สิ่งที่ควรระลึกนึกถึง
วันอาทิตย์ที่  ๒๘  พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๔๙ (๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
 
เมื่อเราสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
 
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ 
 
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
 
ปรับใจ
 
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจของเราให้ว่างๆ
 
สมมติว่า
ภายในร่างกายของเราปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพรง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ กลวงภายใน คล้ายลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป หรือคล้ายท่อแก้ว
ท่อเพชรใสๆ
 
วางใจ
 
รวมใจของเรา
กลับมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ 
 
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
 
ความสำคัญของศูนย์กลางกายฐานที่
๗
เราจะต้องทำความรู้จักศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เอาไว้ เพราะเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น
และเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านเริ่มต้นหยุดใจนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ พอถูกส่วนท่านก็เห็นไปตามลำดับ ตั้งแต่เห็นแสงสว่าง
เห็นดวงธรรมภายใน เห็นกายในกาย กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต แล้วก็ไปสู่อายตนนิพพานได้
 
เพราะฉะนั้น
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกทุกคนจะต้องทำความรู้จักเอาไว้ และต้องเอาใจกลับมาหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
นี้ให้ได้ทุกๆ วัน จะได้พบกับสิ่งที่ลูกทุกคนปรารถนา คือ ความสุขที่แท้จริง
ซึ่งไม่มีที่อื่นใดเลยนอกจากใจหยุดใจนิ่ง และต้องที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ด้วย หยุดตรงนี้
จะทำให้เข้าถึงความสุขแท้ที่แท้จริง และจะเข้าถึงความจริงของชีวิต ทำให้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง
ปิดอบายไปสวรรค์ จะเข้าถึงรัตนะภายใน คือ พุทธรัตนะ
ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
 
รัตนะภายใน..สิ่งที่ควรระลึกถึง
พุทธรัตนะ คือ พระธรรมกายในตัว เกตุดอกบัวตูม ใสเกินใส
ใสกว่าเพชร นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนา หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา ท่านมีธรรมจักขุ
มีญาณทัสสนะ ทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
 
ธรรมรัตนะ อยู่ในกลางท่าน เป็นดวงใสๆ เป็นคลังแห่งความรู้ที่ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง
 
ในกลางธรรมรัตนะจะมี
สังฆรัตนะ คือ ธรรมกายละเอียด รักษาธรรมรัตนะนั้นอยู่
เหมือนพระสงฆ์ทรงจำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้
 
หยุดใจได้ จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างนี้ และจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา
คือ เวลาเรามีทุกข์ เราจะพึ่งท่านได้ ทุกข์จะดับไปเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
 
รัตนะทั้งสามนี้ เป็นสิ่งที่ควรระลึกนึกถึง ให้นึกบ่อยๆ  สิ่งอื่นไม่ควรจะเป็นสิ่งที่น่าระลึกหรือนึกเอาไว้ในใจ
 เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใด  เพราะว่าสิ่งอื่นเหล่านั้นทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่รัตนะทั้งสามนี้เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นอมตะ
เป็นแหล่งแห่งความสุข แห่งดวงปัญญา เป็นอิสระจากกิเลสอาสวะ เป็นตัวของตัวเองได้ สิ่งนั้นจึงควรเป็นสิ่งที่ระลึก
เป็นที่พึ่งที่แท้จริง
 
เพราะฉะนั้น
เรามาเริ่มต้นหยุดใจกัน หยุดเท่านั้นจึงจะเข้าถึงท่านได้
ถ้าใจไม่หยุด ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่อยู่กับร่องกับรอยตรงนี้ เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวไม่ได้
 
หมั่นฝึกหยุดฝึกนิ่งที่ศูนย์กลางกาย
ใจเราเตลิดเปิดเปิงมายาวนาน
ไปในเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ หรือพูดง่ายๆ ก็ในเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ธุรกิจการงานบ้านช่อง เป็นต้น เตลิดเปิดเปิงไปตรงนั้น ให้ความสำคัญกับตรงนั้น
แล้วไปวนๆ เวียนๆ อยู่ตรงนั้น 
 
ทั้งที่สิ่งนั้นนำความทุกข์กายทุกข์ใจมาให้
แต่ก็ไม่ลดละเลิก ไม่หักดิบ เพราะไม่เข้าใจว่า ตนกำลังแสวงหาอะไรอยู่ ดังนั้นใจจึงเตลิดเปิดเปิงออกจากที่ตั้งดั้งเดิม
จากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
 
เราไม่มีเวลาเหลือต่อไปอีกแล้ว
เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย ชีวิตในยุคนี้อายุขัยเฉลี่ย ๗๕ ปี สั้นนัก น้อยนัก และไม่มีนิมิตหมาย
เหมือนเพื่อนนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาหลายๆ ท่านก็ละจากโลกนี้ไป ทั้งที่ยังไม่อยากจะไป
อยากจะสร้างบารมีให้เต็มที่ แต่ไม่อาจรักษาลมหายใจเอาไว้ได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายและชีวิตในโลกมนุษย์สั้นนัก
นี่เป็นความจริงแท้
 
ลูกทุกคนจะต้องฝึกหยุดฝึกนิ่งเอาไว้ที่ศูนย์กลางกาย เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย
เราจะได้อบอุ่นใจ ปลอดภัย และพร้อมเสมอที่จะเดินทางจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะเหมือนบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน
 
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
 
ตอนนี้เรามาหยุดใจกัน
เอาใจมารวมไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ เป็นดวงใสๆ เหมือนดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาวในอากาศ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใส บริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจของเราชอบ ไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกให้ได้ตลอดเวลาอย่างสบายๆ
 
พร้อมกับผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย
ประคองใจของเราไม่ให้แวบไปคิดเรื่องอื่น ด้วยบริกรรมภาวนาในใจว่า สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาเรื่อยไป
กี่ครั้งก็ได้จนกว่าใจจะหยุดจะนิ่ง 
 
เมื่อใจหยุดใจนิ่งจะทิ้งคำภาวนาไปเอง
เหมือนเราลืมภาวนาไปแต่ใจไม่ฟุ้ง หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายฐานที่ ๗ กลางดวงใสๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่
แต่ถ้าใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น จึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ ให้ประคองใจกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ
อย่างสบายๆ
 
เช้านี้
อากาศกำลังสดชื่นเหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกๆ คน จะได้ทำความเพียรฝึกใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจ
เป็นงานที่แท้จริงสำหรับชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละชาติ  ที่แสวงหาพระรัตนตรัย สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ และศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
 
ต่อจากนี้ไป
ฝึกหยุดฝึกนิ่งกันไปเรื่อยๆ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565