การเหลาใจ
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่าผ่อนคลาย
สบาย
ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ให้เลือดลมเดินได้สะดวกจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย แล้วก็ผ่อนคลาย
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งอยู่ในกลางท้องเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือนะ
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมา
บุญเล็กบุญน้อย บุญใหญ่ บุญปานกลาง บุญทุกชนิดมารวมเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือในกลางท้องของเรา อย่างเบาๆ สบายๆ
เป็นดวงบุญใสๆ
ที่ใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ก็ใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
ให้นึกเบาๆ สบาย ควบคู่กับการหลับตาให้เป็น ให้ Soft, soft นุ่มๆ
ละมุนละไม ใจก็ให้ใสๆ เยือกเย็น
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ใครคุ้นเคยกับการนึกองค์พระธรรมกายประจำตัว
ที่เราได้จารึกชื่อของเราไว้ที่ฐานองค์พระ เพื่อนำไปประดิษฐานที่มหาธรรมกายเจดีย์ จะนึกองค์พระสีทององค์นั้นก็ได้
แต่ต้องเบาๆ นึกเบาๆ หลับตา Soft, soft นุ่มๆ ละมุนละไม ใจก็ให้ใสๆ เยือกเย็นนะ
นึกเอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคย
ใจจะได้มีที่ยึดที่เกาะ เพื่อจะให้นิมิตเหล่านี้ เป็นจุดเชื่อมโยงใจของเราให้ไปถึงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เป็นที่หยุดใจ
เป็นตำแหน่งที่ถูกต้องที่ใจจะต้องมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เพราะว่าถ้าใจหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แล้ว
จะเข้าถึงแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ ความสุข ความรู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวงนะ
เพราะฉะนั้น
ตอนนี้เราก็ประคับประคองใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบาย ผ่อนคลาย หลับตา Soft, soft ละมุนละไม หลับตาแค่ขนตาชนกัน แล้วก็ผ่อนคลายร่างกายไปด้วย ทำไปพร้อมๆ
กัน
แล้วก็ประคองใจให้หยุดนิ่ง
ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ ว่า สัมมาอะระหังๆๆ ให้ใจใสๆ เย็นๆ ชุ่มๆ อยู่ในตัวนะ ใสเย็นสบาย
ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไป จนกว่าใจเราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ
กับดวงบุญใสๆ หรือองค์พระสีทอง เมื่อใจเราไม่อยากภาวนาต่อไป เราก็ไม่ต้องภาวนา นึกถึงแต่ดวงหรือองค์พระอย่างใดอย่างหนึ่ง
หยุดนิ่งดูไปเฉยๆ
ดูเฉยๆ
ด้วยใจสบาย
ดูไปอย่างสบายๆ
เท่าที่มีให้เราดู มีความชัดให้เราดู ๕ เปอร์เซ็นต์เราก็ดูไป ๕
เปอร์เซ็นต์ด้วยความพึงพอใจ ดูไปอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น มีมาให้ดู
๑๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นชัด ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐, ๓๐เปอร์เซ็นต์ เราก็ดูไปเรื่อยๆ
ใจมันจะได้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
การดูเฉยๆ ด้วยใจที่สบายนั่นแหละ จะทำให้ใจของเราหยุดนิ่งนุ่มได้สมบูรณ์ขึ้น
จนกระทั่งได้ภาพในใจ จะเป็นดวงหรือองค์พระ ชัดเจน ๖๐, ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เกือบเท่าลืมตาเห็นภาพภายนอก
เราก็ดูไปเรื่อยๆ เฉยๆ อย่างเดิมอย่างเดียวอย่างนี้ตลอดไป ด้วยอารมณ์ดี อารมณ์สบายอารมณ์เดียว
เดี๋ยวภาพก็จะชัดเหมือนลืมตาเห็นเอง
เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เห็นได้ชัดแค่ไหน
ดวงหรือองค์พระที่อยู่ภายในก็จะชัดเท่ากันเลย มันจะเห็นชัดภายใน ในสภาวะที่ร่างกายปลอดโปร่ง
โล่ง เบา สบาย ตัวขยาย และก็หายไป กลมกลืนไปกับบรรยากาศ เหมือนดวงหรือองค์พระลอยอยู่ในกลางอวกาศโล่งๆ
ลอยเด่น ดวงก็เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่บนกลางท้องฟ้า
แต่ว่าจะชัดเจนเหมือนกับเราลืมตาเห็น
หรือถ้าเป็นองค์พระธรรมกายประจำตัวก็จะเห็นชัด
ชัดเหมือนเราลืมตาเห็นอย่างนี้ เรายังคงดูอย่างเดิมอย่างเดียวด้วยอารมณ์ดี อารมณ์สบาย
อารมณ์เดียวอย่างนั้นเรื่อยไป
สภาวธรรมภายใน
ดูเฉยๆ
อย่างนี้ แค่นี้ เท่านั้น ใจก็จะถูกกลั่นให้ใส ละเอียด บริสุทธิ์ นิ่งนุ่ม เบาสบาย
และดวงนั้นก็จะยิ่งใสยิ่งขึ้น จนกระทั่งชัดมากๆ เลย คือ ชัดมากยิ่งกว่าลืมตาเห็นภาพภายนอก
จะชัดแจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย
ความใสก็จะมีแสงออก
บางทีแสงก็มาก่อนความใส บางทีทั้งแสงทั้งความใสมาด้วยกัน พร้อมๆ กันจะใสมากเลย พระสีทองก็จะใสเหมือนน้ำใสๆ
เหมือนกระจกใสๆ กระจกเงาที่เขาส่องดูทุกวัน หรือใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว คือมันใสละเอียดมากๆ
ละเอียดเราก็จะรู้ว่ามันละเอียด
ใจจะ Soft,
soft ละมุนละไม มีความสุขอยู่ภายใน อยากอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ดวงก็สวยขึ้น
ถ้าเป็นองค์พระ องค์พระก็จะสวยขึ้น ใสขึ้น สว่างขึ้น มีชีวิตชีวา คือ จะขยายได้
ถ้าเป็นดวง ดวงก็ขยายโตขึ้น เจริญเติบโตขึ้น โตขึ้นเท่าตัวเราเลย
แล้วก็จะมีจุดเล็กๆ ใสๆ อยู่กลางดวงนั้นแทนที่ ถ้าใจเรานิ่งอยู่กลางดวงเล็กๆ
เหมือนดวงดาวในอากาศแต่ว่าใสมาก ก็จะทำให้ดวงเดิมที่ขยายออกไปอยู่แล้ว ขยายต่อไปอีกจนตกขอบไปเลย
และจุดเล็กใสๆ ก็ขยายเป็นดวงมาใหม่ แต่มีความใสบริสุทธิ์กว่าเดิม ภาพเหล่านี้มันเกิดขึ้นเอง
เป็นไปเอง
ถ้าเป็นองค์พระ
องค์พระก็จะขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว ใหญ่กว่าตัว ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จะใสสว่าง ใสมาก ใสจนมีแสงสวยมาก
สวยเกินกว่าที่เราคิดตั้งแต่ต้น สวยกว่าภาพแรก ค่อยๆ สวยไปเรื่อยๆ เลย ทั้งสวย ทั้งใส
ทั้งสว่าง ทั้งสุข สงบ เย็นสบาย แล้วก็จะมีจุดเล็กๆ ใสๆ อยู่กลางองค์พระ
สมมติเรานึกองค์พระตั้งแต่ต้นจะเป็นอย่างนี้
จุดเล็กๆ กลางองค์พระบางทีก็ขยายมาเป็นดวง บางทีก็เป็นองค์พระองค์ใหม่ เราก็ตามใจท่านไปก่อน
ท่านอยากจะเป็นอะไร อยากเป็นดวง ก็ปล่อยท่านให้เป็นดวง ท่านอยากจะขยายมาเป็นพระองค์ใหม่ก็ตามใจท่านไปก่อน
เมื่อเราตามใจท่าน เดี๋ยวท่านก็จะตามใจเรา เราดูอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างสบาย
ต้องสบ๊าย สบาย เบาๆ สบาย
ความสุขมาติดเรา
ใจของเราก็ต้องแตะสัมผัสไปเบาๆ คือ ดูธรรมดา จนกระทั่งความสุขมาติดเรา
แม้เราไม่ได้อยากจะติดความสุข แต่ความสุขก็มาติดเรา และไม่ยอมปล่อยเราไปเลย
ติดแน่นทำให้ใจเราเปี่ยมไปด้วยความสุข สดชื่น เบิกบานอยู่ภายใน
หลับตาลืมตาก็เห็นพระภายใน
เมื่อเราค่อยๆ
ลืมตามองไปในท้องก็ยังเห็นอยู่ พอเราค่อยๆ หลับตาดูใหม่ องค์พระก็ยังอยู่ที่เดิม
แปลว่า ทั้งหลับตาและลืมตา ไม่ว่าจะดูดวง ดูองค์พระก็ชัดเจนเท่ากัน หลับตาเห็น
ลืมตาเห็นชัดใสแจ่ม จนกระทั่งเราได้ค้นพบว่า ตาเนื้อไม่เกี่ยวกันเลยกับการมองเห็นภายใน
ตาเนื้อ
หรือ มังสจักษุ เขามีไว้สำหรับดูวัตถุภายนอก
และมันเป็นไปไม่ได้ที่ตาเนื้อจะมามองภาพภายใน
เมื่อเราอยู่ในสภาวะที่เราฝึกหลับตาเห็น ลืมตาเห็น ชัดใสสว่างเท่ากันแล้ว
ตาเนื้อก็ส่วนตาเนื้อ การเห็นก็ส่วนการเห็น ภายในก็แยกออกจากกัน
ตอนนี้ก็ยิ่งสนุกกันใหญ่เลย
ฝึกย่อขยาย
ปฏิภาคนิมิต
เราก็ทำ
ฌานกีฬา เล่นกีฬา คือ ให้ใจของเราเป็นประดุจแก้วสารพัดนึก
คือ นึกอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น นึกถึงดวงให้ขยาย ดวงก็ขยาย นึกให้ดวงย่อเล็กลง ดวงก็ย่อเล็กลง
หรือนึกถึงองค์พระให้ขยาย องค์พระก็ขยายใหญ่ขึ้นได้ หรือจะนึกย่อองค์พระให้เล็กลง ท่านก็จะเล็กลงมายอมตามใจเรา
เราตามใจท่านตั้งแต่ตอนแรกๆ ท่านก็แล้วแต่เราแล้วล่ะตอนนี้ จะขยาย จะย่อ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า
ปฏิภาคนิมิต คือ เอาภาพนั้นมาขยาย
มาย่อได้ดังใจปรารถนา
ฝึกซ้ำ ๆ
เราก็ฝึกตรงนี้ทำซ้ำๆ ทำหลายๆ ซ้ำ ร้อยซ้ำ พันซ้ำ หมื่นซ้ำ แสนซ้ำ
ล้านซ้ำ แล้วแต่เราจะทำกี่ซ้ำ จนชำนาญ ขยาย ย่อ เราก็มีกีฬาภายในให้เราเล่นแล้ว
แต่เล่นแบบอริยะ ด้วยใจที่สูงส่ง บริสุทธิ์ และเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระรัตนตรัย
ใจจะค่อยๆ เกลี้ยงเกลาจากอุปกิเลส จากมลทินของใจไปเรื่อยๆ
เราก็ฝึกอย่างนี้ไป
ซ้ำๆ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ภาวิตา พาหุลีกตา ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ พอเราทำไปจนชำนาญแล้ว
วันหลังเราแตะใจนิ่งตรงกลาง ภาพก็เกิดเลย จะดูดวงในดวง ดวงในดวง ดูได้อย่างสบาย ดวงก็ผุดผ่านกลางกายขยายขึ้นมา
ทีละดวง สองดวง สามดวง ทีละหลายๆ ดวง เป็นแถวของดวงไป ที่ใสบริสุทธิ์
แต่ละดวงนำความสุขมาเติมเต็มให้กับเราไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นองค์พระก็ในทำนองเดียวกัน
องค์พระท่านก็จะขยายแล้วก็มีองค์ใหม่จากตรงกลางที่เดิม
ขยายมาใหม่ที่ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละองค์ สององค์ สามองค์เรื่อยไปเลย กระทั่งหลายๆ
องค์ แล้วก็ฝึกทำซ้ำๆ ไป
หรือเราจะทำอย่างนี้ก็ได้
ถ้าเราเริ่มต้นที่ดวงใสๆ พอเราหยุดใจแตะเบาๆ ตรงกลางดวง ขยายจุดกลางดวงนั้นให้ขึ้นมาเป็นองค์พระก็ได้
หรือถ้าเราจะเริ่มจากองค์พระ จุดกลางองค์พระให้เป็นดวงก็ได้ ในดวงมีพระ ในพระมีดวง
ก็สลับกันไปอย่างนี้
มัชฌิมาปฏิปทา
ฝึกทำซ้ำๆ
ซ้ำ ร้อยซ้ำ พันซ้ำ หมื่นซ้ำ แสนซ้ำไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มค้นพบว่า ในกลางกายของเราเหมือนเป็นปล่อง
เป็นช่อง เป็นโพลง เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นทางเดินของใจในเส้นทางสายกลางภายในที่เป็นแนวดิ่งลงไป
เราเข้าใจคำว่า
มัชฌิมาปฏิปทา เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาภายใน เป็นเส้นทางแนวดิ่งที่มีเส้นเดียว
เป็นแนวดิ่งลงไปอย่างนี้ เส้นทางสายกลางภายใน เส้นทางเป็นเส้นเดียว เป็นทางเอกสายเดียวก็เพราะมันมีเส้นเดียว
ตรงกลางตรงนั้นแหละ ไม่มีสอง ไม่มีสาม
เวลาผุดขึ้นมาในแนวดิ่ง
หรือเวลาเราสวนลงไปในแนวดิ่ง มันแปลก มันจะขยายไปรอบตัวทุกทิศทุกทางเลย ขยายไปตามบาท
ตามตรงกลาง มันขยาย เหมือนเราเป็นจุดศูนย์กลางของดวง ขององค์พระที่ขยายไปรอบตัว
การเหลาใจ
เราก็ฝึกอย่างนี้
ทำซ้ำๆ ซ้ำ ร้อยซ้ำ พันซ้ำ หมื่นซ้ำ แสนซ้ำ นับซ้ำไม่ถ้วน ที่เรียกว่า ภาวิตาพาหุลีกตา
บ่อยๆ เนืองๆ ซ้ำจนชำนาญ หลับตาเห็น ลืมตาเห็น นั่งเห็น นอนเห็น ยืนเห็น เดินเห็น
หกคะเมนตีลังกาก็ยังเห็นอยู่ ไม่เกี่ยวกันกับกายภายนอก ข้างในหยุดนิ่งข้างนอกเคลื่อนไหว
กายภายนอกเคลื่อนไหวแต่ข้างในยังนิ่ง หรือข้างนอกหยุดนิ่ง คือ นั่งเฉยๆ แต่ข้างในเคลื่อนไหว
เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในก็ยังได้ หรือข้างนอกเคลื่อนไหว ข้างในเคลื่อนไหว
ข้างนอกเราจะเดินเหิน เหยียดแขน คู้แขน เหลียวซ้ายแลขวา ข้างในก็ยังเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ
เราก็ฝึกไปเรื่อยๆ อย่างนี้
การทำอย่างนี้
เราเรียกเฉพาะคนใกล้ชิดว่า การเหลาใจ
เหมือนดินสอ ถ้าเรายังไม่เอามาเหลาๆ มันก็เขียนไม่ถนัด ใจถ้าไม่แหลมไม่คม มันเข้ากลางไม่ได้
ถ้ามันทื่อ มันทู่ มันทื่อก็ต้องมาเหลาๆ ใจที่มันหยาบๆ ทื่อๆ ให้มันละเอียด มันจะได้แหลมๆ
คมๆ ด้วยวิธีหยุดใจ ทำอย่างที่เล่ามาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ
ดูดวงในดวง
ดูพระในพระ ดูดวงเห็นพระ ดูพระเห็นดวง ซ้ำๆ นี่ล่ะเป็นงานทาง นั่งอยู่ในป่าก็ทำงานอย่างนี้
อยู่โคนไม้ก็ทำงานอย่างนี้ได้ โดยนั่งเฉยๆ นี่แหละ กลางแจ้ง ลอมฟาง เรือนว่าง ห้วย
หนอง คลอง บึง บนรถเมล์ ที่ทำงาน ที่ไหนก็ทำได้อย่างนี้ ฝึกไปเรื่อยๆ จนชำนาญเลย
หลุมหลบภัยในตัว
เวลาใกล้จะตายทุกขเวทนามันเกิดขึ้นเยอะ เราก็หลบเข้าไปอยู่ข้างในนี้
ในดวง ในองค์พระ พระในพระ เหมือนมีหลุมหลบภัย มีป้อม มีค่าย ข้างนอกสังขารมันก็เจ็บทุกข์ทรมานไปตามปกติธรรมดาของสังขารที่เป็นรังแห่งโรค
แต่ข้างในเรามีหลุมหลบภัย เราก็เข้าไปข้างใน จะตายก่อนตาย หรือจะตายพร้อมตายก็ได้
ถ้าเราฝึกทำซ้ำๆ เราก็จะมีหลุมหลบภัย ตั้งแต่ภัยในอบายภูมิ ภัยในสังสารวัฏ
ภัยทุกชนิด อย่างมากมันทำให้ไม่สบายกาย แต่ไม่ถึงทำให้ไม่สบายใจ เพราะใจก็ยังใสๆ
เยือกเย็น มีสุขอยู่ข้างใน
ข้างนอกมันเป็นเรื่องปกติของสังขารที่มีความเสื่อมเป็นธรรมดา
มีแก่ มีเจ็บ มีตายก็ช่างมัน แต่ข้างในก็ใสเย็นอยู่ภายใน มีหลุมหลบภัย มีป้อม มีค่าย
หลบภัยในอบายก็เข้าไปอยู่ตรงนี้ ไม่ไปอบายภูมิ ไม่ไปเป็นเปรต อสุรกาย
สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก แถมนำไปสู่สุคติภพ โลกแห่งความสุขความสดชื่นบันเทิง
โลกสวรรค์ เขาก็หลบเข้าช่องนี้ เข้ากลางดวง เข้ากลางองค์พระ
ยิ่งถ้าเข้าไม่ซ้ำกันได้
สวรรค์ก็แล้วแต่เราจะเลือกว่า
เราจะไปตรงไหน เหมือนเศรษฐีมีทรัพย์มากจะเลือกไปประเทศไหนก็ได้
มีบุญมากจะเลือกไปอยู่ตรงไหนก็ได้ นี่คือทรัพย์ภายในที่เรียกว่า
อริยทรัพย์ เป็นเครื่องปลื้มใจส่วนตัว ความรู้สึกจนก็ไม่มี มีความรู้สึกว่า
มีอยู่ตลอด มีความสุขใจ เต็มเปี่ยม เพราะหลับตาเห็น ลืมตาเห็น นั่ง นอน ยืน
เดินเห็นองค์พระชัดใส แจ่ม กระจ่าง ดวงใสแจ่มกระจ่าง
เข้าถึงดวง
เข้าถึงกาย
ถ้าใจเราละเอียด
เราก็จะเคลื่อนเข้าไปข้างในได้ เห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ
วิมุตติญาณทัสสนะ เห็นกายมนุษย์ละเอียด กายในกายนั่นแหละ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม
กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต
มันก็จะเป็นชั้นๆ ก็แล้วแต่เราจะเลือก
เมื่อเราฝึกจนใจละเอียด
นิ่งแน่น นุ่มนวลควรแก่การงาน งานรื้อภพรื้อชาติ รื้อกิเลส รื้ออาสวะ รื้อใจให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
จะหลบรอดอย่างไร ใจต้องนิ่งแน่น ถ้านิ่งหลวมๆ
มันก็เข้าไปไม่ได้ ถ้านิ่งแน่นจนกระทั่งความคิดอื่นแทรกไม่ได้
แต่ไม่ใช่นิ่งแล้วอึดอัด แต่ว่านิ่งและอัดแน่นไปด้วยความสุข กว้างขวาง ใจขยาย
จะนุ่มนวล มันจะ Soft,
soft นุ่มๆ มันไม่ใช่นุ่มแบบสำลี ไม่เหมือนปุยนุ่น ไม่เหมือนขนนกที่ลอยในอากาศ
มันนุ่มกว่าอากาศ หรือลมที่เราได้สัมผัสที่มันสามารถผ่านเข้าไปได้ ผ่านกลางกายไปสู่ภพภูมิต่างๆ
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เคยกล่าวถึงในเรื่องราวต่างๆ
ก็ผ่านเข้าไปตรงกลางตรงนี้
ถ้าเราสามารถทำอย่างที่ว่านี้
ทำให้มากกว่าปกติที่เราส่องกระจกแล้วเราเห็นตัวเราเองตามลำพัง แค่กายเดียว ต้องเห็นกายมากกว่านั้น
คือหลับตาแล้วเห็นกายมนุษย์ละเอียดคล้ายๆ กายที่ส่องกระจกแต่มันสวยกว่า
ไม่ว่าเราจะส่องกระจกในวัยที่เกินวัยเจริญเข้าไปแล้ว แต่ภาพภายในมันยังอยู่ในวัยที่เจริญ
และเจริญกว่าวัยที่เคยเจริญมา คือ มันงามกว่าตอนที่เราเป็นวัยรุ่นเสียอีก มันดูสดใส
เปล่งปลั่ง เหมือนผลไม้ที่สุกใหม่ๆ สดใส เปล่งปลั่ง แต่มันยิ่งกว่านั้น
มันมีละอองนวลสว่าง
และดูเพิ่มกายเข้าไปอีก
ที่ซ้อนอยู่ภายในกายมนุษย์ละเอียดเข้าไปถึงกายทิพย์ ถ้าเราเจาะเข้าไปได้อย่างนี้อย่างสบาย
อย่างไม่ใช้แรงกดดัน ใช้แต่ความสุข สดชื่น มีแต่นิ่งเฉยและสุข หรือภาษาธรรมะที่ว่า
สุขกับอุเบกขา
ความสุขจากใจที่หยุดนิ่ง
สุขกับอุเบกขา ใจเป็นกลางๆ นิ่งอย่างเดียว
ไม่คิดอะไรเลย ความบริสุทธิ์เกิดสุข คือ มันสบายกายสบายใจมากกว่าปกติ ยกตัวอย่างเราไปเที่ยวชายทะเล
น้ำตก ต่างประเทศ ไปดูต้นหมากรากไม้ ผู้คน ดำน้ำ หรืออะไรที่เราคิดว่า เรามีความสุข
ที่จริงมันมีแค่ความเพลิน กลับมาก็เพลีย กายก็ไม่ถึงกับสบาย กลับมามันเหนื่อย แต่มันเพลินๆ
แค่ความทุกข์มันลดลง
แต่ถ้าความสุขที่เกิดจากใจหยุดนิ่งแล้วเข้าไปเห็นภาพภายในท่ามกลางแสงสว่างที่แตกต่างจากแสงภายนอกนี่
มันสบายใจ กายก็สบาย กายเบา ใจเบา กายขยายเหมือนตัวเราโตสุดขอบฟ้าอย่างนั้น
จนกระทั่งไม่มีขอบเขต แล้วใจก็กว้างขยาย ไม่อึดอัด ไม่คับแคบ ไม่คับแค้นใจ
ไม่คับแคบใจ ใจจะขยาย ซึ่งเราไม่เคยขยายใจได้ มีแต่พูดว่า ใจขยาย
ขอถึงความขยายของใจ แต่นี่เข้าถึงความเป็นสภาวะที่ใจขยายจริงๆ กว้างออกไปไม่มีอะไรกำบังเลย
มันทะลุไปหมด นั่นแหละความสุขมันจะเกิด และเรายอมรับว่า นี่คือความสุขที่แตกต่างจากที่เราเคยเข้าใจว่า ที่ผ่านมาคือความสุข
มันไม่เหนื่อย ไม่เพลีย สดชื่น มีชีวิตชีวา เบิกบาน เราก็อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ
ใจจะใสๆ เวลาที่เหลืออยู่นี้ ลองๆ ทำสนุกๆ สบายๆ ดังที่ได้กล่าวมาตั้งแต่เบื้องต้นนะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565