นึกสบายๆ
วันอาทิตย์ที่
๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะ หลับตาพริ้มๆ เบาๆ สบายๆ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพัน ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ
ที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา และก็เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายท่านเริ่มหยุดใจของท่านอยู่ที่ตรงนี้
เป็นตำแหน่งที่สำคัญทีเดียว
ท่านหยุดใจนิ่งอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย
หยุดใจนิ่งอย่างเดียวเพราะฉะนั้นเราก็รวมใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในบริเวณกลางท้องของเรา ในระดับที่เรามั่นใจว่าเหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือนะ
บริกรรมนิมิต
ทำใจนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบาย แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ นึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่ง
หรือก้อนน้ำแข็งใสๆ ใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย โตแค่ไหนก็ได้อย่างน้อยก็โตเท่ากับแก้วตาของเรา
ให้นึกถึงภาพนี้อย่างเบาๆ
สบายๆ คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่เราชอบ เราคุ้นเคย เช่น เรานึกถึงดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างนั้นเป็นต้นนะ นึกอย่างสบาย เบาๆ สบาย
ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอนะจ๊ะ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจ
เบาๆ สบายๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องเรา ภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ ทุกครั้งที่ภาวนา
สัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใสๆ ดังกล่าวนี้นะ ใสเหมือนน้ำแข็ง
ใสเหมือนกระจกคันฉ่องที่เราส่องเงาหน้า ใสเหมือนเพชร
สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
นึกสบายๆ
แต่ต้องนึกอย่างเบาๆ
สบายๆ ไม่ไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง หรือไปจ้อง แต่ให้นึกเบาๆ
สบายๆ นึกได้แค่ไหนที่สบาย เราก็เอาแค่นั้นไปก่อนนะ เช่น นึกได้แค่ ๕
เปอร์เซ็นต์ รัวๆ รางๆ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐, ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอกอย่างนั้นก็ได้
นึกอย่างนั้นไปก่อนให้ต่อเนื่องกันไปอย่างเบาๆ สบายๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
พร้อมทั้งผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ให้ผ่อนคลาย แล้วก็นึกภาพภายในไปด้วย
ส่วนใครถนัดนึกถึงองค์พระพุทธรูป
จะนึกถึงเป็นองค์พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์แทนดวงแก้วก็ได้
ให้ท่านนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
นึกได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นก่อน
แต่ต้องนึกอย่างสบาย เพราะว่าการเดินทางเข้าไปสู่ภายในนั้นต้องเริ่มต้นที่เบา
สบาย ง่ายๆ ใจเย็นๆ ไม่ได้ดังใจก็ไม่เป็นไร อย่าไปฮึดฮัดนะจ๊ะ
ถ้านึกไม่ออก ก็ไม่ต้องนึก แค่ทำความรู้สึกว่า
ใจเราอยู่ในกลางท้อง หรือว่าทำความรู้สึกว่า มีดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ ท่านตั้งอยู่แล้วในกลางท้อง
เพียงแต่เรายังมองไม่เห็นแค่นั้นแหละ ให้รู้สึกว่า มีอยู่
แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสไร้กังวล พร้อมกับภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ
สัมมาอะระหังๆๆ ภาวนาไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ประคองใจไปเรื่อยๆ
อย่ากดลูกนัยน์ตา
ถ้ามีความรู้สึกว่า
เริ่มกดลูกนัยน์ตาลงไปดูแล้ว เริ่มรู้สึกตึงที่กระบอกตา หัวคิ้ว หน้าผาก
กล้ามเนื้อของร่างกายเริ่มเกร็งแล้ว เราก็ปรือๆ ตามาสักนิดหนึ่ง
เผยอเปลือกตาขึ้นมาสักนิดหนึ่ง แต่เราทอดสายตาลงต่ำ ปรือๆ ตา พอมีความรู้สึกว่าผ่อนคลายแล้วจากการกดลูกนัยน์ตาไปดู
เราก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาเบาๆ ใหม่ และก็นึกไปสบายๆ
ทำ
soft,
soft นุ่มๆ เบาๆ เหมือนขนนกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ฟ่องเบา ล่องลอยบรรยากาศ
แล้วก็ตกกระทบผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ต้องนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ใจใสๆ เยือกเย็น
ให้บริสุทธิ์ ให้เกลี้ยงเกลาจากสิ่งที่เป็นมลทินของใจ ปล่อยวางจากความผูกพันความคิดเรื่องคน
เรื่องสัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน
ทำใจสบายๆ
ทำประหนึ่งว่า เรากำลังเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมเฉพาะพระพักตร์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าอย่างนั้น
ประดุจว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นะ ให้ใจใสๆ เย็นๆ
โอวาทก่อนบวช
โดยเฉพาะสามเณรรุ่นกองพันสถาปนาพันรูปที่เตรียมตัวจะบวช
จะได้อุปสมบทได้ ๒ ชั้น ภายในเข้าถึงพระในตัว แม้เป็นกุศลนิมิตเห็นองค์พระใสๆ
ชัดใสแจ่มอย่างนั้นก็ได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นดวงใสๆ
ซึ่งเราก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ
ประคับประคองใจให้อยู่ภายใน อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการ บำเพ็ญสมณธรรม ธรรมของสมณะผู้มีความสงบกาย
สงบวาจา สงบใจ แล้ว กาย วาจา ใจ ที่สงบ ที่หยุดที่นิ่งนั้น คือ กายวาจาใจที่บริสุทธิ์บริบูรณ์
สมควรแก่การเป็นสมณะ ใจที่อยู่เป็นสุขแล้วจะสงบนิ่งอยู่ภายใน เยือกเย็น สุข สดชื่น
เบิกบาน
เพราะฉะนั้น
ลูกก็ต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจ เพื่อการบวชในคราวนี้ จะได้เป็นมหากุศล เป็นมหัคคตกุศลยิ่งใหญ่ว่า
ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา เป็นลูกผู้ชาย มีบุญเก่าได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมีมาก็จะได้มาบวชสร้างบารมีเพิ่มเติมขึ้นอีก
เราก็จะได้บวชให้ได้ ๒ ชั้น
บุญนี้ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เกิดขึ้นกับบิดามารดา โยมพ่อโยมแม่ หมู่ญาติ ญาติสนิทมิตรสหาย สัมพันธชน รวมถึงตลอดสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เป็นการสร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ทีเดียว จะได้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาในเพศของสมณะ
เพราะฉะนั้น
ให้ตั้งใจกันให้ดี เช้านี้อากาศกำลังสดชื่นเย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา
ให้ตั้งอกตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565