อย่าให้หาย
วันอาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย–ปรับใจ–วางใจ
ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า
สบาย ผ่อนคลายจริงๆ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
บริกรรมนิมิต
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ หรือจะตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ให้ค่อยๆ นึก นึกง่ายๆ สบายๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ใจเย็นๆ
การเห็นภาพภายใน
ใจเย็นๆ
สำคัญนะลูกนะ เพราะว่าการเห็นภาพภายในนั้นแตกต่างจากการเห็นภายนอกในเบื้องต้น คือ การเห็นภาพภายในจะยังไม่ชัดเจนมาก
ไม่เหมือนตาเนื้อที่เราลืมตาดู คนสัตว์สิ่งของจะเห็นได้ชัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย
แต่สำหรับนักเรียนใหม่
นึกใหม่ๆ จะยังไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็ทำความรู้จักภาพที่จะเกิดขึ้นภายในกับภายนอกว่าต่างกันอย่างนี้
กับยอมรับสภาพว่าเราจะไม่ได้อะไรดังใจทุกอย่าง ภาพภายในจะให้ชัดเจนทันที ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นานๆ
ก็จะเจอสักคนหนึ่ง แต่ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์มักจะค่อยเป็นค่อยไป
เพราะฉะนั้น
เราก็ต้องใจเย็นๆ จะนึกดวงแก้วก็ดี องค์พระก็ดี มันก็ค่อยเป็นค่อยไป เราก็จะต้องทำใจให้ใส
ให้เยือกเย็น นึกไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง อย่างเบาๆ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พอถูกส่วนก็จะเห็นเอง
เป็นเอง เห็นได้ชัดเหมือนกับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอกอย่างนั้น จะค่อยๆ ชัดขึ้นๆ
ฝึกปฏิบัติให้สม่ำเสมอ
ทำซ้ำๆ ทำทุกอิริยาบถ ทั้งนั่งนอนยืนเดินในทุกๆ กิจกรรม กิจวัตรกิจกรรมก็ทำไป เพราะสิ่งที่เราจะได้รับตอบแทนนั้นมันสุดคุ้ม
คุ้มเกินคุ้ม คือ นำมาซึ่งความสุข ปีติสุข เบิกบาน ความสว่าง
เห็นแจ้งรู้แจ้งในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับตัวเรามาก
บริกรรมภาวนา
ดังนั้น
ก็ต้องค่อยๆ นึก ค่อยๆ คิดไป ทำใจให้หยุดนิ่ง นุ่ม เบา สบาย ให้ใจหยุดในหยุดๆ นิ่งในนิ่ง
นุ่มๆ เบาๆ สบายไปที่กลางดวงใสๆ องค์พระใสๆ
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ
ประคองใจไปอย่างนี้
พอใจเราถูกประคองจนหยุดนิ่งแล้ว
คำภาวนาจะหายไปเอง ตัวจะโล่งๆ โปร่งเบาสบาย ตัวจะขยายหายไป กลืนไปกับบรรยากาศ จะเห็นแต่ดวงใสๆ
หรือองค์พระใสๆ ติดอยู่ตรงกลางนะ ๖๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง ชัด ๗๐, ๘๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง เราก็หยุดนิ่งไปเรื่อยๆ
นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ฝึกแปะภาพไว้กลางกาย
#อย่าให้หาย
ดูไปเฉยๆ
ดูธรรมดา เดี๋ยวก็จะชัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เอง จะชัดแจ่มกระจ่าง ใสบริสุทธิ์ ทีนี้เมื่อเห็นชัดอย่างนี้แล้ว
ก็อย่าชะล่าใจ อย่าประมาท เพราะถ้าจิตของเราหยาบไปเกาะเรื่องอื่นก็จะเลือนหายไปได้
ความชัดจะหรี่ลงมา แต่ชีวิตประจำวันเราต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขาย
ต้องศึกษาเล่าเรียน เพราะมันเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตส่วนหยาบ แต่ส่วนละเอียดก็มีความจำเป็น
ฉะนั้น
ภาพที่เราเห็นตอนเราหลับตานั่งสมาธิ พอเราได้แล้ว อย่าให้มันเลือนหายไป
แม้ต้องทำกิจวัตรกิจกรรมอย่างอื่นในชีวิตประจำวัน เราก็แปะภาพนี้ติดไว้ ต้องหมั่นประคับประคองไปในทุกอิริยาบถ
ฝึกให้ชำนาญในทุกกิจวัตรกิจกรรม เหมือนเราเอาภาพแปะติดเอาไว้ด้วยกาวอย่างดี ให้เราสมมติอย่างนั้น
ฝึกหลับตา
ลืมตา ให้เห็นชัดเท่ากัน ลืมตาก็ชัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หลับตาก็ชัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นั่งนอนยืนเดินก็ยังชัดเท่ากัน
ทำจนกระทั่งกิจวัตรกิจกรรมหลับตาลืมตาไม่เป็นอุปสรรคต่อการตรึงภาพด้วยใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนให้ชำนาญ
เพราะจะมีเรื่องที่ทำให้ใจเราหยาบเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเลย
ตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง
เรื่องสิ่งแวดล้อมสารพัด จากภายในตัวเราเองบ้าง ภายในบ้านบ้าง นอกบ้านบ้าง ตามถนนหนทาง
ที่ทำงาน สถานที่ต่างๆ ที่เราไป หรือสถานการณ์ของสังคมบ้านเมือง โลก ดินอากาศฟ้า
อะไรต่าง ๆ จะชวนให้ใจเราหลุดออกไป และก็หยาบ
ถ้าเราประมาท
ไม่ตรึกเอาไว้ ไม่แปะภาพติดไว้ก็จะหลุดไป มันจะหลุดไปทีละน้อยอย่างที่เราไม่รู้ตัว
ถ้าชะล่าใจ ไม่ฝึกซ้ำๆ ก็จะหลุดไปเยอะขึ้น ในที่สุดจะหลุดไปเลย
ภาพที่เราเคยเห็นก็จะหายไปเอง จิตก็จะเข้าสู่สภาวะหยาบ เหมือนก่อนที่เราจะฝึกฝนหยุดใจนั่นแหละ
เท่ากับเราสูญเสียสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องฝึก
อานิสงส์
การแปะภาพไว้กลางกาย
ถ้าเราแปะภาพติดได้ก็จะบรรเทาความหยาบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมชีวิตประจำวัน
กิจวัตรกิจกรรมอะไรต่างๆ จะบรรเทาลง เพราะยังมีที่ยึดแบ่งไว้ข้างใน คือที่ภาพ ที่เราตรึงไว้ครึ่งหนึ่ง
ออกไปข้างนอกครึ่งหนึ่ง
จากครึ่งหนึ่ง
ข้างใน ๕๐ เปอร์เซ็นต์นี้ก็จะเกื้อกูลให้ชีวิตประจำวันเราสมบูรณ์ขึ้นอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย
มันจะปรับระบบความคิด คำพูด และการกระทำของเราให้มีประสิทธิภาพ
มีพลังที่จะนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ในธุรกิจการงานได้ง่ายกว่าที่มันหลุดออกไปเลยอย่างที่เราเคยเป็นมาก่อนที่เราจะฝึกเจริญสมาธิภาวนา
จะมีทั้งบุญละเอียดที่เรายังมองไม่เห็นซึ่งส่งกระแสไปขจัดอุปสรรคของชีวิต
หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ร้ายกลายเป็นดี ดีเป็นดีเลิศเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าเราทำได้อย่างนี้
พอถึงเวลาที่เรามาหลับตาเจริญสมาธิในช่วงที่เรากลับบ้าน กลับจากที่ทำงานแล้ว การเข้าไปสู่ภายในก็จะง่ายขึ้น
สำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ก็จะง่ายขึ้น คือจะใช้เวลาน้อยลงในการเข้าไปสู่ภายใน โดยมีจุดเริ่มต้นจากภาพภายในดวงใส
องค์พระใสๆ ที่เราตรึงเอาไว้ แปะติดเอาไว้ มันจะดูดเข้าไปเลย และก็สงบนิ่ง นุ่ม
นาน ก็จะชัดในชัด ใสในใส สว่างในสว่างเพิ่มขึ้น
คราวนี้ดวงใส
หรือองค์พระก็จะขยายใหญ่ขึ้นได้ ย่อได้ ขยายได้ เราก็มีที่เหลาใจ ที่จะ Exercise ออกกำลังกาย กำลังใจภายใน ที่เรียกว่า ฌานกีฬาได้ คือ ดูภาพภายในที่เป็นไปตามความปรารถนาของเรา
จะให้ดวงเล็กก็เล็ก ให้ดวงขยายก็ขยาย ให้องค์พระเล็กก็เล็ก ให้องค์พระขยายก็จะขยาย
และไม่ใช่เป็นไปเฉพาะภาพที่ขยายหรือย่อลงเท่านั้น
แต่ใจของเราจะถูกขัดเกลาให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น จะใสๆ ความหยาบของใจจะถูกละลายไป
เหลือแต่ใจที่ใส ละเอียด และก็นิ่งแน่น
นุ่มนวลในระดับควรแก่การงานที่จะน้อมเข้าไปสู่ภายใน
จากที่เราขยาย
ย่อ ก็กลายเป็นดำดิ่งเข้าไปสู่ภายใน คือ กลางดวงจะให้มีอีกดวงหนึ่ง ก็ได้ ซึ่งมันเกิดขึ้นเองก็ได้
จากจุดเล็กใสๆ กลางดวงนั้นจะขยายมาเป็นดวงใหม่ หรือกลางองค์พระก็เหมือนกัน
ก็จะขยายมาเป็นองค์พระใหม่ที่ใสๆ
นำความบริสุทธิ์
สุข สดชื่น มาให้แก่กายและใจของเราเพิ่มขึ้น นำความละเอียดมาสู่ใจเรา นำพลังใจ
กำลังใจที่อยากจะสร้างความดี อยากจะเอาชนะความชั่วสิ่งไม่ดี จะเพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ
ใจก็จะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น
แล้วก็จะเดินทางเข้าไปสู่ภายใน
เหมือนตัวเราเคลื่อนเข้าไปด้วย จะขยายกว้างออกไป และเหมือนเราเดินทางกลางอวกาศที่ละเอียด
บริสุทธิ์ เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ จริงๆ ต่างจากอวกาศที่เราคุ้นเคยที่เคยได้ยินได้ฟัง เคยเห็นภาพ
คือมันจะโล่ง เย็นสบาย
ในกลางว่างๆ
นั้นก็จะมีดวงในดวง องค์พระในองค์พระที่ใสๆ ผุดผ่านเข้ามา ท่านจะผุดขึ้นมาแล้วก็ผ่านไป
องค์แล้วองค์เล่า ดวงแล้วดวงเล่า ใจก็จะยิ่งใส ละเอียด นุ่มนวล มีความสุข สดชื่น
เบิกบานอยู่ภายใน
ในระดับที่สามารถอยู่ตามลำพังได้
เป็นอยู่ได้ด้วยตัวเอง เป็นสุขที่เรียกว่า สุขสันโดษ
ความสันโดษเป็นสุข เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คือ ความรู้สึกว่าเราจนยาก จนไม่มี
เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา และไม่รู้สึกยากจน อัตคัด ลำเค็ญ ทุรกันดารอะไรต่างๆ จะมีความปลื้มปีติลึกๆ
หล่อเลี้ยงใจ เหมือนปีติสุขเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ คล้ายๆ น้ำหล่อเลี้ยงดอกไม้ เราจะดูดอกไม้หรือต้นไม้ต้นไหนที่สดใสผลิดอกออกใบดูสดใส
น่าดู น่าดม น่าสัมผัส นั่นละแปลว่ามีน้ำหล่อเลี้ยงข้างในติสุขของใจก็เหมือนกัน
มันจะหล่อเลี้ยงข้างในชุ่มชื่น และจะขยายไปสู่ระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้ชุ่มชื่น
สดชื่น เบิกบาน
องค์พระยิ่งผุดผ่าน
ใจก็ยิ่งใส เราก็ทำซ้ำๆ ไปถึงจุดที่ผุดแล้ว ไม่ใช่ผ่านนะ ผ่านจนเราคุ้นเคย และก็เป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระที่ผุดขึ้นมา
ดวงที่ผุดขึ้นมา จะเป็นสิ่งนั้นเลย เป็นดวงเป็นองค์พระใสๆ ยิ่งถ้าเป็นจริงๆ ละก็ ปีติสุขจะยิ่งกว่านั้นอีก
มีความสุข ความเป็นหนึ่ง เอกัคตาเป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขา คือ จะเฉยๆ แล้วสุขมากๆ เพราะขนาดท่านผุดผ่าน
เรายังปีติสุขขนาดนั้น นี่ผุดขึ้นมาแล้วไม่ได้ผ่าน มาเป็นเลย ยิ่งสุขยิ่งขึ้น นิ่งแน่นยิ่งขึ้น
เอกัคตาในเอกัคตา อารมณ์ดีอารมณ์เดียว อารมณ์สดชื่นเป็นหนึ่ง
ตอนนี้อะไรก็ง่ายแล้วแหละ
ในการที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็เป็นขั้นเป็นตอนไป
เวลาหลับก็จะหลับเป็นสุขอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญ สุขอยู่ภายใน
ชีวิตนักบวชประเสริฐที่สุด
ถ้าบวชเป็นพระก็จะทำได้ง่ายกว่าตอนเป็นคฤหัสถ์
เพราะชีวิตพระมีเครื่องกังวลน้อยกว่า คฤหัสถ์จะมีปัญหาและแรงกดดัน ต้องทำมาหากิน
ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี ต้องดูแลทั้งตัวเอง ครอบครัว ดูทั้งบ้าน ทั้งคนในบ้าน
นอกบ้าน ที่ทำงานเยอะแยะ แม้ว่าจะมีเวลาแปะติดภาพอยู่กลางกาย นั่งเช้า นั่งก่อนนอนก็ตามเถอะ
แต่ก็น้อยกว่าชีวิตของนักบวช
ชีวิตของพระจะมีเวลาว่างมากกว่านี้
เพราะกิจที่จะต้องทำแบบคฤหัสถ์ไม่มี จะปลอดกังวลจากเครื่องพันธนาการชีวิตไปในระดับหนึ่ง
จะมีเวลาว่างมากกว่าเพื่อที่จะบำเพ็ญสมณธรรม
คือข้อปฏิบัติสำหรับชีวิตสมณะที่จะทำให้กายวาจาใจสะอาดบริสุทธิ์ สงบนิ่ง เยือกเย็น
เรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตภายในที่ถูกปกปิดเป็นความลับมายาวนาน ก็จะมีเวลามากกว่า
ชีวิตของบรรพชิตนี้เป็นชีวิตที่สูงส่ง
เฉพาะผู้มีบุญมีบารมีที่ผ่านชีวิตของคฤหัสถ์มามากเพียงพอจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
ถึงเวลาที่จะต้องก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ที่ยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น เรียนรู้ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น
ชีวิตของบรรพชิตจะมีเวลาทำหยุดทำนิ่งได้มาก ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งก็ยิ่งดิ่งไม่หยุดเลย เข้าไปสู่ภายใน
เดี๋ยวก็เห็นกายมนุษย์ละเอียด เห็นตัวเอง เห็นกายทิพย์ซ้อนๆ อยู่
เป็นความมหัศจรรย์ที่หลายพันล้านคนในโลกเขาไม่เห็นกัน แต่เราเห็นชีวิตภายใน
กายมนุษย์ละเอียด
ชาวโลกส่วนมากเขาจะเห็นกายมนุษย์ละเอียดตอนเขาหลับฝันไป
แต่ไม่รู้จักว่า เป็นกายฝัน เหมือนตัวเราเองออกไปทำหน้าที่ฝัน ตื่นขึ้นมา เราก็ยังระลึกได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ว่ากายนั้นเวลาตื่นอยู่ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จัก
แต่ถ้าหากว่า เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดได้ จะมีความรู้สึกปีติสุข
ภาคภูมิใจว่า คนอย่างเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดได้
มีชีวิตที่สูงส่งกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ไปอีกเท่าตัว อีก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นกายภายในที่เรารู้จัก
เป็นชีวิตภายในที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตภายนอกมากเพิ่มขึ้นว่า กายมนุษย์หยาบเหมือนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยชั่วคราว
เป็นการรวมประชุมของหมู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บรรยากาศ ให้กายละเอียดอยู่
เพราะฉะนั้น
ความผูกพันเกี่ยวกับเรื่องกายมนุษย์หยาบ
หรือสิ่งที่เนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบก็จะบรรเทาไป ก็จะคลายความผูกพันได้เพิ่มขึ้น เพราะเข้าใจขึ้น
เข้าใจเพราะเห็นแจ้ง เห็นแจ่มแจ้งว่า มีกายมนุษย์ละเอียด
และเราเป็นกายมนุษย์ละเอียด และยังได้ศึกษาภพภูมิของกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียดเขามีภพภูมิกันเป็นอย่างไร
ตื่นอยู่ตรงไหน หลับไปอยู่ตรงไหน
กายทิพย์
ถ้านิ่งต่อไปก็จะเข้าไปถึงกายทิพย์
เป็นกายสุคติภูมิที่ซ้อนๆ อยู่ภายใน เป็นกายที่จะอยู่ในเทวโลก กายมนุษย์หยาบกับกายมนุษย์ละเอียดไปอยู่ไม่ได้
เราก็จะรู้จักชีวิตของกายทิพย์อีกระดับหนึ่ง
ก็จะมีสังคมของกายทิพย์ ภพของกายทิพย์ เรื่องราวของกายทิพย์ นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์ของตัวเราเอง
เพราะฉะนั้นความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตก็จะค่อยๆ ถูกเปิดเผยทยอยขึ้นตามความเพียรที่เราทำอย่างถูกหลักวิชชา
อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น หลวงปู่หลวงตาที่ท่านอยู่ตามป่าเขา
ห้วย หนอง คลอง บึง ตามลำพังทำไมท่านไม่เหงาหรือทำไมท่านอยู่ได้ ทั้งๆ ที่อัตคัดขัดสนด้วยปัจจัยสี่
แต่ท่านก็ไม่มีความรู้สึกว่าท่านขัดสน ไม่มีความรู้สึกเหงา มีแต่รู้สึกเป็นสุขที่เกิดจากความวิเวก
กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก และก็มีภาพภายในให้ดู
มีเรื่องราวภายในให้ศึกษาเรียนรู้
ชีวิตของพระจะมีโอกาสได้กว้างขวางกว่าในการที่จะศึกษาเรียนรู้กับสิ่งเหล่านี้
กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กายธรรม เป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ
เลย จะมีปีติ มีสุข มีความเบิกบานชุ่มชื่นอยู่ในตัว มีความรอบรู้ที่กว้างขวางขึ้น มีกำลังบุญที่เพิ่มขึ้น
ในทุกๆ ครั้งที่ได้บำเพ็ญสมณธรรม ถึงเป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ
บุญธาตุจะมารวมประชุมอยู่กับพุทธบุตรที่บำเพ็ญสมณธรรม
บุญก็จะเกิดขึ้นมากมายเป็นสายบุญ บารมีก็จะเกิดขึ้น เนกขัมมบารมี การบวช
ผังแห่งการบวชก็จะถูกสั่งสม สะสมเพิ่มเติม เหมือนเราออมทรัพย์อย่างนั้นแหละ มากเข้าๆ
หนาแน่น ตั้งแต่บวชช่วงสั้นก็จะต้องทำให้เราบวชได้ยาวขึ้น จนกระทั่งถึงตลอดชีวิตได้อย่างมีความสุข
ปีติ เบิกบาน ชุ่มชื่น
ชีวิตสมณะจึงเป็นชีวิตเฉพาะผู้มีบุญ ที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้เยอะแยะ
ความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุปมาเหมือนใบไม้ในกำมือกับใบไม้ที่อยู่ในป่าประดู่ลาย
พุทธบุตรก็สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ เพราะมีเวลาว่างจากเครื่องพันธนาการของชีวิตมากกว่าคฤหัสถ์
ก็จะได้บำเพ็ญสมณธรรม ศึกษา ฝึกฝน เรียนรู้ แล้วก็สั่งสอนผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ เต็มกำลัง
มีปีติสุขอยู่ข้างใน
การที่เราจะแจ่มแจ้งอะไรสักเรื่องหนึ่ง
ต้องมีกำลังบุญบารมีมาก และเมื่อถึงจุดที่แจ่มแจ้งได้ก็มีปีติสุขมาก เบิกบานว่า เราประสบความสำเร็จในชีวิต
ที่แตกต่างจากชีวิตของคฤหัสถ์ของชาวโลกทั่วๆ ไป เรามีความรู้เพิ่มขึ้น เหมือนออกสู่ทะเลลึก
ทะเลแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งในเรื่องราวของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายกว้างขวางขึ้น
เป็นทะเลที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีฝั่ง ก็ศึกษาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ บุญก็เพิ่มขึ้นๆ ถ้ายังดับกิเลสไม่ได้
ยังไม่หลุดพ้น ทิพยสมบัติที่เกิดขึ้นในเทวโลกก็จะยิ่งใหญ่โอฬารตระการตามากมาย
สิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้รู้ คือ อยากไปเป็นสมณเทวบุตร
เป็นเทพบุตรที่เป็นพระ แต่มันไม่ใช่ง่าย ส่วนมากมักจะเป็นเทพบุตรที่มีบารมีเยอะๆ
และก็ยังบำเพ็ญธรรม แบบสมณธรรมอยู่ แต่ว่ากายยังเป็นเทพบุตรอยู่
เหมือนผู้ที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
แม้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วก็ยังเป็นเทพบุตร
มีสิ่งที่เราอยากศึกษาเรียนรู้เพิ่มขึ้นเยอะ
เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตของบรรพชิตกว้างขวางกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ที่อึดอัดคับแคบกว่า
แต่ชีวิตสมณะจะกว้างกว่าเยอะทีเดียว
เวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ลูกทุกคนหยุดใจนิ่งนุ่มเบาสบาย ดูดวง ดูองค์พระให้ใสๆ ฝึกบ่อยๆ ซ้ำๆ สักวันหนึ่งเราก็จะได้เรียนรู้ความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เช่น วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิโมกข์ ๘ จรณะ ๑๕ ค่อยๆ
ศึกษาเรียนรู้กันไปทีละเล็กทีละน้อยแต่ต้องมีดวงใส องค์พระใสๆ แปะติดตรงกลาง
หลับตา ลืมตา นั่งนอนยืนเดินก็ให้ชัดใสแจ่มตลอดเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่นี้
ให้ลูกทุกคนนั่งหยุดใจนิ่ง นุ่ม เบา สบาย ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565