อัตตาอนัตตา
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๕๐(๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา
ตั้งแต่ใบหน้า ศีรษะ ลำคอ ลำตัว แขน
ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้า ให้ผ่อนคลายให้หมด แล้วก็ทำใจของเราให้ใสๆ ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
ปล่อยวางให้หมดเลย
ทุกสรรพสิ่งล้วนในสู่จุดสลาย
สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย จะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ต้องเสื่อมสลายไป
ต้องพลัดพรากจากกันไป โลกใบนี้สักวันหนึ่งก็ต้องสลายด้วยกัปวินาศ เกิดไฟบรรลัยกัลป์
ลมบรรลัยกัลป์ น้ำบรรลัยกัลป์ เป็นต้น
ภูเขา
ต้นไม้ ตึกราม บ้านช่อง ก็เสื่อมกันไปเรื่อยๆ ของใช้ในบ้านของเราก็เสื่อมไป สิ่งรอบตัวเราเสื่อมไปหมด
กระทั่งเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ก็ยังต้องไปสู่จุดสลาย ลงท้ายก็ต้องไปอยู่ในถังขยะของความเสื่อมสลาย
กายหยาบที่เราอาศัยสร้างบารมีนี้ก็เช่นเดียวกัน
มันก็เสื่อมลงไปทุกวัน อย่างที่เราไม่ทันได้สังเกต แต่เผลออีกทีหนึ่งความเสื่อมนั้นก็ปรากฏให้เราเห็น
สักวันหนึ่ง เราก็จะต้องพลัดพรากจากกายมนุษย์หยาบนี้ไป
เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเรา และทุกๆ คนในโลก
วัตถุประสงค์ของชีวิต เราเกิดมาสร้างบารมี
กายหยาบนี้มีไว้เพียงเพื่อสร้างบารมีเท่านั้น
ส่วนการทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ก็เพียงเพื่อให้ได้ปัจจัย ๔ เอามาหล่อเลี้ยงสังขาร แล้วก็นำมาสร้างบารมี
เราเลี้ยงสังขารให้เรามีชีวิตอยู่ อยู่เพื่อทำงานที่แท้จริง คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง
สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิต ไม่ใช่เพื่อการอื่นเลย
โลกใบนี้ก็เป็นที่อาศัยชั่วคราว
เป็นที่สร้างบารมีเท่านั้น บ้านที่เราอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง เรือนกายที่ให้ใจอาศัยอยู่ก็ชั่วคราว
ก็ต้องผุก็ต้องผังกันไป แม้แต่สวรรค์ชั้นดุสิต วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ ที่เราคุ้นเคยกันทุกวัน
ก็เป็นเพียงที่พักอาศัยชั่วคราว เมื่อเรามีกายทิพย์ กายละเอียด แม้ ณ
ตรงนั้นก็ยังเป็นที่พักชั่วคราว ยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา
บ้านที่แท้จริงของเรานั้นอยู่ที่สุดแห่งธรรม
เป็นที่หลุดที่พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารแล้ว ตรงนั้น คือ บ้านที่แท้จริง
ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ได้
ใจของเราก็จะได้ไม่ไปผูกพัน ติดข้อง ยึดมั่น ถือมั่น ในคน สัตว์ สิ่งของ มากมายนัก
ผูกพันแค่เป็นเครื่องอาศัยซึ่งกันและกันให้เราได้สร้างบารมีสั่งสมความบริสุทธิ์ สั่งสมบุญ
บารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เป็นที่อาศัยสำหรับให้ใจเราหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในเพื่อพบพระรัตนตรัยในตัวซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
สิ่งอื่นนั้นไม่ใช่ หยุดเพื่อเข้าไปถึงตรงนั้น
แล้วตรงนั้นก็จะได้หยุดกันต่อๆ
กันไปเพื่อที่จะได้ไปเชื่อมสายบุญบารมี ความรู้อะไรต่างๆ จากพระนิพพาน ซึ่งได้เดินทางผ่านเส้นทางสายกลางนี้ไปก่อนหน้าเราแล้ว
ที่จะซ้อนลงมาเชื่อมกัน ที่จะสาวไปหาต้นเหตุแห่งความทุกข์ทรมานของชีวิต สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
ซึ่ง เป้าหมายสุดท้าย คือ หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
และก็ไปพักกันที่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ สุดท้ายก็ที่สุดแห่งธรรมตรงนั้นแหละ เป็นที่อยู่ที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น ตลอดเส้นทางนี้
เรายังเวียนขึ้นเวียนลงอยู่เพื่อวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้นแหละ คือ การสร้างบารมี เรารู้อย่างนี้
เราจะได้ไม่ติดข้องกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
แม้โลกนี้จะงามตระการประดุจราชรถ
ที่คนเขลาไม่รู้จริงหมกมุ่นอยู่ ติดข้องอยู่ แต่ผู้รู้จริงนั้นหาข้องอยู่ไม่
เราอยู่ในฐานะที่ได้ศึกษาเรียนรู้ ความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กระทั่งมาถึงมหาปูชนียาจารย์ของเรา เราก็ต้องเดินตามรอยนี้กัน
ประคองใจไว้กลางกาย
เพราะฉะนั้น
ภาคบ่ายนี้ ให้เอาใจไว้ที่กลางกาย ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่าง สบายๆ โดยไม่ติดข้องกับสิ่งใด ใจจะได้ใสๆ นิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ จนกระทั่งลืมสิ่งแวดล้อมของดิน อากาศ ฟ้า ที่นั่ง และทุกสิ่ง
แล้วก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
หรืออย่างน้อยก็ไปถึงหลักยึดของใจที่เรานึกถึงองค์พระใสๆ หรือ ดวงธรรมใสๆ หรือ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ใสๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใจก็ยังอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งๆ
นุ่มๆ นุ่มนวลควรแก่การงาน ตั้งมั่น สงัดจากกามแล้วก็บาปอกุศลกรรมทั้งหลาย ใจจะใส
จะบริสุทธิ์ ที่บังเกิดขึ้นในกลางหยุดกลางนิ่งนั่นแหละ
ใจจะใสๆ ความบริสุทธิ์ของใจ
นำมาซึ่งความสุขที่ไม่มีประมาณ อย่างที่เราไม่เคยพบพานมาก่อนเลย ใจที่ใสๆ เพราะฉะนั้น
ให้ค่อยๆ ประคับประคองใจกันไป
ใจที่ถูกส่วน
พอถูกส่วนเดี๋ยวก็จะเห็นกันไปเอง
เราจะรู้ได้ด้วยตัวของเราเอง คือ แต่เดิมเราวางใจที่ศูนย์กลางกาย
เราเหมือนจะกดลูกนัยน์ตาลงไปดู เพราะเราคุ้นเคยกับการเห็นวัตถุสิ่งของภายนอก ด้วยการจ้องมองสิ่งนั้น
ถ้าเราเอามาใช้ในการมองศูนย์กลางกายมันก็เลยตึง
เครียด แต่ถ้าถูกส่วนแล้ว เราจะเลยความรู้สึกตรงนั้นไป รู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับลูกนัยน์ตาเลย
คือ ใจมันจะเข้าไปรวมกับตรงกลางเองเลย อย่างนุ่มนวล เบา สบาย และดูเหมือนดวงตาเราจะอยู่ตรงกลางตรงนั้น
แล้วมันก็จะเคลื่อนเข้าไป
มันจะตกศูนย์อย่างละมุนละไมคล้ายขนนกที่ลอยไปในอากาศด้วยแรงลม
ตกกระทบผิวน้ำอย่างนุ่มนวลที่น้ำไม่กระเพื่อม มันจะลงไปคล้ายๆ อย่างนั้น แล้วก็สบาย
ความรู้สึกก็จะขยายไป เหมือนหลุดออกจากกายหยาบ
แล้วเดี๋ยวดวงธรรมก็ลอยขึ้นมาเอง
เราไปหาสิ่งนั้นบ้าง หรือสิ่งนั้นมาหาเราบ้าง มีอาการเหมือนหล่นลงมาจากฟ้าอย่างนั้นแหละ
จะต่างกันที่บางคนก็ถูกแรงดึงดูดภายในอย่างรวดเร็ว ฉุกละหุก ก็จะหวาดเสียวหน่อย แต่ถ้าประคองใจเป็นพอถูกส่วนมันจะลงไปอย่างนุ่มๆ
แบบสมัครใจลง หรือพอหลุดจากกายหยาบแล้วดวงมันลอยขึ้นมาเองใสๆ มันต้องดับก่อน คือ มันต้องตกศูนย์
หลุดออกมาจากกายหยาบ แล้วมันมีความสุข ความเบิกบาน
ความสุขความเบิกบานที่แท้จริง
ความสุขกับความเบิกบานจะใช้คำนี้ได้จริงๆ
ต่อเมื่อเข้าถึงดวงธรรมภายใน จึงจะเอาคำนี้มาใช้ได้ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ
แต่ว่าเราเอามาใช้กันเลอะเทอะ เรื่อยเปื่อยกันมายาวนานเป็นพันปี เพราะเราไม่รู้จักความสุขกับความเบิกบานที่แท้จริงเป็นอย่างไร
ก็เลยเหมาเอาไปตามรสนิยมหรือความเข้าใจของเรา จากการได้เห็น ได้ดู ได้ดม ได้ดื่ม ได้ถูกต้องสัมผัส
หรือไปเที่ยวดูทิวทัศน์ธรรมชาติอะไรอย่างนั้น เป็นต้น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่
ความสุข
ความเบิกบาน มันมีอยู่ที่ตอนใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ แล้วก็เกลี้ยงเกลาจากอกุศลธรรม มันเกลี้ยง
มันบริสุทธิ์ แล้วก็สว่าง เห็นความบริสุทธิ์ชัดเป็นดวงใสๆ ใสเกินใส เกินความใสใดๆ นั่นแหละคือ
ความสุขและความเบิกบานที่แท้จริง และนับวันจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จนในระดับพูดไม่ออก บอกไม่ถูก มันเลยคำอธิบายด้วยภาษามนุษย์ เพราะภาษาของมนุษย์ทุกชาติเอามารวมกันแล้วก็ยังมีข้อจำกัด
ในการอธิบายถึง ความสุข ความเบิกบานที่เพิ่มขึ้น ที่มันไม่มีในโลก มันเลยจินตนาการไป
แต่ทั้งหมดนี้จะอยู่ในตัว คือมันต้องผ่านตัวเราก่อน ผ่านกลางกาย มันถึงจะเจอ ผ่านที่อื่นก็ไม่เจอ
จะไว้ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างล่าง ข้างบน มันก็ไม่เจอ
มีอยู่ที่เดียว อยู่ตรงกลาง กลางกายใสๆ
ถ้าลูกทุกคน
รักที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ความเบิกบานที่สมบูรณ์ละก็
ต้องมั่นฝึกหยุดนิ่งทุกวันเลย ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ยิ่งหยุด ยิ่งนิ่ง
ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งสุข สะอาด สว่าง สงบ ตั้งมั่น นุ่มนวล มีพลัง
แล้วยิ่งเคลื่อนเข้าไปในกลางนั้น ซึ่งก็จะเคลื่อนเอง
เข้าใจอนัตตากับอัตตาเมื่อใจหยุดนิ่ง
ถ้าถูกส่วน
มันจะเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นดวงในดวง เห็นกายในกาย ซึ่งแบ่งเป็นสองภาค สองซีก
สองระดับ ระดับกายที่เป็น อนัตตา กับระดับกายที่เป็น อัตตา ที่ซ้อนๆ
กันอยู่ อัตตา จะซ้อนอยู่ใน อนัตตา
อัตตา
คือ ตัวจริงๆ ของเราที่เป็นอิสระ เป็นตัวของเราเอง เป็นอยู่ในตัวของตัวเอง เหมือนดวงอาทิตย์มีแสงสว่าง
มีพลังอยู่ในตัว อันนี้ก็มีความสุขอยู่ในตัวของตัวเอง ถ้าอนัตตา มันไม่ใช่
มันตรงกันข้ามกัน เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจสิ่งนี้ได้ ต้องใจหยุดนิ่ง
ถ้าใจยังไม่หยุดนิ่ง
ให้อ่านหนังสือสูงเท่าภูเขา หรือไปคิดให้กะโหลกบานสติเฟื่องก็ไม่เข้าใจ มันดูเหมือนจะเข้าใจ
ปลื้มๆ ใจว่า เหมือนเราจะแตกฉาน แต่จริงๆ แล้วไม่รู้เรื่องเลย มันต้องหยุดต้องนิ่งแล้วต้องดิ่งไม่หยุดไม่ยั้งเลย
มันต้องเห็นอย่างเดียว เข้าถึงอย่างเดียว ถึงจะรู้อันไหน อนัตตา อันไหน อัตตา
ปล่อยวางอนัตตา แสวงหาอัตตา
ทำไมพระพุทธเจ้าท่านให้ปล่อยวางอนัตตา
เพราะท่านเห็นว่า มันไม่ใช่สาระแก่นสาร ไม่ใช่ของจริง ของจริงมันอยู่ข้างใน ตั้งแต่ธรรมกายขึ้นไปนั่นแหละของจริง
ตัวจริงจะประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ เกตุดอกบัวตูม ใส สว่าง ส่วนกายที่เป็น
อนัตตา ไม่เหมือนกันเลย มันจะแตกต่างไป
แต่กายที่เป็นอัตตาเหมือนกันหมดทุกคนในโลก สว่าง ใส ก็คือ ธรรมกาย นั่นเอง
ธรรมกาย
คือ พุทธรัตน กายแก้ว ผู้รู้ที่เป็นแก้วใสๆ บริสุทธิ์ มีชีวิตจิตใจคล้ายกับเรา อยู่ในอิริยาบถเดียว
อิริยาบถนั่งสมาธิ เพราะว่าไม่มีกิจที่จะต้องทำแบบมนุษย์ แบบเทวดา
ต้องสังสรรค์ ต้องทำมาหากิน ต้องขับถ่าย หลับนอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องยืน
ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องนอน ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่หมดความจำเป็นที่จะทำ อยู่ในอิริยาบถเดียว
ไม่มียืน ไม่มีการเดิน ไม่มีการนอน นั่งสงบนิ่ง
นั่นแหละจ้ะ
ตัวอัตตา เพราะเป็นนิจจัง เป็นสุขขัง คงที่ เป็นอิสระ เป็นแหล่งแห่งความสุข ไม่มีทุกข์เจือเลย
สุขล้วนๆ มนุษย์ก็ยังไม่ใช่ เทวดาก็ยังไม่ใช่ พรหม อรูปพรหมก็ยังไม่ใช่แต่ใกล้เคียง
แต่ที่ใช่มีธรรมกายในตัวใสๆ และอัตตาก็ยังมีซ้อนๆ กันเข้าไป ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน
กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และกายธรรมพระอรหัต ทั้งหยาบละเอียด หยาบก็เป็นมรรค
ละเอียดก็เป็นผล
มรรคผลนิพพานก็ต้องผ่านเข้าไปในกลางกายในตัว
แล้วก็ทำแทนกันไม่ได้ ต้องทำเอง คำว่า รู้ได้เฉพาะตน
มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เรากินก๋วยเตี๋ยว เราก็รู้รสชาติของเราอยู่คนเดียวนะ ใครกินแทนเรา
เราก็จะไปรู้รสชาติเขาก็ไม่ใช่ นี่ก็คล้ายๆ กัน มันรู้ได้เฉพาะตัว กายธรรมใสๆ ท่านอยู่ข้างในนี่แหละ
ขึ้นอยู่กับการปรุงใจของเราให้ถูกส่วน เราก็ต้องปล่อย คลายความยึดมั่น ถือมั่น ผูกพัน
ชีวิตเป็นทุกข์
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านสอนให้รู้จักว่า ชีวิตเป็นทุกข์นะ มันทุกข์ส่วนตัว ความแก่นี่ แก่ส่วนตัว เจ็บส่วนตัว
ตายส่วนตัว ปวดเมื่อยส่วนตัว ปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง ปวดไส้ ของส่วนตัวทั้งนั้น หิว
กระหาย ส่วนตัว ง่วง ขับถ่ายส่วนตัว ที่เรียกว่า ทุกข์ประจำตัว ประจำขันธ์ นอกจากนี้เราก็ยังมีทุกข์ภายนอกที่จรมาอีก
ท่านจะสอนชีวิตมันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็ทุกข์มาก
และท่านก็สอนให้เราเห็นว่า
สิ่งที่เราไปยึดมั่น ไปคิดว่าเป็นของเรา เป็นตัวเราของเรา จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ และคำสอนของท่านก็จะวนๆ
อยู่อย่างนี้ จะได้คลาย ก็ปล่อย พอปล่อยแล้ว ใจมันก็นิ่งๆ
ความผูกพันด้วยความอยากที่ไม่ประกอบไปด้วยปัญญา
มันก็จะทำให้เราเพลินอยู่กับสิ่งนั้น ก็หมดเวลาไป ต้องปรุงใจให้หยุดนิ่งๆ หยุดตรงนั้นแล้วจะหยุดจากความอยากได้
นิ่ง นุ่ม เบา สบาย แล้วจึงจะเข้าถึงมรรคในตัว เห็นเป็นดวงใสๆ
หยุดเป็นตัวสำเร็จ
พระเดชพระคุณหลวงปู่
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านตัดตอนมาสอน “หยุดเป็นตัวสำเร็จ”
นอกนั้น ท่านก็จะพูดสั้นๆ ว่า ทุกอย่างมันผุผังหมด คน สัตว์ สิ่งของ นึกคิดทุกวัน
วันละนาที ก็แจ่มแจ้งแล้ว หลังจากนั้นท่านก็บอกวิธีการว่า หยุดนั่นแหละเป็นตัวสำเร็จ
ที่จะให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น และเข้าถึงสิ่งที่เราแสวงหา สิ่งที่เราอยากได้
คือ ความสุขที่แท้จริง ความสมหวัง ความสำเร็จในชีวิต ท่านก็สอนลัดเลย ตัดตอนมาเลย
ภารกิจกับจิตใจไปด้วยกัน
เพราะฉะนั้น
ลูกทุกคนก็ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ เพราะวันเวลามันก็ล่วงไป ผ่านไป เดี๋ยววัน
เดี๋ยวคืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิตแล้ว บางคนก็ถึงวัยอายุขัยเฉลี่ย
บางคนก็ไม่ถึง บางคนก็เกินเลย
ถ้าเราไม่รู้ตอนนี้จัดอยู่ประเภทไหน
ดีที่สุดที่ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คือ ทำจิตให้สงบ
ให้หยุด ให้นิ่ง ควบคู่กับการทำมาหากิน ทำมาค้าขาย หยุดนิ่ง ฝึกไปทุกอิริยาบถ
นั่ง นอน ยืน เดิน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด หยุดนิ่ง ลิ้มรส เหยียดแขน คู้แขน ทำมาหากิน
เรียนหนังสือ และทำควบคู่กันไป
การที่ทำควบคู่กันไป
มันก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่เราได้สั่งสมชั่วโมงหยุด ชั่วโมงนิ่ง
ชั่วโมงกลาง เอาไว้ อย่างที่เราไม่รู้ตัว เก็บออมเอาไว้เรื่อยๆ แล้วมันจะมาให้ผลต่อเมื่อเรามานั่งสมาธิ
เป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน มันก็จะให้ผลสักวันหนึ่ง แล้วเราจะเกิดความรู้สึกว่า
มันคุ้ม สุดคุ้มที่เราประคับประคองใจ ควบคู่กันไปกับภารกิจประจำวัน
ต่อไปเมื่อเราทำเป็นแล้วจะหลับตา ลืมตา นั่ง
นอน ยืน เดิน ก็จะเห็นดวงใส องค์พระใสๆ ตลอดเวลา มันก็จะแบ่งใจไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนรถที่เคลื่อนไปสู่จุดหมาย
ตัวถังก็นิ่งๆ แต่ล้อรถมันวิ่งไป นี่ก็เหมือนกันนะ ข้างในหยุดนิ่งข้างนอกก็เคลื่อนไหว
แต่ไปด้วยกันได้ ถึงที่หมายโดยปลอดภัย และมีชัยชนะ
เพราะฉะนั้น ต้องฝึกนะลูกนะ ต้องฝึกทุกวัน ให้ใจใสๆ
เวลาที่เหลืออยู่เราก็ประคับประคองใจของเราให้นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2565