ฟื้นฟูการบวช๑พรรษา
วันอาทิตย์ที่
๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะ ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า สบาย
ผ่อนคลายสบาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะ ให้มีความรู้สึกว่า ผ่อนคลายจริงๆ เลย
ทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่ศีรษะเรื่อยมาเลยถึงพื้นเท้าของเรา ให้ผ่อนคลาย
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์
เป็นสิ่งของ ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ ให้ใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้ใจใสๆ ใจเย็นๆ
นึกถึงบุญ
นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมา
จะบุญที่สงเคราะห์โลก หรือทำบุญในแหล่งแห่งเนื้อนาบุญในพระพุทธศาสนา ทั้งทาน
ทั้งศีล ทั้งภาวนา เป็นต้น มารวมเป็นดวงบุญใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
แต่ว่าใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ให้นึกอย่างเบาๆ
สบายๆ ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ นึกง่ายๆ เป็นดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
แล้วก็เอาใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนา
ในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง
เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ที่กลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ภาวนา
สัมมาอะระหัง อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นะ
สำหรับบางคนที่คุ้นเคยกับการนึกถึงองค์พระ
เราก็นึกถึงองค์พระเป็นบริกรรมนิมิตก็ได้ จะเป็นองค์พระธรรมกายประจำตัวที่เราได้สร้างเอาไว้ที่มหาธรรมกายเจดีย์
จารึกชื่อของเรา หรือพระพุทธรูปที่เราเคารพกราบไหว้บูชากันอยู่ทุกคืนทุกวันนั่นแหละ
เอาองค์ใดองค์หนึ่งที่เรานึกได้ง่าย นึกถึงท่านออกเลย ง่ายๆ ก็ในทำนองเดียวกันนะ
น้อมท่านไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรานะ นั่งสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาอย่างนี้อย่างสบายๆ
มีอะไรให้ดู
ก็ดูไป
ถ้าชอบนึกถึงดวงใส
เราก็นึกถึงดวงใสๆ ถ้าชอบนึกถึงองค์พระ เราก็นึกถึงองค์พระดังกล่าวนะ นึกอย่างสบายๆ
คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเรานึกถึงดวงแก้ว
แต่กลับไปเห็นองค์พระ เราก็ดูองค์พระไป แต่ถ้าหากว่า เรานึกถึงองค์พระ บางท่านนึกถึงองค์พระแต่กลับไปเห็นดวงแก้ว
เราก็มองดูดวงแก้วไปเรื่อยๆ
แปลว่า
มีอะไรให้ดู เราก็ดูไป ดูไปด้วยใจสบาย เบิกบาน โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
ดูไปอย่างสบายๆ แล้วก็ภาวนา สัมมาอะระหัง เรื่อยไป
จนกว่าใจของเราไม่อยากจะภาวนาต่อไปอีก อยากจะดูแต่ดวง นึกถึงแต่ดวงใสๆ
หรือนึกถึงแต่องค์พระใสๆ อยากทำอย่างนี้อย่างเดียว ถ้าใจเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังอีก
ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
โดยมีวัตถุประสงค์ให้ใจหยุดนิ่ง นุ่ม เบาสบายที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านก็หยุดใจของท่านอยู่ที่ตรงนี้เรื่อยไปเลย
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีเว้นแม้แต่องค์เดียว ท่านก็ทำของท่านอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเดินตามรอยของท่านนะ
โอวาทเตรียมบวช # บวช ๒ ชั้นให้ได้
โดยเฉพาะผู้มีบุญที่จะมาอุปสมบทในโครงการ
๑,๐๐๐ รูป รุ่นสถาปนาล้านรูปต่อไปในอนาคต โดยเริ่มต้นที่จะเป็นพระพี่เลี้ยงให้กับผู้มีบุญที่จะมาบวช
๗,๐๐๐ รูป ๗,๐๐๐ ตำบล ตำบลละ ๑ รูป
ผู้ที่จะบวชเข้าพรรษานี้
และอยู่ตลอดจนครบถ้วนไตรมาสเพื่อภารกิจนี้ เพื่อเป็นทางมาแห่งบุญบารมีของเรา เพื่อการทำพระนิพพานให้แจ้ง
สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ของเรา และเพื่อเป็นบุญกุศลถึงบุพการี
บรรพบุรุษหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย สัมพันธชน จนกระทั่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็จะต้องตั้งใจมั่นอย่างสบายๆ
ว่า
เราจะบวชให้ได้ ๒ ชั้น บวชทั้งภายนอกและบวชภายใน บวชภายใน
คือ ทำใจของเราให้หยุดนิ่งจนกระทั่งเข้าไปถึงพระธรรมกายประจำตัว แปลว่า ธรรมกายที่อยู่ในตัวของเรา
เกตุดอกบัวตูมใสบริสุทธิ์ ใสเกินใส ยิ่งกว่าความใสใดๆ ในโลก สวยงามมาก
ที่ท่านสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ถ้าเข้าถึงท่านได้ เรียกว่า บวชภายใน เป็นพระภายในชั้นหนึ่ง
บวชภายนอก หรือบวชแบบญัตติจตุตถกรรม คือ เมื่อเราเข้าไปขอรับการอุปสมบทต่อพระอุปัชฌาย์ในพระอุโบสถ
สงฆ์ยกขึ้นมาเป็นพุทธบุตร ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์
มีสิกขาบทข้อวัตรปฏิบัติเหมือนพุทธบุตรทั้งหลาย
ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่า การบวชคราวนี้ เราได้บวชถึง ๒ ชั้น บวชทั้งภายในและบวชทั้งภายนอก
อานิสงส์การบวช
บวชภายนอกครบ ๑ พรรษา บำเพ็ญสมณธรรมเป็นพระแท้ อย่างนี้ก็จะได้อานิสงส์
บุญส่งผลให้ปิดอบาย ไปสวรรค์ถึง ๖๔ กัป บิดามารดาก็ได้ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ลดหลั่นไปตามลำดับสำหรับผู้ที่ได้ร่วมสนับสนุนการบวช
และร่วมอนุโมทนาสาธุการ แต่ถ้าหากว่า ได้บวชภายในด้วย บุญนั้นเป็น อสงไขยอัปปมานัง
แปลว่า มันมากว่า ๖๔ กัปหลายเท่านัก จนกระทั่งจะนับจะประมาณมิได้
เพราะฉะนั้น
ในช่วงนี้เป็นช่วงก่อนบวช ลูกทุกคนได้ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่งมาเพื่อภารกิจนี้ก็จะต้องบวช
๒ ชั้นให้ได้
มีความเพียร
ทำถูกหลักวิชชา
วันเวลาที่เหลืออยู่ก็เพียงพอต่อการเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
ถ้าลูกทุกคนทำอย่างถูกหลักวิชชา มีความเพียรทำตลอดเวลา ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน ในอิริยาบถต่างๆ
เหล่านั้น ด้วยใจที่เบิกบาน แช่มชื่น หยุดนิ่งอยู่ภายใน ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
นิ่งอย่างเดียว ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ
หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ อย่างสบายๆ ทั้งหลับตา ทั้งลืมตา ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน เห็นชัด
ใส แจ่มตลอดเลย
เวลาที่เหลืออยู่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกทุกคนสมความปรารถนาได้
ทั้งตัวเราเอง บุพการีของเรา หมู่ญาติและสาธุชนผู้มาร่วมอนุโมทนาบุญ รวมทั้งเทวดาทั้งหลายด้วย
เพราะฉะนั้นให้ลูกที่ตั้งใจจะมาบวชในโครงการนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก อยู่ในรุ่นที่สถาปนาบวช
๑ ล้านรูปต่อไปในอนาคต
ฟื้นฟูการบวช
๑ พรรษา
ยามใดที่ลูกระลึกนึกถึง
ความปลื้มปีติใจก็จะบังเกิดขึ้น ความภาคภูมิใจที่ว่าเกิดมาชาติหนึ่ง และได้บวชในรุ่นสถาปนาล้านรูป
โดยเริ่มต้นที่ ๑,๐๐๐ รูป ถึง ๑ พรรษา
แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีเป้าหมายที่แท้จริง คือ สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์
ทำพระนิพพานให้แจ้ง อย่างน้อยก็แสวงบุญสร้างบารมี
นึกแล้วก็จะปลื้มปีติและก็ภาคภูมิใจ
อีกทั้งจะเป็นกำลังใจ
และแรงบันดาลใจให้สังฆมณฑลได้ตื่นตัวในการที่จะเชิญชวน ผู้มีบุญทั้งหลายให้เข้ามาบวชให้ครบ
๑ พรรษาในปีหน้า หรือปีถัดๆ กันไป
การบวช ๑ พรรษาของลูกคราวนี้ มีผลต่อพระพุทธศาสนาและโลกใบนี้เป็นอย่างยิ่ง
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ส่วนมากมักจะบวชกันช่วงสั้น แค่ไม่กี่วัน ไม่กี่อาทิตย์
แล้วก็ลาสิกขากันไป แล้วก็กลับไปรำพึงกันว่า บวชแล้วไม่ได้อะไร จึงไม่เห็นความสำคัญของการบวช
ลูกทั้งหมดจะทำให้ผู้มีบุญทั้งหลาย
ชาวโลกทั้งหลาย ได้เข้าใจถึงการบวชว่า มีความสำคัญต่อตนเอง ต่อมวลมนุษยชาติและโลกใบนี้อย่างไร
เขาจะให้ความสำคัญต่อการบวชเข้าพรรษา ตลอดทั้งสังฆมณฑลและทั่วโลกก็จะเกิดขึ้นมา
ย้อนยุคในสมัยบรรพบุรุษของเรา
ปู่ย่าตายายของเราที่ได้บวชครบ ๑ พรรษาเป็นอย่างน้อย และจะเกิดแรงบันดาลใจให้บวชย้อนยุคไปถึงในสมัยพุทธกาลที่ บวชม้วนเดียวจบ คือ
เมื่อตั้งใจจะทำพระนิพพานให้แจ้ง ให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ก็จะมุ่งมั่นบวชเพื่อการนั้นอย่างเดียว
เป็นการบวชที่แท้จริงตามพุทธประสงค์ หรือความประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะบังเกิดขึ้นในยุคของเรานี่แหละ
๑,๐๐๐ รูป ที่ลูกอยู่ในโครงการนี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับยุคนี้
และยุคต่อไปในอนาคต
ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
ลูกทุกคนก็จะต้องประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา ให้สมกับที่เราได้ตัดสินใจมาเพื่อการนี้
ทิ้งทุกอย่าง
ก็ต้องทิ้งทุกอย่างจริงๆ วางทุกสิ่ง ก็ต้องวางทุกสิ่งจริงๆ คลายความผูกพันทั้งหมด เหมือนเราได้ตายจากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว
สมบัติของเราก็มีแค่ร่างกาย จิตใจ และศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา มีเพียงแค่นี้ ภายนอกก็มีแค่บริขาร ๘ เท่านั้น
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของสมณะ ชีวิตของเราก็มีเพียงแค่นั้น
สภาวธรรมภายใน
แล้วใจของลูกก็จะปลอดโปร่ง
โล่ง เบา สบาย คลายกังวล ใจก็จะใสๆ มุ่งเข้าไปสู่ความบริสุทธิ์ภายใน ความบริสุทธิ์ภายในจะเป็นรางวัลให้ลูกได้พบ
ได้ประสบ ได้สัมผัส ได้เข้าถึง เพราะความสุขที่เกิดจากความบริสุทธิ์นั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราเข้าใจในแต่ก่อนโน้น
ก่อนที่เราจะมาบวช มันยิ่งใหญ่มหาศาลจริงๆ
และความบริสุทธิ์ก็จะดึงดูดความบริสุทธิ์ต่อๆ
กันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เราเห็นความบริสุทธิ์ภายในเป็นดวงใส เป็นกายใสๆ
เป็นองค์พระใสๆ องค์พระในองค์พระก็จะผุดผ่านเข้ามาในกลางกายของเรา เพราะผู้บริสุทธิ์ก็จะอยู่ในหมู่ผู้ที่บริสุทธิ์
ผู้บริสุทธิ์ภายในก็จะผุดผ่านมาในกลางกายของเรา เป็นองค์พระในองค์พระ
ในองค์ก็มีองค์พระผุดขึ้นตรงกลางของท่าน
ของแต่ละองค์ องค์แล้วองค์เล่าผุดกันต่อๆ กันมา ใสๆ องค์แรกก็ขยายหายไป องค์ใหม่ก็ผุดผ่านขึ้นมาอีกทีละองค์สององค์
สามองค์เรื่อยไป ใจเราก็ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้น บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ปีติสุขนั้นก็จะหล่อเลี้ยงใจ
ร้อยไส้กลางใจของเรา ในแกนกลางของใจเรา เป็นความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย
และเราก็จะเริ่มเข้าใจความสำคัญ ความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา
ความมหัศจรรย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของพระองค์ แล้วก็พระสาวกของพระองค์ที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนพระองค์จนกระทั่งบรรลุธรรมตามไป
มีประสบการณ์ตามไปเช่นเดียวกับพระองค์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
องค์พระก็จะผุดผ่านในสายธารแห่งความบริสุทธิ์ที่อยู่กลางกาย
เป็นแนวดิ่งที่เริ่มต้นจากศูนย์กลางกาย กลางท้องของเรา จะมีแต่องค์พระผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
สมกับคำว่า อริยมรรค เป็นเส้นทางของพระอริยเจ้าจริงๆ คือ พระอริยเจ้าท่านจะผุดผ่านมาทางนี้
ผ่านมาทางแนวดิ่งตรงกลาง ผ่านมาซ้อนมาเป็นหนึ่งเดียวกับตัวของเรา องค์แล้วองค์เล่า
มีแต่พระอริยะเป็น
พระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูมที่ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
องค์โตใหญ่หนักยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ผุดผ่านมาเรื่อยๆ เลย ผ่านมาตรงกลางกายของเราในเส้นทางสายเอกสายเดียว เพราะว่ามีอยู่เส้นเดียว ตรงกลาง ไม่มีสองสาย
อยู่ตรงกลาง สายข้างๆ ไม่มี
มีพระอริยเจ้าเกิดขึ้นเยอะแยะ
อริยมรรคทางของพระอริยเจ้า ไม่ใช่เป็นเฉพาะ คำว่าอริยมรรค หนทางของพระอริยเจ้าอย่างที่เราเคยเข้าใจ
แต่เห็นพระอริยเจ้าผุดผ่านในเส้นทางสายนี้ตรงกลางจริงๆ ในแนวดิ่ง แล้วก็ขยายไปรอบตัวทุกทิศทุกทางเลย
ในอิริยาบถของสมาธิ ไม่มีการยืน ไม่มีการเดิน ไม่มีการนอน เพราะว่าไม่มีกิจที่จะต้องทำแบบมนุษย์
มนุษย์สังขาร
กายมนุษย์ยังมีปวด
มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย มีขับถ่าย
ก็ต้องเคลื่อนไหวกายกันไปในอิริยาบถนั่งนอนยืนเดิน
แต่พระอริยเจ้าพ้นจากกิจเหล่านี้แล้ว มีอิริยาบถเดียว คือ อิริยาบถนั่งสมาธิ
ผุดผ่านเข้ามาตรงกลางองค์แล้วองค์เล่าจนกระทั่งเป็นร้อยองค์
พันองค์ หมื่นองค์ แสนองค์ ซ้อนๆ ต่อเนื่องจนกระทั่งเป็นสายขององค์พระที่ใสๆ
สวยงามมาก ผุดเป็นแท่งขึ้นมาเลยเหมือนเราเคยเห็นตึกคอนโด เขาสร้างหลายๆ
ชั้นเป็นแท่งขึ้นมา แต่นี้เป็นองค์พระที่ผุดซ้อนๆ ซ้อนกันมาตลอดทางของพระอริยเจ้า
อริยมรรคที่อยู่ตรงกลาง ทางสายกลางที่เราคุ้นกับคำว่า มัชฌิมา
ตรงนี้แหละ ผุดผ่าน แต่ว่าเป็นมัชฌิมาภายใน ผ่านมาตรงนี้เลย ใจเราจะยิ่งใส
สะอาดบริสุทธิ์ สงบ เย็นสบาย สว่างเกิดขึ้นในตัวของเรานะจ๊ะ
หาอริยทรัยพ์ให้เจอ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เตรียมตัวจะบวชก็หมั่นศึกษา และก็ฝึกฝนจนกระทั่งองค์พระผุดผ่านในตัวของเราให้ได้อย่างนี้นะ
หรืออย่างน้อยก็เป็นดวงใสๆ ใสเหมือนกับเพชรใสๆ ที่เราจะให้โตขนาดไหนก็ได้ เป็นเครื่องปลื้มใจทีเดียว
พอเห็นแล้วปลื้มของท่านผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เหมือนเรามีทรัพย์ภายใน
ปลื้มอกปลื้มใจอยู่ในตัว เขาเรียกว่า อริยทรัพย์
เกิดขึ้นอยู่ภายใน เราจะดูดวงนี้ให้ใสๆ ทำนองเดียวกับดูองค์พระก็ได้
ทำอย่างนี้
แค่นี้ เท่านั้น การมาบวชในคราวนี้ลูกก็สมหวัง บิดามารดา หมู่ญาติ
ครอบครัวก็สมหวัง ผู้สนับสนุน ผู้ร่วมอนุโมทนาสาธุการก็สมหวัง มีส่วนแห่งบุญตรงนี้ด้วย
สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ สัตว์สองเท้า สี่เท้า สัตว์มีเท้ามากเท้าน้อย
กระทั่งไม่มีเท้ามากมาย ทั้งสัตว์ที่เกิดในกำเนิดทั้งสี่ เกิดแบบเทวดาอย่างนั้น เกิดในฟองไข่
เกิดจากเหงื่อไคล เกิดในครรภ์มารดา เกิดแบบไหนก็เป็นที่น่ายินดีที่ลูกเข้าถึงธรรม
และเมื่อเขาร่วมอนุโมทนาสาธุการก็มีส่วนแห่งบุญตรงนี้
แปลว่า กระแสธารแห่งบุญนี้เริ่มต้นจากลูกทั้งหมดนี่แหละ
เป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
แล้วก็ขยายกระแสธารแห่งบุญไปยังสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลายโดยรอบ เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องมุ่งมั่นให้สมกับความตั้งใจที่ดีในการมาบวชในคราวนี้
๑
พรรษา ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว ออกพรรษารับกฐิน แล้วใครจะลาสิกขาก็ว่ากันไป
ใครไม่มีภาระทางโลกเราก็อยู่กันไป สั่งสมบุญบารมี ทำหนทางสวรรค์ให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา
และก็ปลูกเชื้อสายแห่งมรรคผลนิพพานไว้ในตัว สะสมให้เพิ่มขึ้น สั่งสมบุญบารมีเนกขัมการบวชให้มากเข้าๆ
ช่วงสั้น ๑ พรรษา พอบารมีแก่กล้าก็จะได้บวชช่วงยาวหลายๆ พรรษา จนกระทั่งบวชหมดอายุขัย
ก็เป็นไปตามกำลังบารมีที่เราสั่งสม
เวลาที่เหลืออยู่นี้ก็ให้ลูกทุกคนหยุดใจนิ่ง
นุ่ม เบาสบาย ทั้งผู้ที่กำลังจะบวช และผู้ที่ได้มาร่วมอนุโมทนา ได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร
เป็นผู้ให้แสงสว่าง เป็นประดุจสะพานแก้วเชื่อมโยงทุกคนไปสู่อายตนนิพพาน ก็ให้ตั้งใจตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใส หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ หยุดในกลางองค์พระใสๆ กันทุกคนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
ทำสบายๆ
ทำสบายๆ
นะจ๊ะ อย่าไปเพ่งไปจ้อง อย่าไปเค้นภาพ ให้ปรือๆ ตา หลับตาพริ้มๆ จะได้นึกด้วยใจ
เห็นได้หรือนึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นไปก่อนนะ ได้ ๕ % ๑๐
% ๒๐ % ๓๐ อะไรไปนี่ ค่อยๆ ใจเย็นๆ
ใจใสๆ แล้วผ่อนคลายไปด้วย ต้องทำอย่างนี้นะ
สบายๆ ผ่อนคลาย ใจใสๆ ใจเย็นๆ เบาๆ สบายนิ่งๆ นุ่มๆ มันต้องเบาๆ เสียด้วย
ต้องสบายๆ มันถึงจะนิ่งได้ พอนิ่งเดี๋ยวความสุขก็จะมาติดเรา
คือยิ่งสบายกายสบายใจจริงๆ เพิ่มขึ้น เดี๋ยวความสว่างก็เกิด
ภาพตามมาก็เห็นเป็นขั้นเป็นตอนไป
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565