ฝึกทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
การหลับตา
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า สบาย ผ่อนคลายจริงๆ ถ้าเราหลับตาเป็น
ก็จะผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัวเองเลย เพราะฉะนั้นหลับตาพอดี พอดี
ไม่ถึงกับตั้งใจปิดสนิท ให้อยู่ในระดับหลับตาพริ้มๆ
แล้วมันจะผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวไปเองเลย นี่เรื่องสำคัญนะ
ฝึกทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใสไร้กังวลในทุกสิ่ง
ต้องฝึกหัดทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
แล้วก็นิ่งอย่างเดียว ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ฝึกให้ชำนาญเลย ทุกวัน ให้สม่ำเสมอ
อย่าให้อะไรมาเป็นอุปสรรค เป็นข้อแม้หรือเงื่อนไขในการฝึกฝน ให้รู้จักคำว่า ทิ้งทุกอย่าง
วางทุกสิ่ง แล้วก็นิ่งอย่างเดียว
เพราะว่าเป็นวิถีทางเดียวที่เราจะหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
และใจก็จะได้เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเลย ต้องฝึกฝนนะ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำแทนกันไม่ได้
คำว่า ทิ้งทุกอย่าง
ก็คือ ให้คลายความผูกพัน ความยึดมั่นถือมั่นในคน สัตว์ สิ่งของ
สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่ไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องไปสู่จุดสลาย
ผุพังกันไปหมด
นี่เป็นความจริงแท้ ซึ่งเราก็ได้เห็นกันมา ในกาลเวลาที่ผ่านมานั้น
บรรพบุรุษปู่ ย่า ตา ยาย หมู่ญาติที่ใกล้ชิดของเรา
ในที่สุดท่านก็จะต้องทิ้งทุกอย่างไปหมดเลย แต่ท่านทิ้งเพราะว่าท่านไม่อยากจะทิ้ง
ยังไม่รู้จักวิธีการ ท่านแค่จำใจต้องทิ้ง ทั้งๆ ยังผูกพันอยู่ แต่ที่เราเห็นคือเอาอะไรไปไม่ได้
จริงๆ เป็นเรื่องจริงที่เราได้เห็นมาแล้ว เพราะความจริงสิ่งที่เราเห็นนั้นอยู่ในโลกนี้
ก็เป็นเพียงเครื่องอาศัยกันชั่วคราว ให้เราได้อาศัยดำรงชีวิตอยู่ แล้วอาศัยสร้างบารมี
วัตถุประสงค์ก็มีเพียงแค่นี้
เพราะฉะนั้น ต้องหมั่นฝึกทิ้งทุกอย่าง คน
สัตว์ สิ่งของ กระทั่งมาถึงตัวของเราเองนี่แหละ ทิ้งมาตามลำดับ
ทิ้งความผูกพันในทรัพย์ ในอวัยวะ ในชีวิต ร่างกายของเราที่ยังมีความเป็นอยู่
ความเป็น หรือธาตุเป็นยังดำรงอยู่ให้เราได้มีชีวิตอยู่
ละกายภายในเข้าไปเป็นชั้น ๆ
กายก้อนนี้เป็นเพียงทางผ่านของใจเท่านั้น
ที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน เข้าไปถึงกายที่มั่นคงกว่านี้เรื่อยๆ ไปตามลำดับ
ต้องละกายมนุษย์หยาบ จึงจะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดได้
ต้องละกายมนุษย์ละเอียด เพื่อจะให้เข้าถึงกายทิพย์
ละกายทิพย์เข้าถึงกายรูปพรหม
ละกายรูปพรหมเข้าถึงกายอรูปพรหม
ละกายอรูปพรหมเข้าถึงกายธรรมโคตรภู
ละกายธรรมโคตรภูจึงจะเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน
ละกายธรรมพระโสดาบันจึงจะเข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี
ละกายธรรมพระสกิทาคามีจึงจะเข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี
ละกายธรรมพระอนาคามีจึงจะเข้าถึงกายธรรมอรหัต
ละเป็นชั้นๆ ด้วยวิธีการหยุดใจให้นิ่งๆ นุ่มๆ
แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พอถูกส่วนก็จะเคลื่อนเข้าไปเอง และก็ถอดออกเป็นชั้นๆ เลย
ไปเองเป็นตามลำดับ ถอดเป็นชั้นๆ ซึ่งก็มาจากจุดเริ่มต้น คือ ต้องทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
แล้วก็นิ่งอย่างเดียว
แม้เข้าไปสู่ภายในแล้ว ก็ยังต้องทิ้งทุกอย่าง
วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว จึงจะเข้าถึงดวงธรรม พอถึงแล้วก็ทิ้ง ต้องทิ้งทุกอย่าง
วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียวในกลางดวงธรรม ถึงจะเข้าถึงไปตามลำดับดังกล่าวนั่นแหละ
แต่ละดวงธรรม แต่ละกาย ก็แค่เป็นทางผ่านของใจที่ละเอียด
บริสุทธิ์ ลุ่มลึกลงไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทาง คือ ที่สุดแห่งธรรม
เราต้องมุ่งเข้าไปอย่างนี้ ใจต้องนิ่งอย่างเดียวเลย นิ่งในนิ่งๆ ต้องทำอย่างนี้
จับหลักของชีวิตให้ได้ หลักวิชชามีอย่างนี้ ต้องฝึกนิ่ง
ฝึกใหม่ๆ มันก็ติดๆ หลุดๆ พอเราฝึกบ่อยๆ มันก็หลุดตรงนั้น ติดตรงนี้
หลุดจากสิ่งที่หยาบกว่า เข้าไปติดสิ่งที่ละเอียดก็เป็นอย่างนี้เป็นชั้นๆ เข้าไป
เพราะฉะนั้น หยุดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หยุดใจ
เป็นตัวสำเร็จอย่างยิ่ง พอหลุดไปเราก็จะได้สิ่งที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า
ถ้าหลุดไม่ได้ มันก็ติดอยู่ตรงนั้น ใจก็หมกมุ่น วกวน พัวพัน วนไปวนมาอย่างนั้น
วนอยู่กับที่ก็ยังไม่มีปัญหา วนแล้วถอยหลังไปสู่ในภูมิแห่งความเสื่อมของกายและใจ เพราะฉะนั้นหยุดตรงนี้สำคัญนะจ๊ะ
ฝึกทิ้งทุกอย่าง ด้วยการให้
อย่าลืมคำว่า ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
นิ่งอย่างเดียว และก็นิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ คำว่า นิ่งในนิ่ง
มันจะมาภายหลังจากนิ่งแรก ซึ่งมันจะเป็นไปเอง เพราะมันจะมีแรงดึงดูดจากข้างใน
ที่มาพร้อมกับความชอบ ความพึงพอใจ มีฉันทะที่จะทำอย่างนั้น
มันจะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
ท่านผู้รู้ทั้งหลายท่านก็จะปล่อย วาง
คลายความผูกพันในสิ่งที่หยาบกว่า เพื่อไปสู่สิ่งที่ละเอียด ที่ประณีตกว่า เข้าไปเรื่อยๆ
ไปตามลำดับอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทำอย่างนี้
โดยท่านก็ต้องเริ่มทิ้งทุกอย่างทีละเล็กทีละน้อย
ด้วยการให้บริจาค หรือนำออก นำสิ่งที่ท่านติดยึดให้วกวนอยู่ในโลก ในภพ ในวัฏฏะ
ค่อยๆ ปลด ค่อยๆ ปล่อยไปด้วยใจเบิกบาน ยิ่งให้ ยิ่งเบิกบาน
ให้ในสิ่งที่ควรให้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นแหละ และบุคคลที่ควร ท่านก็ค่อยๆ ให้ ค่อยละ
ค่อยวาง
การให้ทีละเล็กทีละน้อยก็ถูกสั่งสมให้อยากให้มากขึ้น
และการให้ทีละเล็กทีละน้อย ก็แปรเป็นบุญกุศลที่เกิดขึ้น เพราะถ้าบุญไม่เกิดขึ้น การให้เกิดขึ้นได้ยาก
พอให้ไป บุญก็เข้ามาแทนที่ บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ก็จะไปดึงดูดให้เราได้ให้มากกว่าเดิมเพิ่มขึ้น คือเราได้มากขึ้น และก็ให้ได้มากขึ้นด้วยความสุขใจ
ให้ไปตั้งแต่ทีละเล็กทีละน้อย
จนกระทั่งท่านบริจาคทานอย่างที่เรานึกไม่ถึงว่า จะมีคนอย่างนี้ในโลก ให้ได้หมดโดยใจที่เป็นสุข
เบิกบานปีติ เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบแทนได้รับจากการให้นั้นเพิ่มพูนเข้าไปเรื่อยๆ
สุขนั้นมีปริมาณมากกว่าการติดยึด ซึ่งมีแต่ความกังวล
อานิสงส์การให้
แล้วก็มีอานิสงส์ หรืออานุภาพของผู้ให้
มันเกิดขึ้นหลายอย่าง นอกจากจะได้ในสิ่งที่ตัวชอบมากขึ้น เพิ่มขึ้น ยังได้ความรัก
ความภักดีจากผู้ที่ได้รับมากขึ้น เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ซึ่งทำให้การสร้างบารมีเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย หนทางที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางก็สั้นเข้า
กระชั้นเข้าไปเรื่อยๆ แล้วอัธยาศัยนี้ก็ติดเป็นจริตอัธยาศัย ในระดับแห่งพุทธจริต
แล้วก็ยังเป็นต้นแบบเมื่อนำมาถ่ายทอดให้กับผู้มีบุญในยุคหลังได้ดำเนินรอยตามได้
ดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ทำอย่างนี้ซ้ำๆ หลายๆ ชาติ ชาติเดียวก็ทำซ้ำๆ
หลายๆ ครั้ง จนกระทั่งนับครั้งไม่ถ้วน บุญก็ทับทวีเพิ่มมากขึ้น หนาแน่นขึ้น
คุ้นเคยขึ้น
การให้จึงเป็นเรื่องปกติของท่าน
แต่การไม่ให้ใครเลยกลายเป็นเรื่องผิดปกติของท่าน ท่านจะเป็นทุกข์ใจถ้าไม่ได้ให้
และคำว่า ไม่มีจะให้ ก็ไม่เกิดขึ้นกับท่านด้วย มันจะเป็นชั้นๆ ไปอย่างนี้แหละ
ด้วยอานุภาพแห่งบุญ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านก็ทำอย่างนี้เหมือนกันหมด
ต่างแต่มากหรือน้อยกว่ากัน ช่วงระยะเวลาแตกต่างกันเท่านั้น แต่วิธีการก็เหมือนกัน
ต่างแต่ยุคสมัย
เพราะฉะนั้น เมื่อเราฝึกทิ้งทุกอย่าง
วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว อะไรมันก็เป็นเรื่องเล็ก ใจก็เป็นสุข หัวใจก็จะขยาย
ผังแห่งบรมโพธิสัตว์ก็เกิดขึ้น
ยิ่งให้..ยิ่งหยุดนิ่งได้ง่าย ความรู้แจ้งยิ่งเพิ่มขึ้น
ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ให้
และเป็นปกติธรรมดาของผู้ให้ย่อมได้เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งก็จะเป็นแรงผลักดันสนับสนุนให้ใจหยุดนิ่งได้ง่าย
หยุดในหยุดได้ง่าย
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุด ไม่ยั้ง
ไปสู่ภายใน กว้างขวางไปเรื่อย สิ่งที่บดบังก็ถูกทำลาย ความเป็นจริงก็ปรากฏเกิดขึ้นในคลองแห่งธรรมจักขุ
ในสายตาที่เห็นได้รอบทิศ ทุกทิศทุกทาง ปีติสุขก็เกิดขึ้นเป็นชั้นๆ ไปเรื่อยๆ
ความเข้าใจแจ่มแจ้งในชีวิต ในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายก็กว้างขวางไปอีก
ในภพภูมิต่างๆ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ กว้างขวางไปเรื่อยๆ ในจักรวาลน้อยใหญ่
ทวีปน้อย ทวีปใหญ่อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ใจก็จะมุ่งมั่น ผูกพัน ศึกษาเรียนรู้ภายใน ซึ่งเป็นความรู้ที่ชวนติดตาม
มันมาพร้อมกับความสุข ความบริสุทธิ์ แจ่มแจ้งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งภพภูมิของนิพพาน
ภพ ๓ โลกันต์ ก็แจ่มแจ้งไปตามลำดับ เป็นชั้นๆๆ เข้าไป
ก็จะยิ่งได้เรียนรู้ว่า ยังมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ
สิ่งที่เราเรียนรู้มายังเป็นเพียงปริมาณน้อย
แต่มากกว่าสิ่งที่ชาวโลกที่ใจยังไม่หยุดนิ่งเรียนรู้ เหมือนเด็กๆ เรียนรู้ กับผู้ใหญ่เรียนรู้ในวิชาชาวโลกที่ยังไม่หยุดไม่นิ่ง
เรียนรู้วิชาที่เหมือนกับเด็กๆ เรียนหนังสือชั้นอนุบาล ประถมอย่างนั้น และก็วนๆ กันอย่างนั้น
ส่วนผู้ที่นิ่งไปถึงระดับนั้นก็เหมือนผู้ใหญ่ที่เรียนรู้ ที่จะก้าวไปสู่ทะเลแห่งความรู้ที่ไม่มีขอบเขต
ไปเรื่อยๆ ความลับก็ถูกเปิดเผยไปเรื่อยๆ เป็นชั้นๆๆ เข้าไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้นหยุดกับนิ่งสำคัญนะจ๊ะ
ต้องฝึกทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง แล้วก็นิ่งอย่างเดียว นิ่งไป เวลาที่เหลืออยู่นี้
เราฝึกนั่งนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจจะได้ใสๆ ใจยิ่งใสยิ่งมีความสุข
ยิ่งมีความบริสุทธิ์ ยิ่งแจ่มแจ้ง พอแสงสว่างเกิด ยิ่งเห็นแจ้ง ยิ่งรู้แจ้ง
ยิ่งแทงตลอด จะแทงตลอดไปในความรู้นั้น ในเรื่องราวต่างๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565