ทำไมต้องฐานที่ ๗
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า สบาย ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกร็งหรือตึง ต้องผ่อนคลาย
ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
บริกรรมนิมิต
ให้ค่อยๆ นึกถึงบริกรรมนิมิตที่เราชอบ ที่ง่ายสำหรับเรา
ไม่ว่าจะเป็นดวงแก้วใสๆ เหมือนกับเพชร หรือว่าพระแก้วใสๆ
หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่ติดตาติดใจของเรา เวลาเราหลับตาแล้วนึกได้ง่าย
อย่างไหนง่ายก็เอาอย่างนั้นไปก่อนนะจ๊ะ เพื่อจะได้เชื่อมโยงใจของเราให้หยุดนิ่ง นุ่ม
เบาสบายกับศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ
หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ค่อยๆ นึก
นึกง่ายๆ คล้ายๆ
กับเรานึกถึงสิ่งที่คุ้นเคย นึกง่ายๆ นึกธรรมดา สบาย คล้ายนึกถึงดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์หรือดวงดาวในอากาศ หรือเหมือนขันล้างหน้าอย่างนั้นแหละ ง่ายๆ สบายๆ
เพื่อที่จะได้รวมใจมาหยุดนิ่งนุ่ม เบาสบายที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ทำไมต้องฐานที่ ๗
ที่ต้องนำใจกลับมาหยุดนิ่งอยู่ตรงฐานที่
๗ นี้ ก็เพราะว่าเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน เป็นต้นทางแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพาน
ซึ่งมีอยู่ในตัวของเราทุกคน มีอยู่ในตัวมนุษย์ของทุกเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์
ทุกคนในโลก ต่างแต่ไม่รู้ว่า มีอยู่ จึงไม่ได้ขวนขวายศึกษา ลงมือปฏิบัติ
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ เป็นตำแหน่งสำคัญ
เป็นที่หยุดใจของเรา จะสร้างบุญกุศลอะไรก็แล้วแต่ ทำน้อยอยากจะได้บุญเยอะๆ
ทำเยอะอยากจะได้บุญมากๆ จะต้องนำใจมาตั้งอยู่ที่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เราคงเคยได้ยินคำว่า
ตั้งใจนะ ก็แปลว่า เขาให้เอาใจมาตั้งอยู่ที่ตรงนี้
เอาความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ มาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ หรือถ้าพูดภาษาบ้านๆ
ก็ทำความรู้สึกนึกคิดว่า ใจของเรามาอยู่ที่ตรงนี้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ตั้งใจ คือ เอาใจมาตั้งไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้องที่ควรตั้ง
เพราะเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องและดีงาม เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานดังกล่าว
การบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่มีเว้นเลย
แม้แต่พระองค์เดียว เมื่อท่านทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
ใจของท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้เป็นอัตโนมัติเลย เป็นที่ตั้งของใจ
แล้วท่านก็หยุดนิ่งอย่างเดียว
ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ตั้งแต่เป็นพระมหาบุรุษที่นั่งอยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์
ในคืนวันที่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ยามเย็นเรื่อยไปเลย
ใจท่านจะหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ พร้อมกับอธิษฐานจิต ตั้งสัตยาธิษฐานว่า เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป
เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ถ้าไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน จะไม่ลุกจากที่ ยอมตาย
ในวันตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ใจของท่านมาตั้งอยู่ที่ตรงนี้อย่างเดียว
นิ่งอย่างเดียวตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เมื่อท่านปล่อยชีวิต ทิ้งชีวิตแล้ว ไม่ได้ตายเถอะอย่างนั้น ใจก็ไม่ผูกพันกับอะไรเลย
เพราะว่าชีวิตถือว่าเป็นที่สุดของมนุษย์แล้ว ถ้าทิ้งชีวิตได้ อวัยวะหรือทรัพย์สินเงินทอง
สมบัติต่างๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ วาสนา ก็ทิ้งได้
ท่านทิ้งหมดเลย ไม่ผูกพัน ไม่อาลัยอาวรณ์
ไม่มีเยื่อใยในสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น พระองค์มีมากกว่ามนุษย์ทั่วๆ
ไปจะพึงมีกันในโลกยุคนั้น แต่ว่าวัตถุสิ่งของที่พระองค์มีนั้นไม่ได้ให้พระองค์บรรลุความรู้สึกที่พึงพอใจ
จนไม่อยากได้อะไรอีกเลย อำนาจวาสนาไม่เคยให้พระองค์ได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต
ความสุขสมบูรณ์ บริสุทธิ์ผุดผ่องจนไม่ต้องการอะไรอีกเลยในโลก และเป็นอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนดวงอาทิตย์อย่างนั้นไม่เคยเจอเลย
เมื่อมีชีวิตอยู่ในทางโลก เสวยกามสุขที่เลิศประดุจเทวดาอันเป็นทิพย์ คือ เหนือกว่าความเป็นเลิศของมนุษย์ในยุคนั้น
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยให้ความสุขกายสุขใจกับพระองค์เลย
มันก็ยังมีทุกข์เจืออยู่อย่างนั้น
ก็แปลว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นล่างก็มีทุกข์
เกิดเป็นชนชั้นกลางก็มีทุกข์ เกิดเป็นชนชั้นสูงก็มีทุกข์ เป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน
เป็นชนชั้นกลางก็ทุกข์แบบชนชั้นกลาง เป็นชนชั้นสูงมีฐานะมั่งคั่งเป็นเศรษฐี
มหาเศรษฐี ก็ทุกข์แบบเศรษฐี แปลว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น
แม้เป็นพระราชาธิบดีมีอำนาจเด็ดขาดก็ยังมีทุกข์ทรมานของชีวิต
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
แล้วก็ใจหยุดนิ่งอย่างเดียวตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเรา แล้วก็นิ่งอย่างเดียว
นุ่มๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ
เส้นทางสายกลาง
ถึงจุดๆ
หนึ่ง ใจก็หลุดจากสภาวหยาบแบบโลกๆ ตัวจะเริ่มโล่ง โปร่ง เบาสบาย ไม่อึดอัด ไม่คับแคบเหมือนเดิม
กว้างขวาง ขยายไปเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่า ใจของท่านกำลังจะไปสู่ที่กว้างที่เป็นอิสรภาพ
ใจท่านก็จะนิ่งเฉย นิ่งอย่างเดียว หยุดนิ่งอย่างเดียวอย่างสบายๆ
จนกระทั่งใจถูกส่วน
คือไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป ไม่ตึงเกินไป และก็ไม่หย่อนเกินไป เป็นกลางๆ ถูกส่วน พอถูกส่วนใจก็ตกศูนย์ลงไป
เหมือนหล่นมาจากที่สูง วูบลงไปเข้าไปสู่ภายใน ในแนวดิ่ง
ดวงปฐมมรรค
แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ
ใสอย่างน้อยก็เหมือนน้ำใสๆ หรือเหมือนน้ำแข็งใสๆ เหมือนกระจกใสๆ บ้าง
เหมือนเพชรบ้าง เพชรที่ต้องแสง หรือกระจกโดนแสงอย่างนั้นแหละ หรือยิ่งกว่านั้น
แต่ว่ากลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนอย่างดี กลมไม่มีเหลี่ยมเลย กลมรอบตัว
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
มาพร้อมกับความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย
สุขแบบโลกๆ ไม่เคยให้ปริมาณแห่งความสุขได้ขนาดนี้ เมื่อเทียบกับความสุขภายในที่มาพร้อมกับดวงใสๆ
ความสุขที่เราคิดว่า สุขจากการดื่มบ้าง การเที่ยวเตร่สนุกสนานเกี่ยวกับเรื่องอะไรต่างๆ
ทางโลกๆ เหล่านั้น มันกลายเป็นว่าแค่ความเพลิน พอให้ลืมทุกข์ไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว
คล้ายๆ กับปริมาณความทุกข์ถูกกลบเอาไว้ ด้วยความเพลิน พอสุดความเพลินก็เป็นความเพลีย
ก็ได้แค่นั้นเอง
แต่ว่าเมื่อดวงใสๆ เกิดขึ้นภายในเอง
เราจะมีความรู้สึกว่า มันสุขมากๆ อย่างที่ไม่มีภาษาใดๆ
ในโลกที่จะอธิบายความรู้สึกอย่างนี้ได้ มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ คือใจที่เกลี้ยงๆ
สะอาด จะรู้สึกในระดับที่ภาคภูมิใจในตัวเอง อยากจะเคารพตัวเองว่า มีความบริสุทธิ์ สูงส่งขนาดนี้
พระมหาบุรุษก็เป็นอย่างนั้น มีความสุขที่มาพร้อมกับความบริสุทธิ์
เป็นความบริสุทธิ์ที่เห็นได้เป็นภาพ คือ ดวงใสๆ ปรากฏเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้ เป็นดวงใสๆ
ในพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ได้กล่าวไว้ว่า
บางครั้งก็เห็น บางครั้งก็หาย ที่มาพร้อมแสงสว่างภายใน บางครั้งก็สว่างมาก
บางครั้งก็สว่างน้อย แต่พระองค์ก็ประกอบความเพียร อย่างนี้
มีความเพียรความพยายามทำอย่างสม่ำเสมอ
ถ้าพูดภาษาบ้านๆ
ก็คือ หลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน จะทำกิจวัตรกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ ใจอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ที่ดวงใสๆ อยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ได้พรากจากดวงนี้เลย ใจจะใสๆ
เพราะมันเป็นความอัศจรรย์ ที่หลับตาแล้วเห็นได้
เห็นแสงสว่างภายใน ผ่านแสงสว่างภายในก็เห็นดวงใสๆ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสง เหมือนดวงอาทิตย์
แต่ว่าเย็นตาเย็นใจเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่มาพร้อมกับความสุข ความบริสุทธิ์
ความสะอาด ความสว่าง และก็ความสงบของใจ ใจจะนิ่งอยู่ที่ตรงนั้นแหละ อย่างสบายๆ
พระมหาบุรุษท่านก็นิ่งอย่างนี้แหละ
เพราะว่าแม้จะเป็นดวงกลมใสๆ แต่ก็ชวนดู ชวนติดตาม
ชวนให้เข้าไปใกล้ชิด ไม่อยากให้หายไป อยากจะอยู่ตรงนั้นไปนานๆ นิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ
ท่านก็จะทำอย่างนั้น ใจท่านก็นิ่งอยู่ในกลางดวงใสๆ ซึ่งจะมีจุดเล็กๆ
เท่ากับปลายเข็ม เป็นจุดศูนย์กลางของดวงใสๆ ในกลางดวงแห่งความบริสุทธิ์ ดวงนี้คือ ธรรมดวงแรก เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ประดุจประตูของพระนิพพานนั่นแหละ ได้มาถึงปากประตูแล้ว
ที่พึ่งที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น
ตำแหน่งฐานที่ ๗ นี้จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ เพราะว่าทั้งเกิด ทั้งตาย
ทั้งหลับ ทั้งตื่น ก็อยู่ที่ตรงนี้ ตรงนี้จึงต้องทำให้ใสๆ อยู่เสมอ ไม่ให้มีมลทิน
ให้ใสๆ ให้สว่างไสว แล้วกายก็จะเบา ใจก็จะเบา
จะเยือกเย็นมีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจตลอดเวลา
เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้ ถ้าได้เห็นปฐมมรรคอย่างนี้
ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เพราะว่าหลายพันล้านคนไม่เคยเห็นอย่างนี้เลย ดวงใสนี่แหละสำคัญนักทีเดียว
ให้รักษาเอาไว้ เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
และเมื่อนิ่งอยู่ในกลางดวงนี้ไปเรื่อยๆ
ในที่สุดท่านก็จะเห็นกายในกายที่ซ้อนๆ กันอยู่จนกระทั่งเข้าถึงพระในตัว
ถึงพระธรรมกายในตัว คือ ก้อนกายทั้งก้อนของท่าน เป็นธรรมล้วนๆ เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ
ที่เขาเรียกว่า ดวงแก้วภายใน เป็นแก้วภายใน กายนี้เรียกว่า พุทธรัตนะ กายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ที่ใสบริสุทธิ์ประดุจรัตนชาติที่ใสๆ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
ให้โอวาทธรรมทายาท
ธรรมทายาทในโครงการบวชพระแสนรูปนี้
จะต้องประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา
และก็ให้เข้าถึงองค์พระภายในให้ได้จะได้ชื่อว่า ได้บวช
๒ ชั้น แล้วความ สงบเสงี่ยมสง่างามก็จะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ
ความสำรวมในอินทรีย์กาย วาจา ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
จะมีปีติสุข เบิกบาน ไม่มีความรู้สึกอึดอัด คับแคบ มีความภาคภูมิใจ ปลื้มใจ
บุญใหญ่จะเกิดขึ้นเป็นอสงไขยอัปปมาณัง
คือ นับไม่ถ้วนทีเดียว แล้วก็จะถึงแก่บิดามารดาของเรา
โยมพ่อโยมแม่ของเราได้อย่างอัศจรรย์เลย
เพราะฉะนั้น
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เรากำลังจะเตรียมตัวบวช ลูกธรรมทายาททุกคนก็จะต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
เรื่องโลกๆ เอาไว้เราลาสิกขาแล้ว เราจะไปนึกไปคิดอย่างไรก็ได้
แต่ว่ามันก็ไม่เกิดประโยชน์เหมือนชีวิตที่ผ่านมา มันไม่เกิดประโยชน์อันใด
เราคิด เราพูด เราทำอะไรกันมาเยอะแยะแล้ว
ซึ่งมันก็ไม่เป็นสาระแก่นสารอะไรสำหรับชีวิตที่ผ่านมา เวลาที่เหลืออยู่นี้เป็นเวลาที่เราจะต้องสร้างหนทางสวรรค์ให้เกิดขึ้นกับตัวของเราและบิดามารดา
เป็นเรื่องที่สำคัญ
และโดยเฉพาะในจังหวะที่ยังมีพระพุทธศาสนาตั้งมั่นอยู่บนผืนแผ่นดินไทย
เรายัง มีกายมนุษย์หยาบอยู่
ยังพอมีเรี่ยวมีแรงที่เราจะประกอบความเพียรได้อย่างกลั่นกล้า อย่างถูกหลักวิชชา
จะต้องเอาใจใส่ เพราะว่าเวลาแห่งการบวชในโครงการนี้มันลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
เราเหลือเวลาอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะจบโครงการแล้ว
เพราะฉะนั้น ให้ลูกธรรมทายาททุกคนพึงประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา
สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา เป็นอัศจรรย์ชาย
ซึ่งอยู่ในยุคแห่งการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนย้อนยุคพุทธกาล
เป็นบุคคลในประวัติ เป็นตำนานที่ลูก หลาน เหลน ต่อไปในอนาคตจะต้องเล่าขานกันต่อไปอีกยาวนาน
เมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้ว
ไปสู่เทวโลกเราก็จะได้เห็นผลแห่งบุญ ตอนที่เราได้เป็นมนุษย์เราได้มีส่วนในโครงการบวชพระแสนรูปในช่วงนี้
ในยามที่พระพุทธศาสนาต้องการ ใจก็จะปลื้มปีติยินดี
มันจะเป็นภาพปรากฏให้เราเห็นในเทวโลก และเมื่อเรามองย้อนลงมาในโลกมนุษย์เราก็ยิ่งมีปีติสุขเพิ่มขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้น วันเวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคนตั้งอกตั้งใจประกอบความเพียรกันให้ดี
สิ่งอะไรที่เป็นข้าศึกต่อการกุศลและพรหมจรรย์
ไม่เป็นประโยชน์แถมเป็นโทษกับชีวิตของสมณะพึงเอาออกไปเสีย สละออกไปเลยด้วยใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
ให้สมกับเป็นนักรบกองทัพธรรม ซึ่งกำลังจะเป็นพุทธบุตร กำลังจะเป็นสมณะศากยบุตร
เป็นสายโลหิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นใจต้องเด็ดเดี่ยว ต้องใสๆ
ต้องเกลี้ยงๆ
ต่อจากนี้ไปเวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคนประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงใส ดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ อย่างสบายๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565