดนิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขน
คู้แขนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ อยากจะอยู่ตรงนี้ อยู่ที่เดียวเลย ใจก็จะตรวจตราอยู่ที่ตรงนี้
จะหยุดจะนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวเราก็เห็นไปตามลำดับ
อานิสงส์ใหญ่จากใจที่หยุดนิ่ง
อานิสงส์ใหญ่ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
คือความรู้สึกว่า เราได้ถอดออกจากวิบากกรรมทีละเล็กทีละน้อย รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของใจที่หลุดพ้นจากชีวิตที่ผิดพลาด
ใจจะเกลี้ยงๆ รู้สึกสะอาด มหากรุณาก็จะเกิดขึ้นตอนนี้ด้วย อยากให้ทุกคนในโลกได้เห็นเหมือนเรา
เข้าถึงเหมือนเรา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเราเป็นเบื้องต้น
ความรู้สึกเหล่านี้ค่อยๆ บังเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน
เพราะฉะนั้น
ลูกทุกคนต้องหมั่นฝึกฝนอบรมใจนะจ๊ะ ฝึกไปเรื่อยๆ และสักวันหนึ่งเราจะได้ครอบครองความรู้สึกชนิดนี้
ใจเราจะเบิกบาน จะแช่มชื่น นอนเป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นั่งเป็นสุข ทุกอิริยาบถจะเป็นสุข
ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นทุกข์เพียงใด ใจก็มีหลักของใจ
จะยึดตรงนี้ แล้วจะมีดวงปัญญา คือ ความรู้ที่พอเหมาะกับปัญหาที่เราจะแก้จะเกิดขึ้นมาเอง
เวลาหลับก็จะหลับอยู่ตรงนี้
อยู่ในกลางความสว่าง แตกต่างจากเคยหลับในความมืด
เคลิ้มๆ มึน ซึม ตึง เมา ไม่รู้เรื่องรู้ราว หลับแบบขาดสติ ตรงนี้หลับแบบมีสติ หลับที่มันอิ่ม
เราจะเห็นว่า กายหยาบเท่านั้นที่พักผ่อน แต่กายละเอียดภายในยังคงทำสมาธิ เราจะเห็นความแตกต่าง
และดูเหมือนว่าเราก็หลับปกติ แต่เหมือนประเดี๋ยวเดียว หลับอยู่ในกลางความสว่าง ตื่นออกมา
ก็ตื่นอยู่กลางความสว่าง แล้วดึงเอาความสุขภายในออกมาขยายสู่ภายนอกด้วย ค่อยๆ ขยายออกไป
ความสุขที่ติดออกมาจากการตื่นในกลางดวงธรรมใสๆ
กลางความสว่างภายใน แล้วชีวิตในวันใหม่ของเราก็จะสดใส ตั้งแต่อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
รับประทานอาหาร กระทั่งไปทำมาหากิน ไปเรียนหนังสือหนังหา ทุกหนทุกแห่งเราจะเป็นแสงสว่างให้กับทุกสถานที่อย่างมีความสุขบันเทิงใจ
เพราะฉะนั้น
ต้องหมั่นฝึกนะลูกนะ หมั่นฝึกฝนอบรมใจ แล้วลูกจะเป็นบุคคลที่ใครๆ
ก็อยากจะเป็นแบบลูก เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกาลเวลาที่ผ่านมาว่า ทำไมเราไม่รวยอย่างเขา
ไม่มีอะไรทุกอย่างสมบูรณ์อย่างเขา เรามันต่ำต้อย มานะทิฐิเหล่านั้นจะหมดไป หรืออย่างน้อยก็ระงับไป
ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นเลย
ใจจะหยุดอยู่ตรงนี้
สว่าง จิตดำเนินเข้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงองค์พระภายใน เราจะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ที่มีพระในตัว
เห็นตลอดเวลา ชัด ใส แจ่ม ทีเดียว เป็นปุถุชนที่มีพระภายใน เป็นคฤหัสถ์ที่มีพระภายใน
ที่ยังวนอยู่ในโลกนี้ แบบผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่ควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ตกเป็นธาตุของสิ่งแวดล้อม
ใจเราจะสบาย เพราะฉะนั้นต้องขยันนะจ๊ะ
เวลาที่เหลืออยู่นี้
เราก็หยุดใจนิ่งไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ วางเบาๆ ตามที่ได้แนะนำมานะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565