ต้องเข้าถึงปฐมมรรค
วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก
คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
ให้ตัดใจในทุกสิ่ง จะเป็นเรื่องคน
สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง เรื่องครอบครัว เรื่องการศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ตัดใจปล่อยวาง ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยมีเครื่องพันธนาการของชีวิตมาก่อนเลย
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส
แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้น
ปราศจากอวัยวะ สมมติว่าไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง
เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายลูกโป่ง หรือคล้ายๆ กับท่อแก้ว ท่อเพชร ใสๆ
วางใจ
แล้วก็รวมใจของเรา ที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ
มาหยุดนิ่งๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา
๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเราต้องทำความรู้จักเอาไว้
ฐานที่ ๗ ต้นทางพระนิพพาน
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของตัวเราและชาวโลก เกิด ดับ หลับ ตื่น
ตรงนี้ เกิดตรงนี้ ตายตรงนี้ หลับตรงนี้ ตื่นตรงนี้ และที่สำคัญ เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
เป็นทางที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายทุกๆ พระองค์ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ที่ผ่านมาในอดีตมากมายนับไม่ถ้วน
องค์ปัจจุบันก็ดี แล้วที่จะมีต่อไปในอนาคต ท่านเริ่มต้นหยุดใจอยู่ที่ฐานที่ ๗ เพราะท่านปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในสังขารทั้งหลายทั้งปวงได้ว่า
สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครอง
ล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายไป ทุกสิ่งไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น ไม่เป็นสาระแก่นสารของชีวิต
จะต้องคลายความผูกพัน
คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์
ไม่ใช่เป็นเหตุให้ดับทุกข์ได้ ไปยึดมั่นถือมั่นก็ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะเกิดวิบากกันเสียอีก
ถ้าพลาดพลั้งไปเหมือนภพในอดีตที่ผ่านๆ มา ก็เป็นเรื่องเก่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ ที่ทำให้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
เกิดในสังสารวัฏ เกิดบ่อยๆ
ก็ทุกข์บ่อยๆ ทุกข์จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น จากการพลัดพรากจากของที่รักบ้าง
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นบ้าง หรือเจอในสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ้าง เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านก็จะปลด
ปล่อย วาง และก็เอาใจมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของใจที่ถูกต้อง
ถ้าใจมาหยุดอยู่ตรงนี้แล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข
และเมื่อถูกส่วนแล้วก็จะเข้าถึงดวงธรรมภายใน เป็นดวงใสๆ เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่แต่ละคนไม่เท่ากัน
เมื่อใจหยุดถูกส่วน ดวงธรรมก็ปรากฏ
เมื่อใจหยุดได้ถูกส่วน
ธรรมดวงนี้ก็ปรากฏเกิดขึ้น เป็นธรรมดวงแรก พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี
(สด จันทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า
ดวงปฐมมรรค คือ จุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตามเห็นดวงธรรมเหล่านี้
ให้เห็นธรรมในธรรมเข้าไป เมื่อเห็นธรรมในธรรมเข้าไป ไม่ช้าก็จะเห็นกายในกายไปตามลำดับ
แล้วก็เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต อยู่ในกลางกายเรานั้น กาย เวทนา จิต ธรรม
มีจุดเริ่มต้นที่ธรรมดวงแรกนี่แหละ ดวงใสๆ
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัว
จะปฏิบัติด้วยวิธีการใดก็ตาม
วัตถุประสงค์ก็ต้องการให้หยุดนิ่ง และก็ให้เข้าถึงธรรมดวงนี้ ดวงใสๆ ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ใส เย็น เหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มาพร้อมกับความสุขและความบริสุทธิ์
ธรรมดวงนี้สำคัญมาก มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกๆ คน
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า
มรรคผลนิพพานมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ไม่พ้นสมัยในการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
พอเกิดมามันก็มีติดมาอยู่ในตัวนี้ มีอยู่ในมนุษย์ทุกเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์
ต่างแต่ว่าจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น
แต่ส่วนใหญ่มักไม่เฉลียวใจว่า
มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว เพราะฉะนั้นจึงดับทุกข์ไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ ชีวิตจึงระทมทุกข์ทรมาน
เพราะไม่รู้ว่าในตัวมีธรรมดวงนี้ ซึ่งเป็นต้นทางที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้
ปฏิบัติแบบไหนก็ตาม
ต้องการให้ใจหยุดนิ่ง หนทางแห่งการปฏิบัติที่มีในวิสุทธิมรรค รวมได้ ๔๐ วิธี แต่จริงๆ
แล้วมันมีมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นทุกวิธีต้องการให้ใจหยุดนิ่งเป็นเอกัคคตา ถ้าหยุดได้ถูกส่วนและถูกที่
คือถูกที่ตั้งของใจที่แท้จริงแล้ว ก็จะเข้าถึงปฐมมรรคดังกล่าว
เข้าถึงกายในกาย
หลังจากนั้นใจก็จะหยุดนิ่งต่อไปเรื่อยๆ
เพราะหยุดตรงนี้มันมีความสุข ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน พอยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง ก็ยิ่งเห็นสิ่งที่มีอยู่ในตัว
ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายขึ้นมาเอง เห็นกายในกาย เห็นธรรมในธรรม เห็นจิตในจิต เห็นเวทนาในเวทนา
กายในกายตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กระทั่งกายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี
กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต ทุกกายมีซ้อนๆ กันอยู่ภายใน กายใหญ่ซ้อนอยู่ในกายที่เล็กกว่า
ซ้อนได้เพราะละเอียดกว่า บริสุทธิ์กว่า ตามเห็นอย่างนี้เป็นชั้นๆ ขึ้นไป
ตามเห็น คือ ดูไปเรื่อยๆ
ดูไปเฉยๆ อย่างสบายๆ เดี๋ยวก็จะเห็นขึ้นมาเอง เห็นไปตามลำดับ เป็นการเห็นที่วิเศษแจ่มแจ้งชัดเจน
แตกต่างจากที่เราเคยเห็น ภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิปัสสนา
วิ
แปลว่า วิเศษ แปลว่า แจ้ง แปลว่า ต่าง
ปัสนา
แปลว่า การเห็น
วิปัสสนา
คือ การเห็นที่วิเศษแจ่มแจ้ง แตกต่างที่การเห็นซึ่งเกิดขึ้นจากใจที่หยุดนิ่ง
ไม่หยุดไม่เห็น เพราะความสว่างไม่เกิด
ความบริสุทธิ์ของดวงจิตก็ไม่เกิด เมื่อความบริสุทธิ์ไม่เกิด ความสว่างไม่เกิด ธรรมจักขุก็ไม่เกิด
การเห็นก็ไม่เกิด เมื่อไม่เห็นแจ้งก็ไม่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้น หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จ
ในจุดเบื้องต้นนี้ เราจะต้องดึงใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายเราที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้เสียก่อน
แล้วหลังจากนั้น เราก็จะเห็นไปเองไปตามลำดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ทำอย่างนี้
เราเป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็จะต้องทำตามพระบรมศาสดา ในการฝึกใจให้หยุดนิ่ง
วันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งในชีวิต
ที่เราจะมาฝึกจิตให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน ซึ่งเป็นงานที่แท้จริงของเรา เป็นกรณียกิจ งานแท้จริงที่เราเกิดกันมาแต่ละภพแต่ละชาติ
ส่วนงานอื่นเป็นแค่เครื่องอาศัยให้เราได้มีปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงสังขารเท่านั้น แต่มีชีวิตอยู่เพื่องานที่แท้จริง
คืองานหยุดนิ่งเพื่อการดับทุกข์ หลุดพ้น ได้เข้าถึงดวงธรรมต่างๆ กระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
เพราะฉะนั้นช่วงนี้ให้ลูกทุกคนฝึกใจให้หยุดนิ่งๆ
บริกรรมนิมิต
โดยการกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
เป็นเครื่องหมายที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
โตเท่ากับแก้วตาของเรา หรือขนาดไหนก็ได้ที่ใจเราชอบ จำง่ายๆ ว่านึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่งที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
ใสๆ อยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ในกลางท้องของเรา บริเวณแถวๆ นั้น
แถวที่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ กลางท้อง
ให้นึกถึงเพชรเม็ดนี้อย่างสบายๆ
คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย เหมือนเรานึกถึงภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ มหาธรรมกายเจดีย์
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอย่างนั้น เป็นต้น นึกถึงเพชรเม็ดนี้ คล้ายๆ
กับนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ซึ่งบางคนก็ชัดมาก บางคนก็ชัดปานกลาง บางคนก็ชัดน้อย เหมือนกับเรานึกถึงสิ่งของที่เราคุ้นเคย
คุ้นเคยมากก็ชัดมาก คุ้นเคยปานกลางก็ชัดปานกลาง คุ้นเคยน้อยก็ชัดน้อย ภาพทางใจเบื้องต้นมันจะเป็นอย่างนี้
วัตถุประสงค์ของการบริกรรมนิมิต
โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้บริกรรมนิมิตนี้
หรือเพชรเม็ดนี้ เป็นที่ยึดที่เกาะของใจ เพื่อไม่ให้ใจไปคิดเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจการงานบ้านช่อง เป็นต้น เพราะคิดสิ่งเหล่านั้นแล้วกายมันไม่เบา ใจไม่เบา
ไม่ปลอดโปร่ง โล่ง เบา สบาย แต่ถ้าคิดอย่างนี้และอยู่ตรงนี้ ตรงกลางกายอย่างสบายๆ มีสติ
สบาย ให้สม่ำเสมอต่อเนื่อง เดี๋ยวตัวมันก็จะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ขยาย แล้วความสุขก็จะพรั่งพรูออกมาเมื่อใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน
เพราะฉะนั้นให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจกลางท้องของเรานะจ๊ะ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ
จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งไว้เฉยๆ ที่กลางกาย เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่
ให้รักษาใจให้หยุดให้นิ่งอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
อย่างสบายๆ มีอะไรให้ดูเราก็ดูไป ดูไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
ให้ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น และลูกทุกคนก็จะสมหวังดังใจ ได้เข้าถึงความสุขที่ยิ่งใหญ่และพระรัตนตรัยในตัวของเรา
เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565