ศูนย์กลางกายช่องทางพระนิพพาน
วันอาทิตย์ที่  ๑๑  มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คน 
 
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ 
 
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา 
 
ปรับใจ
ทำใจของเรา
ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
 
และก็มาสมมติว่า
ภายในร่างกายของเราปราศจากอวัยวะ  สมมติว่า
ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ
กลวงภายในคล้ายลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป หรือคล้ายๆ กับท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ สมมติให้ร่างกายเราเป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ  
 
วางใจ
เราก็มารวมใจของเรา
ใจที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ เช่น เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง
เรื่องครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ใจที่คิดแวบไปแวบมา
ในเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น เรานำมารวมหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
 
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสอง ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  เป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน  
 
เส้นทางสายกลาง
 
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย  เริ่มต้นหยุดใจของท่านอยู่ที่ตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗
แล้วหยุดไปเรื่อยๆ  จะเห็นช่องทางไปสู่อายตนนิพพาน
 ช่องทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลายที่เรียกว่า
วิสุทธิมรรค เป็นเส้นทางของพระอริยเจ้า
เรียกว่า อริยมรรค เป็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
หรือที่เรียกว่า วิมุตติมรรค เมื่อใจท่านหยุดนิ่งอย่างนี้เรื่อยไป
ก็จะเห็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของท่าน เช่นเดียวกับที่มีอยู่ในตัวของทุกๆ คน 
 
เห็นกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม  เห็นกายภายในซ้อนอยู่ในกายภายนอก
เช่น กายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์หยาบ แล้วก็เห็นกายภายในซ้อนอยู่ในกลางกายภายใน
เช่น 
 
เห็นกายทิพย์
ซ้อนอยู่ในกลาง กายมนุษย์ละเอียด 
กายรูปพรหม
ซ้อนอยู่ในกลาง กายทิพย์ 
กายอรูปพรหม
ซ้อนอยู่ในกลาง กายรูปพรหม 
กายธรรมโคตรภู
ซ้อนอยู่ในกลาง กายอรูปพรหม 
กายธรรมพระโสดาบัน
ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมโคตรภู 
กายธรรมพระสกิทาคามี
ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระโสดาบัน 
กายธรรมพระอนาคามี
ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระสกิทาคามี 
กายธรรมพระอรหัต
ซ้อนอยู่ในกลาง กายธรรมพระอนาคามี 
 
ซ้อนกันเป็นชั้น
ๆ อย่างนี้เข้าไปตามลำดับ และท่านก็หยุดไปเห็นไปๆ เห็นแจ้งไปเรื่อยๆ ก็รู้แจ้งไปตามลำดับ
จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย
 
อย่ากังวลกับฐานที่
๗
 
เราจะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งๆ
 อยู่ตรงนี้  คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองดังกล่าว
ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือในแง่การปฏิบัติจริงๆ แล้วก็ประมาณเอาว่าอยู่ในกลางท้อง บริเวณแถวๆ
นั้น แม้ว่าความจริงมันอาจจะไม่ตรงเปะเลย ก็อย่ากังวลเกินไป อย่าไปมัวควานหาศูนย์กลางกายฐานที่
๗  ให้ประมาณเอาว่า อยู่ในกลางท้อง  เพราะว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  จะเห็นได้ต่อเมื่อใจหยุดนิ่งได้สนิท สมบูรณ์แล้ว
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อใจเรายังไม่หยุดนิ่งดี  ก็ใช้ประมาณเอาว่า อยู่ในกลางท้อง 
 
พร้อมกับกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา  จะได้ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
ที่มันไม่เกิดประโยชน์  เราคิดมาตั้งแต่เราเกิดเรื่อยมา
 เราก็พบว่ามันไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดที่แท้จริง
ที่สมบูรณ์ แค่เพลินๆ กันไปวันๆ  ผ่านกันไปวันๆ หนึ่ง  เพราะฉะนั้นเราก็มาหยุดใจอยู่ที่ตรงนี้ 
 
บริกรรมนิมิต
 
กำหนดบริกรรมนิมิต คือ
สร้างภาพขึ้นมาทางใจ เพื่อให้ใจมีที่ยึดที่เกาะ ให้กำหนดเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์
ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีตำหนิเลย โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือขนาดไหนก็ได้ที่ใจเราชอบ
 
ถ้าเราไม่เคยสังเกตว่า
แก้วตาเราโตขนาดไหน หรือนึก ง่ายๆ ว่า มีเพชรสักเม็ดหนึ่ง ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย โตขนาดไหนก็ได้ ใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่ต้องแสง
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ สว่างอยู่กลางกายของเรา
กลางท้องของเรา บริเวณ ฐานที่ ๗ ดังกล่าวนั้น 
 
ให้นึกไปอย่างเบาๆ สบายๆ
 นึกเห็นเท่าที่เราจะนึกได้อย่างสบาย โดยไม่มีอาการตึง
เกร็ง ของระบบประสาทกล้ามเนื้อเลย แถมผ่อนคลายด้วย ให้นึกอย่างสบายๆ อย่างนั้น  แม้ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร นึกได้แค่ไหน
ก็เอาแค่นั้นไปก่อน เพื่อที่จะประคองใจให้หยุดให้นิ่งๆ อยู่บริเวณฐานที่ ๗ ตรงนี้ 
 
ให้นึกเบาๆ สบายๆ ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่นว่า วันนี้เรากำลังจะเดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย
ที่ท่านเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน แดนเอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียว ด้วยวิธีการอย่างนี้ เรากำลังทำตามท่าน
ให้เรามีความปลื้มปีติยินดีกันอย่างนี้นะจ๊ะ 
 
เดินตามรอยเท้าใครที่ยังไม่หมดกิเลส  เขาเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น คือยังมีกิเลสเหมือนเขาอย่างนั้น
แต่ถ้าเดินตามรอยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านหมดกิเลสเราก็จะหมดตาม ท่านมีสุขอย่างเดียวเราก็จะสุขตาม
ดับทุกข์ได้ 
 
บริกรรมภาวนา
เราประคองบริกรรมนิมิตไว้ในกลางท้อง
ถ้าใจแวบไปคิดเรื่องอื่น เราก็ประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ประคองใจไปอย่างสบายๆ 
 
จะภาวนาไปกี่ครั้งก็ได้
จนรู้สึกว่า เราไม่อยากจะภาวนาต่อ อยากจะหยุดใจนิ่งเฉยๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ก็ไม่ต้องหวนกลับมาภาวนาใหม่
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น จึงย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังต่อไป  ประคองใจกันไปอย่างนี้นะลูกนะ 
 
วันพระใหญ่
 
วันนี้วันดี เป็นวันที่สำคัญ
ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพระใหญ่ พระจันทร์เต็มดวง ราตรีนี้จะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ เป็นวันแห่งความสำเร็จ  พระนิพพานจะสอดละเอียดส่งผังสำเร็จในการบรรลุมรรคผลนิพพานให้มาบังเกิดขึ้นแก่มนุษย์ผู้มีบุญ
 
เช้านี้ อากาศกำลังสดชื่น
เบิกบาน วันพระใหญ่ เป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เราอย่าให้วันนี้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงเช้า สว่างด้วยแสงตะวัน  กลางคืนสว่างด้วยแสงจันทร์ ภายในเราก็จะต้องสว่างด้วยแสงธรรม
ด้วยดวงธรรมภายในที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง 
 
ให้ลูกทุกคนประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
จึงจะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สร้างบารมี ได้มาแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
สิ่งอื่นไม่ใช่ ก็จะเป็นทางมาแห่งบุญใหญ่แก่ลูกทุกๆ คน 
 
เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คน  ต่างคน ต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565