ชาวพุทธที่แท้จริง
วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๕๐ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
อย่านอนกันนะ นั่งหลับดีกว่า หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเราให้หมด
แล้วก็ทำใจของเรา ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิน อากาศ ฟ้า อากาศจะอบอ้าวแค่ไหนก็ช่างมัน เดี๋ยวเราไปหาความเย็นภายในตัว
แล้วก็ปล่อยวางหมดเลย ฝึกเอาไว้นะลูกนะ
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง เราต้องพร้อมเสมอ สำหรับในการเดินทางไกล ไปสู่เทวโลก ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในทุกดิน
อากาศ ฟ้า เพราะฉะนั้นอย่าให้อะไรมาเป็นอุปสรรคของการทำงานที่แท้จริงทางใจ เราก็ปลด
ปล่อย วาง ทำใจให้สบายๆ
นึกถึงบุญ
นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมา
ใจจะได้ชุ่มเย็น บุญที่เราทำมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แม้กาลเวลาจะผ่านไปแล้ว
เราลืมไปแล้ว แต่ใจเป็นธาตุสำเร็จ เราสามารถตรึกระลึกได้ เพราะความจริงบุญนั้นก็ยังอยู่ในตัวของเรา
เมื่อเรานึกถึงบุญที่เราทำผ่านมาในทุกบุญ ใจของเราจะไปจรดกับกระแสธารแห่งบุญนั้น
แล้วเราก็นึกเนื่องมาถึงวันนี้เลย ซึ่งเป็นบุญล่าสุดที่เราได้ทำไปแล้ว
ตอนเช้าเราได้มาสวดมนต์
ไหว้พระ เจริญภาวนา บูชาข้าวพระ ซึ่งเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก
ต้องมีการบังเกิดขึ้นของวิชชาธรรมกาย จึงจะน้อมนำไทยธรรมไปถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายของพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มีมากมายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ในอายตนนิพพาน เป็นบุญใหญ่ของเราที่เกิดขึ้นได้ยาก
ให้นึกถึงบุญนั้น รวมทั้งบุญที่ถวายภัตตาหาร เป็นสังฆทานแด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม
บำเพ็ญสมณธรรม ท่านจะได้เอากำลังที่ได้จากอาหารที่เราถวายนี้ ไปทำพระนิพพานให้แจ้ง
สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์
รวมทั้งบุญภาคบ่าย
ในรายการสู้ต่อไป ที่กัลยาณมิตรผู้มีบุญ ได้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ในการปฏิบัติภารกิจนิมนต์พระในถิ่นทุรกันดาร ที่เราได้ยินได้ฟัง จากกัลยาณมิตรละเอียด
นาคสิน กัลยาณมิตรกนกพร กู้เกียรติกาญจน์ กัลยาณมิตรสายฝน สุขมาก ที่เล่าเรื่องราวซึ่งเราไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อน
หรือนึกไม่ถึงเลยว่า จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น ในการที่จะไปอาราธนานิมนต์พุทธบุตรที่ปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง
ตามป่าเขา ห้วย หนอง คลอง บึง ต้องเสี่ยงภัย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน กับพุทธบุตรที่อยู่ในเมืองที่ไม่เข้าใจว่า
ถูกบิดเบือนจากสื่อสีคล้ำอะไรต่างๆ เหล่านั้น มีความเพียรมาก
สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังนี้ก็ทำให้เราเกิดความปลื้มปีติยินดี
แล้วก็ชื่นชมอนุโมทนาสาธุการกับกัลยาณมิตรทั้ง ๓ ท่าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรอีกจำนวนมาก
ที่มาเล่าให้พวกเราฟัง นี่ก็เป็นบุญล่าสุด
นึกรวมทุกบุญเป็นดวงบุญใสๆ
ในทุกๆ บุญที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ ให้มารวมเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงบุญใสๆ
ใสเหมือนกับเพชร ที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
ใสเย็นเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ให้ใจของเรามานึกอยู่ตรงนี้
จะได้ดับกระหายคลายร้อนได้ ใจมันจะชุ่มๆ เย็นๆ อยู่ภายใน อากาศจะอบอ้าวแค่ไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ถ้าเราเริ่มหยุดใจอยู่กับดวงบุญภายใน ที่เราได้ทำผ่านมา ให้ฝึกอย่างนี้ติดจนเป็นอุปนิสัยนะลูกนะ
แล้วการเจริญสมาธิภาวนาจะง่าย จะไม่ยากดังที่เราเข้าใจกัน ถ้าใจมันชุ่มชื่นเบิกบาน
สบาย ใจมันจะ ใสๆ ดวงบุญภายในก็ยังปรากฏขึ้นอย่างง่ายๆ
เริ่มต้นบางคนก็อาจจะชัดเจนไม่มากก็ไม่เป็นไร
แค่เพียงเราทำความรู้สึกว่า มีดวงบุญอยู่ภายในกลางท้อง กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว
แล้วจาก ณ จุดตรงนี้แหละ ใจก็จะค่อยๆ ดื่มด่ำลงไป หยุดนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จากที่เป็นเพียงความรู้สึกว่ามี
มันก็จะค่อยๆ กลายเป็นว่า มีจริงๆ แล้วจะค่อยๆ ชัดขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนของที่มีแล้วแต่อยู่ในที่มืด
เมื่อค่อยๆ เลื่อนออกมาสู่ในที่สลัว แม้เรายังอยู่ที่ไกลก็พอมองเห็นได้ แต่ยิ่งลากของนั้นดึงออกมาจากที่สลัว
มันก็จะค่อยๆ มาอยู่ที่สางๆ เหมือนฟ้าสางๆ ตอนตี ๕ ในฤดูร้อน พอเราค่อยๆ ดึงออกมาอีก มันจะค่อยๆ มาสู่ที่แจ้งขึ้น
แล้วก็แจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแจ่มแจ้ง เห็นชัดเจน
ดวงบุญก็เช่นเดียวกัน มีอยู่แล้วในตัว
แต่ว่าเราไม่ให้โอกาสตัวเราเอง มาเอาใจใส่
หยุดนิ่งอยู่ภายในตรงนี้ จึงถูกความมืดของใจบดบังอยู่ แต่ถ้าหากเราทำใจนิ่งๆ เหมือนเรายืนอยู่ในห้องมืด
สายตาเราก็จะคุ้นกับความมืดในห้องนั้น แล้วก็พอที่จะมองเห็นช่องทางว่า ของมันอยู่ตรงนั้นตรงนี้
ประตูหน้าต่างตรงนั้นตรงนี้
เข้าถึงดวงธรรมภายใน
ดวงธรรมก็เช่นเดียวกัน
เมื่อเราทำใจนิ่งๆ เป็นมิตรกับความมืด ที่อยู่ภายใน และเดี๋ยวความมืดนั้นก็จะค่อยๆ
คลายตัวออกไป แล้วดวงบุญก็จะค่อยๆ ได้โอกาสเปล่งแสงสว่างขึ้นมา มันก็จะค่อยๆ
ชัดขึ้นๆ และถ้าเราไม่ประมาทในการที่จะหยุดใจเอาไว้ตรงนี้ ไม่เคลื่อนย้ายใจไปที่อื่น
เพราะเราเห็นความสำคัญ
ให้ความสำคัญกับการหยุดนิ่งมากๆ
เอาใจใส่ ฝึกฝนไปทุกอิริยาบถ ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ถูกส่วนไปเอง
และมันก็จะแจ่มแจ้งขึ้นมาเป็นดวงใสๆ ใสบริสุทธิ์ทีเดียว ปรากฏเกิดขึ้นมา มาพร้อมกับความสุขที่ยิ่งใหญ่
ที่ไม่มีความสุขใดมาเทียบได้ แตกต่างจากที่เราเคยเจอ จนกระทั่งเราไม่รู้ว่า จะใช้คำว่าอะไรว่าสุขขนาดไหน
แล้วจะมาพร้อมกับดวงสว่าง เป็นรางวัลสำหรับที่เราได้ประกอบความเพียร ให้ความสำคัญกับการฝึกใจให้หยุดนิ่ง
ซึ่งเป็นงานที่แท้จริงของชีวิตในสังสารวัฏ มาเกิดแต่ละครั้งก็เพื่อการนี้แหละ แล้วมันก็จะชัด
ใส แจ่ม กระจ่าง อยู่ที่กลางกายของเรา
เมื่อดวงธรรมมาปรากฏอยู่ในกลางกาย
เราจะอยู่ตามลำพังก็ไม่เหงา มีความสุข ไม่คิดที่จะไปข้างไหน ที่ไหน ด้านนอก แต่อยากจะมุ่งเข้าไปสู่ด้านภายใน
อยากจะเดินทางเข้าไปสู่ภายในเพราะดูเหมือนมีอีกหลายสิ่ง ที่ทำให้เรากระตือรือร้นอยากจะศึกษา
เรียนรู้เพิ่มขึ้น
จากจุดเริ่มต้นที่เข้าถึงดวงใสๆ
ที่มาพร้อมกับความสุขนั่นแหละ ใจจะหยุดนิ่งไปเรื่อยๆ ความบริสุทธิ์ของใจก็จะปรากฏ
ใจมันจะเกลี้ยงเกลา อย่างที่เราไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน และเราก็จะเปรียบเทียบได้ว่า ความบริสุทธิ์ของใจให้ความสุขอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่าความไม่บริสุทธิ์ของใจ
เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
ความบริสุทธิ์นี้
ความสุขนี้ก็จะดึงดูดให้เราเข้าไปสู่ภายใน ในกลางดวงใสๆ และดวงนั้นก็จะขยายออกไป
มีดวงใหม่เกิดขึ้นตรงกลางดวงเก่า เหมือนเราเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ซึ่งมีดวงสว่างกว่า บริสุทธิ์กว่า
รอคอยเราอยู่ และยิ่งเข้าไปความสุขก็เพิ่มพูน ความบริสุทธิ์ก็เพิ่มพูน ความเข้าใจอะไรต่างๆ
ก็เพิ่มพูนขึ้นมากขึ้นไปตามลำดับเลย
เดี๋ยวก็เข้าถึงดวงศีล
ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ๖ ดวงเป็น ๑ ชุด ซึ่งเป็นดวงธรรมที่จะกลั่นกาย
วาจา ใจ เราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ทำให้เราหลุดจากกายหยาบและเชื่อมไปติดกับกายมนุษย์ละเอียดข้างใน ซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่า มีอยู่ภายใน หรือเคยได้ยินได้ฟัง
แต่ดูเหมือนว่าจะรู้ แต่ความจริงยังไม่รู้ กระทั่งมาเข้าถึงนี่แหละ จึงแจ่มแจ้งขึ้น
แล้วก็หายสงสัยว่ามีอยู่จริง
ความหายสงสัย
ทำให้เราเกิดปีติ สุข เบิกบาน ภาคภูมิใจว่า คนอย่างเราสามารถเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดได้
ถอดกายออกมาได้ เหมือนดึงไส้หญ้าปล้องออกจากกัน หรือเหมือนชักดาบออกจากฝักอย่างนั้น
แล้วเคลื่อนมาอยู่ในกายข้างในได้ ความรู้ก็จะแจ่มแจ้งขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะกายภายนอกที่เคยคิดว่า
เป็นตัวเรา เป็นของเรา แท้จริงเหมือนเสื้อผ้า เหมือนบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ชั่วคราว
ความรู้สึกผูกพันยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเราหรือของเรา ก็จะคลายตัวสิ่งที่เนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบ
จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ก็จะพลอยถูกคลายตัวไปด้วย คลายความผูกพันไปด้วย
การคลายความผูกพันจากสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่นว่า
เป็นตัวเรา เป็นของของเรานั้น เป็นสุขอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก แล้วความรู้สึกอยากจะศึกษาเรียนรู้ก็เพิ่มขึ้นไปเองเป็นอัตโนมัติ
เข้าถึงกายธรรม
แล้วใจก็จะถูกดึงดูดเข้าไปสู่ภายใน
แบบเดิม แบบเดียว ก็จะเข้าถึงดวงธรรมในกลางกายมนุษย์ละเอียด ซึ่งมีลักษณะดวงกลมๆ
เหมือนกัน ต่างแต่ความบริสุทธิ์ ขนาด ความใส ความสว่าง ที่เพิ่มพูนมากขึ้น มีปริมาณและคุณภาพแห่งความสุข
บริสุทธิ์มากขึ้น มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นจากการเห็นแจ้งของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน
เห็นไปตามลำดับ เดี๋ยวก็เข้าถึงกายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม และในที่สุดก็เข้าถึงกายธรรม
ซึ่งเป็นตัวพระรัตนตรัย
ชาวพุทธที่แท้จริงต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
พระพุทธศาสนาเริ่มต้นจากตรงนี้
ตรงที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เข้าถึงกายธรรมภายในซึ่งเป็นตัว พุทธรัตนะ
รัตนะ แปลว่า แก้ว
เป็นวัตถุที่มีคุณค่า จะใสๆ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด ในธรรมที่ผ่านมา และก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความรู้สึกว่าเป็นพระจะเกิดขึ้นเมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว แม้เพศภายนอกจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม จะรู้สึกจิตวิญญาณของพระตอนที่ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระรัตนตรัยในตัวนี่แหละ
คำว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ต่อเมื่อเข้าถึงตรงนี้ ส่วนที่เราสวดมนต์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง
คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นั่นเป็นเพียงขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
แต่ถ้าหากว่า
มีพระธรรมกาย ปรากฏชัด ใส แจ่ม อยู่กลางกาย เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตจิตวิญญาณของเรา
อย่างนี้ก็เรียกว่า เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว หรือที่เราคุ้นกับคำว่า เข้าถึงไตรสรณคมน์
ไตร
แปลว่า ๓
สรณ
แปลว่า ที่พึ่งที่ระลึก
คมน
แปลว่า แล่นไป
รัตนะ
ก็หมายถึง พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
ชาวพุทธที่แท้จริงจะเริ่มต้นที่ตรงนี้
เข้าถึงไตรสรณคมน์ มีพระรัตนตรัยปรากฏชัดอยู่ตลอดเวลา จะหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน
เดิน ก็จะเห็นชัดใสแจ่มอยู่ตลอดเวลา จะเคลื่อนไหวกายภายนอกในกิจกรรมใดก็ตาม แต่ภายในยังสงบนิ่ง
ชัด ใส แจ่ม อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่า เข้าถึงไตรสรณคมน์ เข้าถึงแล้วความรู้สึกเคารพเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในคำสอนของพระองค์ท่าน และพระสาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามท่าน ก็จะเกิดขึ้นจากใจอย่างแท้จริง
มีความเคารพเลื่อมใสเทิดทูน เมื่อได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวอย่างนี้แหละ และสิ่งดีๆ
ก็จะขยายจาก ณ ตรงนี้ออกมาสู่ภายนอก
ในขณะที่ใจก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในไปเรื่อยๆ
กระทั่งเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต ก็จะไปตามลำดับ
เมื่อเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว การที่จะศึกษา วิชชา ๓ ซึ่งมีในเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ก็จะเริ่มต้นจากธรรมกายตรงนี้ เพราะธรรมกายมีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ เห็นได้รอบตัว
รู้ได้รอบตัว อย่างถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น
คำว่า ธรรมกาย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญนักทีเดียว
ที่เราจะเอาไปพูดล้อเล่นกันไม่ได้ หรือไปพูดเชิงดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ได้ เพราะการทำอย่างนั้นอบายภูมิเปิดรับแล้ว
เพราะความไม่รู้ที่ทำกันไปอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื้อนาบุญ ก็เริ่มต้นจากตรงธรรมกายนี่แหละ พระรัตนตรัยในตัว
ซึ่งเป็นแหล่งแห่งบุญที่อยู่ภายในตัวของเรา
เมื่อเราสว่าง
โลกก็สว่างด้วย
เพราะฉะนั้น
ต้องตั้งใจศึกษาฝึกฝนอบรมตัวของเราให้ได้ตลอดเวลาควบคู่กับภารกิจประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม
ก็ทำไปเถอะ แต่สิ่งนี้ต้องแสวงหา ต้องรักษา แล้วก็ต้องแสวงหาให้ถูกที่ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ให้ถูกหลักวิชชา คือ หยุดกับนิ่งเท่านั้น เดี๋ยวเราก็จะเข้าถึงเอง แล้วก็จะเห็นคุณค่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา จะหวงแหนเอาไว้ให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนในโลก เพราะเราได้เข้ามาถึง
รู้รสชาติ เป็นการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวแล้วว่าแตกต่างจากรสชาติที่เราเคยเจอ เป็นสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลาย
ทุกๆ คนในโลก ควรจะเจอตามเราไปด้วย ควรจะมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเรา ก่อนที่เขาจะละโลกจากโลกนี้ไป
จะได้ไม่ตายฟรี จะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ปิดอบาย ไปสวรรค์ นี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
โลกมันแล้วแต่เรา
มันเริ่มต้นที่เรา ถ้าใจเราหยุดนิ่งได้ เข้าถึงพระรัตนตรัยได้ เราสว่างแล้ว
เดี๋ยวโลกก็จะสว่างตามกันไปด้วย มันจะเกิดจิตสำนึกขึ้นมาเอง อย่างที่เราไม่ต้องใช้ความพยายามในการสร้างจิตสำนึกที่ดี
แต่จะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ ในความรักเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยน้ำใสใจจริงอย่างถูกหลักวิชชา
เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยปัญญาที่จะทำให้มีสุขส่วนเดียวในทุกๆ คน
เพราะฉะนั้น หลักสำคัญคือ ลูกทุกคนต้องหมั่นฝึกใจของเราให้หยุดนิ่งเสมอ
เพื่อตัวเราและชาวโลกนะลูกนะ
ประคองใจไว้กลางกาย
เวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้นั่งนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ปรับดวงตาของเราให้มันปรือๆ ตานิดๆ ใบหน้าของเรามันจะได้ไม่เคร่งเครียด
และใจจะได้ผ่อนหย่อนใจลงไปในกลางกายง่าย นิ่ง นุ่ม เบา สบาย
จะภาวนา สัมมาอะระหัง
ควบคู่กันไปด้วยก็ได้ หรือไม่อยากจะภาวนาก็ไม่ต้องภาวนา แล้วแต่ใจปรารถนา ถ้าเรามั่นใจว่า
เราสามารถรักษาใจให้อยู่ที่กลางกายได้ โดยไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราก็ไม่ต้องภาวนา
ก็แค่ประคองใจเอาไว้
ความมืดเป็นมิตร
ความมืดภายในนั้น
เป็นมิตรสำหรับเราเสมอ ไม่ได้แปลว่าเรานั่งไม่ก้าวหน้า
ไม่ได้ผล แต่ความก้าวหน้าแล้วได้ผล มันเกิดขึ้นอย่างที่เราไม่รู้สึกตัวเลย
เหมือนต้นโพธิ์ต้นใหญ่ๆ
มันก็เริ่มต้นมาจากเม็ดเล็กๆ เล็กอย่างเรายังคาดไม่ถึงเลยว่า เม็ดเล็กนิดเดียวทำไมทำให้ต้นโพธิ์เติบใหญ่
มีกิ่งก้านสาขา ใบ ดอก ผล ให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็น ให้ความร่มรื่น รื่นรมย์อะไรต่างๆ
เหล่านั้นได้ ทุกอย่างเริ่มมาจากจุดเล็กๆ แล้วต้นโพธิ์ก็ไม่รู้ตัวเองว่า
มันโตวันละกี่เซ็นต์ แต่เผลอประเดี๋ยวเดียวก็ให้ร่มเงา ความร่มเย็น ความร่มรื่น
การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน
ความมืดภายในไม่ได้แปลว่าเรานั่งไม่ได้ผล ไม่ก้าวหน้า เราคงไม่สมหวัง ในการเข้าถึงธรรมในชีวิตนี้มั้ง
อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง และก็ไม่จำเป็นจะต้องคิด
เพราะคิดแล้วไม่เกิดประโยชน์อันใด นอกจากเสียแปะเจี๊ยะทุกข์ ทุกข์กินเปล่า
แค่เรารักษาความนิ่ง
นุ่ม ให้หยุด ให้นิ่งอย่างสบายๆ ไม่ต้องไปคำนึงว่ามันมืด หรือมันสว่าง นิ่ง นุ่ม
เบา สบาย ผ่อนคลาย ทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น เราก็กำความสมหวัง ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวของเราแล้วล้านเปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นี้ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
ใครนอนอยู่ก็ลุกขึ้นมานั่ง เราจะได้สร้างภาพที่งดงามให้กับผู้ที่มาภายหลัง เรามีเวลานอนที่บ้าน
ที่บ้านที่อยู่ในปัจจุบัน และก็บ้านหลังสุดท้ายของเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งกันต่อไปให้ดี
ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565