คลายความผูกพัน
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๐(๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน
เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มีวิญญาณครอง หรือไม่มีวิญญาณครอง
คลายความผูกพัน
ทุกสรรพสิ่งล้วนไปสู่จุดสลาย
ให้ปลด ให้ปล่อย
ให้วาง ให้คลายความผูกพัน โดยนึกถึงความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
ที่จะต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมสลายไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ต้นหมากรากไม้
ภูเขาเลากา โลกใบนี้ก็เสื่อมลงไปทุกวัน สักวันก็จะต้องสลายไปด้วยกัปวินาศ เกิดไฟบรรลัยกัลป์
น้ำบรรลัยกัลป์ ลมบรรลัยกัลป์ เป็นต้น พินาศไปหมด พังไปหมด
ถ้าพูดถึงคน
ตั้งแต่ผู้ใกล้ชิดเรา บรรพบุรุษ บุพการี หมู่ญาติของเรา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสลายหายไป
สังขารก็ต้องผุ ต้องพังกันไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ
บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ และสั่งสอนมนุษย์และเทวา
ยังต้องดับขันธ์ปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดับขันธ์ปรินิพพาน
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะเหินเดินอากาศได้ทรงอภิญญาก็ยังต้องดับขันธ์ปรินิพพานไปกันหมดทั้งสิ้น
มหาปูนียาจารย์ของเรา
ผู้มุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม รู้เรื่องราวของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย มีรู้ มีญาณทัสสนะอันแจ่มแจ้ง
มีมโนปณิธานที่ยิ่งใหญ่ มุ่งที่จะไปปราบมารประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ
ยังถูกพญามารจับถอดกายได้ คุณยายอาจารย์ของเราก็เช่นเดียวกัน ก็ยังถูกถอดกายสังขาร
ก็มีวันเสื่อมลงไป แล้วก็จะต้องพลัดพรากจากกันไป
นับประสาอะไรกับตัวของเรา
ยังมีคุณธรรมและคุณวิเศษไม่เทียบเท่ากับท่าน ทำไมจะไม่ผุพัง ก็จะต้องเสื่อมสลายหายกันไปสักวันหนึ่ง
คนเป็นอย่างไร สิ่งของ เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย รถรา ทรัพย์สมบัติ อำนาจ วาสนา พวกพ้อง
บริวาร ก็ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเราก็จะพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป
นี่คือความจริงแท้ของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
ให้คลายความผูกพัน
อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น จนเกินไปว่า เป็นตัวเรา เป็นของๆ เรา ทั้งหมดนี้แค่เป็นเครื่องอาศัยให้เราได้มาสร้างบารมี
มาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมีเท่านั้น
คิดได้อย่างนี้
ใจเราก็จะได้คลายความผูกพัน แล้วก็ควรคิดกันทุกๆ วัน วันละหลายๆ หน เราจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย แล้วก็ทำมาสร้างบารมี จะทำให้เรามีกำลังใจในการทำทาน รักษาศีล
และเจริญภาวนา ทำศีล สมาธิ ปัญญาให้เกิดขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ยิ่งขึ้นไป
เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เป็นต้น
เราใช้เวลาสัก
๑ หรือ ๒ นาที พินิจพิจารณาเรื่องราวความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งอย่างนี้
แล้วเราก็จะได้คลายความผูกพันเป็นอัตโนมัติ ก็จะทำให้ใจของเราตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้เร็วขึ้น
ใจจะย้อนกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว หลังจากที่ห่างเหินเมินหมาง จากศูนย์กลางกายฐานที่
๗ กันไปนานแล้ว ไปติดในสิ่งเหล่านั้น ในคน สัตว์ สิ่งของ หรือในรูป เสียง กลิ่นรส
สัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น
ซึ่งสิ่งเหล่านั้น
ไม่ให้ความเต็มเปี่ยมของชีวิต ไม่ได้ให้ความสุขที่สมบูรณ์ที่แท้จริง ที่เราแสวงหาอยู่
ไม่ได้ให้ความพึงพอใจอันสูงสุดของชีวิต เพราะฉะนั้นต้องหมั่นคิดอย่างนี้บ่อยๆ ใจจะรวมได้ง่าย
เพราะว่าไม่ผูกพันกับสิ่งใดจนเกินไป ผูกพันแค่เป็นเครื่องอาศัยกันชั่วครั้ง
ชั่วคราวเท่านั้น
วางใจ
เมื่อเราทำใจได้อย่างนี้แล้ว
ใจของเราก็จะรวม นึกน้อมไว้ในกลางกายฐานที่ ๗ ก็ง่าย ฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดื้อขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ
ว่า อยู่ในบริเวณแถวกลางท้องของเรา เราจะนึกได้ง่าย โดยไม่ มีการลุ้น เร่ง เพ่ง
จ้อง คือ พอปล่อยวางแล้วจะกลับที่ตั้งดั้งเดิมของใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เอง ใจก็จะหยุดตรงนี้
นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
บริกรรมนิมิต
ถ้าเราเผื่อเหนียวไว้สักนิด
เราก็เอาใจผูกพันไว้กับสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัย คือจะนึกเป็นองค์พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์เอาไว้ในกลางท้องของเราก็ได้
ขนาดไหนก็ได้ ให้ท่านนั่งขัดสมาธิเจริญภาวนาหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
หรือบางคนถนัดนึกถึงดวงแก้ว ใสๆ เหมือนเพชรสักเม็ดหนึ่งที่ใสบริสุทธิ์กลมรอบตัว งามไม่มีที่ติอยู่ในกลางท้องของเราก็ได้
หรือบางคนคุ้นเคยกับการนึกถึงมหาปูชนียาจารย์
พระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย จะนึกน้อมท่านอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งนะลูกนะ จะนึกเป็นภาพก็ได้
หรือถ้าใจเราปล่อยวางได้
ไม่นึกถึงภาพก็ได้ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องของเรา
บริกรรมภาวนา
แล้วเราก็ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบาย ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สม่ำเสมอ ให้เสียงดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
คล้ายๆ กับเสียงที่ดังออกมาเองเป็นสำนึกลึกๆ ไม่ใช่เป็นการท่องแบบใช้กำลัง
ภาวนาในใจเบาๆ
ว่า สัมมาอะระหังๆ ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา เหมือนเป็นเสียงที่มาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์
แหล่งกำเนิดแห่งอานุภาพไม่มีประมาณ ที่ลึกๆ ไกลๆ จากในอายตนนิพพาน ดังมาจากกลางท้อง
ผ่านศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ประคองใจด้วยบริกรรมนิมิตบริกรรมภาวนา
เพื่อขจัดสิ่งที่เป็นมลทินของใจ
บาป อกุศลกรรมต่างๆ วิบากกรรม วิบากมาร ให้หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย เจือจางละลายหายสูญไป
คงเหลือแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของใจเราที่ใสๆ ปราศจากนิวรณ์ ความนึกคิดเกี่ยวกับเรื่องกามฉันทะ
ความขัดเคืองใจ ความผูกโกรธ ผูกพยาบาท ความสงสัยในเรื่องราวของพระรัตนตรัย ความฟุ้งไปในเรื่องต่างๆ
ความง่วง ความท้อ ความเคลิ้มอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น ให้หมดสิ้นไป
ความมืดในดวงใจของเราจะถูกขจัดหมดสิ้นไป เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงตะวันที่สาดแสงเงินแสงทองผุดขึ้นในยามอรุโณทัย
ยามเช้า ขจัดความมืดในอากาศให้หมดสิ้นไป ทำให้อากาศสว่าง มองเห็นสรรพสัตว์
สรรพสิ่งทั้งหลาย
นึกไปด้วยใจที่ใส
เยือกเย็นอย่างนี้ สติกับสบายและสม่ำเสมอก็จะเป็นไปเอง โดยอัตโนมัติ เราจะมีความสุข
แล้วก็สนุกต่อการเจริญสมาธิภาวนา โดยไม่มีความรู้สึกว่าต้องพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ
ต้องฝืนใจไม่ให้ฟุ้ง จะไม่เกิดความรู้สึกอย่างนี้ จะเต็มเปี่ยมด้วยความสมัครใจ
สุขใจ สบายใจ บุญบันเทิงเกิดขึ้น ในการเจริญสมาธิภาวนา
เพื่อแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว ให้ลูกทุกคนทำกันอย่างนี้
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น
ลมพัดเย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคน จะได้ประกอบความเพียร ทำงานที่แท้จริงของเรา
คือการแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว ก็ให้ทำให้อย่างถูกหลักวิชชา ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565