กายธรรมที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะ ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า
สบาย ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดีนะ กะคะเนให้เลือดลมในตัวเดินได้สะดวกจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย
แล้วก็ทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่ง
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ
รวมใจหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ แล้วก็ผ่อนคลาย ต้องสบายๆ แล้วก็ผ่อนคลาย
ถ้าเราหลับตาเป็น อย่างเบาๆ พริ้มๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้า
ทั้งเนื้อทั้งตัวก็จะผ่อนคลายไปเอง ต้องสบาย ผ่อนคลาย ทำใจให้ใสๆ เยือกเย็น
ให้บริสุทธิ์
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
ไม่ว่าบุญสงเคราะห์โลก หรือทำในแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล
ช่วยเหลือสงเคราะห์คนยากคนจน หมู่ญาติ ทำบุญในพระพุทธศาสนา กฐิน ผ้าป่า สร้างวัดวาอาราม
ใส่บาตร ทั้งทำด้วยตัวเอง และก็ชวนคนอื่นมาทำ เป็นต้น ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา
มารวมเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ใน ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
เส้นทางสายกลาง
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตำแหน่งตรงนี้เป็นที่ตั้งของใจของเราที่สำคัญ
เพราะว่าเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งปวงทั้งหมดเลย จะไปสู่อายตนนิพพาน
หรือบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ใจของท่านจะมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้แหละ
ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ที่เดียว
พอถูกส่วนก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ข้างใน และเห็นเป็นดวงใสๆ ลอยขึ้นมา กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว
ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีตำหนิเลย สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือใหญ่กว่านั้น
แล้วแต่กำลังบารมีของแต่ละคนจะไม่เท่ากันนะ เกิดขึ้นตรงนี้
แล้วท่านก็หยุดนิ่งอย่างเดียวในกลางดวงใสๆ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่อายตนนิพพาน ธรรมดวงแรกนี้เรียกว่า ปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เป็นความบริสุทธิ์ในเบื้องต้นและก็เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ถ้ายังไม่ถึงธรรมดวงนี้ก็ไปสู่อายตนนิพพานไม่ได้
ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหนก็ตาม ถ้ายังไม่ได้ธรรมดวงนี้บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ไปนิพพานไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านจะเข้าถึงธรรมดวงนี้แหละ
และก็ถ่ายทอดให้พระสาวกจนกระทั่งได้เข้าถึงธรรมดวงนี้เช่นเดียวกับพระองค์
และใจก็หยุดนิ่งไปเรื่อย นุ่ม เบา สบาย
ความสุขจะมาพร้อมกับดวงธรรม
เป็นความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ สบายกาย สบายใจ ใจที่เกลี้ยงๆ
หลุดล่อนจากสิ่งที่ชาวโลกเขาติดกัน จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ หลุดหมดเลย ในเบื้องต้นมันจะหลุดไปอย่างนั้น
แม้ว่ายังหลุดไม่หมดก็ตาม แต่ว่าหลุดในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน จนกระทั่งความสุขบังเกิดขึ้น
ดวงธรรมทั้ง
๖ ดวง
ใจก็จะนิ่งอย่างนั้นไปเรื่อยๆ
นุ่ม
จะนิ่งในนิ่งในกลาง
ดวงปฐมมรรค แล้วก็เข้าถึงดวงศีล คือ ดวงปฐมมรรคขยายออกไป จุดตรงกลางก็ขยายออกมาเป็นดวงใสๆ
บริสุทธิ์กว่า
พอหยุดในกลางดวงศีลก็จะเข้าถึง ดวงสมาธิ ในทำนองเดียวกัน ที่ใสบริสุทธิ์กว่า
หยุดในกลางดวงสมาธิก็จะเห็น ดวงปัญญา ที่ใสบริสุทธิ์กว่า ซ้อนอยู่ภายใน
หยุดอยู่ในกลางดวงปัญญาก็จะเห็น
ดวงวิมุตติ ที่ใสบริสุทธิ์กว่า
หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตติก็เข้าถึง
ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
๖
ดวง ๑ ชุดจะซ้อนๆ กันอยู่ภายใน เป็นเครื่องกลั่นใจเราให้ใสๆ ให้บริสุทธิ์ และเชื่อมเข้าไปถึงกายภายใน
คือ กายมนุษย์ละเอียด กายฝัน ที่เวลาเรานอนหลับก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน
แล้วก็มารายงานกายมนุษย์หยาบ ตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่ตรงนี้
กายมนุษย์ละเอียด
เมื่อหยุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็เข้าถึง
กายมนุษย์ละเอียด นี้ จะอยู่ในอิริยาบถสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา หน้าตาเหมือนตัวเรานี่แหละ
ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชาย แต่อยู่ในวัยเจริญ วัยที่สดใสอยู่ภายใน
นั่นกายมนุษย์ละเอียด
เข้าถึงกายนี้ได้
เราก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นว่า กายมนุษย์หยาบแต่เดิม เราคิดว่าเป็นตัวเราของเรา
แต่บัดนี้เมื่อเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ความเข้าใจของเราเพิ่มขึ้นว่า กายมนุษย์หยาบประดุจบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของกายมนุษย์ละเอียด
หรือเหมือนเสื้อเหมือนผ้าของกายมนุษย์หยาบอย่างนั้น เป็นกายภายในที่ซ้อนอยู่ในกายภายนอก
เป็นชีวิตอีกระดับหนึ่งที่สูงส่งขึ้นไป ใจก็บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
มากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก สุขก็เพิ่มขึ้น
กายทิพย์
พอหยุดอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็เข้าถึง ดวงธรรม ๖ ดวง นั่นแหละ
ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ โดยผ่านปฐมมรรค ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เช่นเดียวกัน
แล้วก็จะเข้าถึง กายทิพย์ กายทิพย์หยาบ
ที่มีลักษณะสวยงามกว่ากายมนุษย์ละเอียด เป็นกายที่จะไปสู่เทวโลกเมื่อเราไปอยู่ในเทวโลกสุคติโลกสวรรค์
จะต้องอยู่ในกายทิพย์นี้ กายมนุษย์หยาบ มนุษย์ละเอียดอยู่ไม่ได้ อยู่ได้เฉพาะกายทิพย์
ลักษณะสวยหนักเข้าไปอีก
มีเครื่องประดับที่งดงามตามกำลังแห่งบุญของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็แนบเนื้อ
มีเครื่องประดับสวยทีเดียว นั่งสมาธิเหมือนกัน นี่ก็เป็นกายในกาย
เป็นกายภายในที่ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด เป็นชีวิตอีกระดับหนึ่ง ชีวิตในเทวโลก
ความสุขสดชื่นเบิกบานก็จะเพิ่มขึ้น
จะเข้าไปอย่างนี้เป็นชั้นๆ
โดยผ่านดวงธรรมชุดหนึ่ง ๖ ดวง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ แล้วก็เข้าถึง กายทิพย์ละเอียด
จะเป็นคู่ๆ กันไปอย่างนี้
กายรูปพรหม
พอผ่านหยุดนิ่งกลางกายทิพย์ละเอียด
ใจก็จะเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ ผ่านดวงธรรม ๑ ชุด ๖ ดวง ก็เข้าถึง กายรูปพรหมหยาบ กายนี้สวยงามหนักเข้าไปอีกมากกว่ากายทิพย์
เป็นกายที่จะอยู่ในพรหมโลก พรหมโลกที่อยู่ของพวกพรหมที่ตอนเป็นมนุษย์ได้ปลีกตัวออกจากกามคุณ
ปลีกวิเวกเจริญสมาธิภาวนา กระทั่งได้บรรลุรูปฌานสมาบัติ ละโลกไปแล้วก็ไปอยู่ในพรหมโลกด้วยกายนี้
กายรูปพรหมหยาบยังมีเครื่องประดับอยู่
แต่ว่าละเอียดประณีตมากกว่ากายทิพย์ ดูเรียบง่ายกว่ากายทิพย์ ไฮโซกว่า สวยงาม เครื่องประดับจะระยิบระยับ
ประณีตเข้าไป แนบเนื้อสวยใส นี่ก็เป็นกายภายในของเรานะ ที่เรายังไม่เคยรู้จักเลย
ไม่เคยคิดว่า มีอยู่ ในแต่ละภพภูมิก็จะมีกายที่เหมาะสมอย่างนี้
กายอรูปพรหม
หยุดกลางกายพรหมก็ผ่านมาในทำนองเดียวกัน
เข้าถึง กายรูปพรหมละเอียด
หยุดอยู่ในกลางกายรูปพรหมละเอียดก็เข้าถึง
กายอรูปพรหมหยาบ ที่ประณีต เรียบง่าย
แต่ประณีตกว่ากายรูปพรหม กายตั้งตรง ที่ว่าตั้งตรงแบบกายพรหม รูปพรหมจะตัวตรงๆ สวยงามมากมันก็อยู่ภายในตัวของเรา
กายอรูปพรหมนี้จะอยู่ได้เฉพาะในอรูปภพ
คือ เป็นภพที่ประณีตกว่าพรหม กายรูปพรหมไปอยู่ในภพของอรูปพรหมไม่ได้
ที่มาอยู่ตรงนี้ก็เพราะเข้าถึงอรูปฌานสมาบัติ
กายอรูปพรหม ซึ่งเป็นที่สุดของภพ สาม กายนี้จะอยู่ตรงนี้แหละจะมีภพภูมิอยู่อรูปภพ
สงบนิ่งอยู่ในอรูปฌานสมาบัติ เป็นสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น คือ สบายกาย สบายใจ เบิกบานขยายกว้างกว่าเดิมออกไปอีกเรื่อยๆ
กายธรรม
ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ใจก็จะหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางกายอรูปพรหม
พอถูกส่วนก็ผ่านดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
อีกชุดหนึ่งที่ประณีตกว่าเดิมเลย กลมรอบตัวเหมือนกัน แต่ว่าบริสุทธิ์กว่า ใสกว่า สว่างกว่า
อารมณ์ประณีตกว่า ก็จะเข้าถึง กายธรรม
กายธรรมที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
มีเกตุดอกบัวตูม ในอิริยาบถสมาธิเช่นเดียวกัน
กายธรรมโคตรภู หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย
ใสเกินความใสใดๆ ในโลกสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูมเหมือนดอกบัวสัตตบงกชเล็กๆ
ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของกายมหาบุรุษ บนพระเศียรที่มีเส้นพระศกเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวัตรหมุนขวาตามเข็มนาฬิกา
เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ใสสวยงาม กายตั้งตรงสวยงามมาก อยู่ในอิริยาบถสมาธิ สงบ นิ่ง
กายนี้แหละคือ
กายพุทธรัตนะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ผู้รู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
มีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เห็นได้รอบตัว ธรรมจักขุ เห็นไปในอดีต
ปัจจุบัน และในอนาคต เห็นเรื่องราวไปตามความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
รัตนะ แปลว่า แก้ว หินมีค่า
สิ่งที่มีค่า วัตถุธาตุที่มีคุณค่า นำมาซึ่งความปลื้มใจของผู้ที่มีอยู่
ได้ครอบครองอยู่ เป็นรัตนะ แต่เป็น รัตนะเป็น
มีชีวิต มีจิตใจ
จึงชื่อว่า
พุทธรัตนะ มีอยู่ในกายของมนุษย์ทุกคน เป็นกายภายในที่ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหมละเอียดนั่นแหละ
ใสบริสุทธิ์
ในกลางพุทธรัตนะก็จะมี
ธรรมรัตนะ
ธรรม แปลว่า ทรงไว้ รักษาไว้ รักษาความเป็นกายพุทธรัตนะเอาไว้ให้ทรงอยู่
หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นคลังแห่งความรู้ของพุทธรัตนะก็ได้ ใสเป็นแก้ว แต่มีลักษณะกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว
อยู่ในกลางกายพุทธรัตนะ จะใสบริสุทธิ์ สว่างมาก
ในกลางธรรมรัตนะก็จะมี
สังฆรัตนะ คือ กายละเอียดของกายธรรมโคตรภูที่จะทรงรักษาธรรมรัตนะเอาไว้ให้คงสภาพอยู่ได้
เพื่อหล่อเลี้ยงรักษาพุทธรัตนะ
๓ อย่างนี้จะต้องไปด้วยกัน เหมือนไม้ขาหยั่ง ๓ อัน ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้
เหมือนเพชรที่สีดี เนื้อดี แววดี ไปด้วยกันอย่างนั้น ชื่อเรียกคนละอย่าง
หน้าที่ก็ทำคนละอย่าง แต่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จะต้องไปพร้อมๆ กัน
พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่เราได้ยินว่า คือ
รัตนตรัย ตรัย แปลว่า สาม รัตนะ แปลว่า
แก้ว
แก้วทั้งสามนี้
ก็คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ก็หมายเอา ธรรมกาย
นี้
ธรรมรัตนะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
สังฆรัตนะ ก็กายละเอียดของกายธรรมพุทธรัตนะนั่นแหละ
ทั้งสามอย่างนี้เป็นสรณะ แปลว่า ที่พึ่งและที่ระลึก
ที่พึ่ง คือ เมื่อเรามีทุกข์ เมื่อเข้าถึงท่านได้แล้ว ทุกข์นั้นดับไป
สุขเกิดขึ้นแทนที่
เพราะว่าทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งเนื้อหนังทั้งหมด
ทั้งธาตุทั้งธรรมของรัตนะทั้งสามนั้น ท่านเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุข คงที่
และเป็นตัวจริง ดีจริง ของแท้ ของจริงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า
นิจจัง สุขขัง อัตตา
นิจจัง ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า อนิจจัง
อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ เสื่อมได้
ไปสู่จุดสลายได้
นิจจัง แปลว่า ไม่ไปสู่จุดสลาย
คือ ยิ่งผ่านกาลเวลาไป ยิ่งสุกใสเพิ่มขึ้น
แต่กายอื่นๆ
วัตถุธาตุอื่นๆ ยิ่งผ่านกาลเวลาก็ยิ่งเสื่อมลงไป สักวันก็ต้องผุพังลงไปในที่สุดแม้แต่โลกใบนี้
กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม
ก็ต้องไปสู่จุดสลาย แต่กายธรรมพ้นจากสภาวะนั้น เป็นสภาวะคงที่ จะไม่คงที่ก็ตรงที่ยิ่งผ่านกาลเวลาก็ยิ่งสุกใสยิ่งขึ้น
ยิ่งสว่างขึ้น บริสุทธิ์หนักเข้าไปอีก และก็เป็นแหล่งแห่งความสุข
สุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือเลย
เพราะฉะนั้น
เมื่อเรามีทุกข์ เราจึงพึ่งท่านได้ เพราะทุกข์นั้นดับไป
เมื่อมาอยู่ในกาย ธรรมโคตรภูนี้ ในรัตนตรัยนี้จึงเป็นที่พึ่ง
อยู่ในกลางรัตนะทั้งสามนี้ จะปลอดภัยจากอบาย ภัยในสังสารวัฏ
ภัยในปัจจุบันไม่ว่าภัยใดๆ จะมีความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ไม่มีความรู้สึกว่า ภัยใดๆ
จะเกิดขึ้น
แม้กาลเวลาที่ผ่านมาเราดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้ จึงดำเนินชีวิตผิดพลาด เมื่อละโลกไปแล้วก็มักจะไปอบาย
ไปสู่มหานรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ยมโลก อุสสทนรก เป็นต้น แต่ว่าเมื่อเราเข้าถึงรัตนะทั้งสามนี้ได้
เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ก็จะปลอดจากภัยเหล่านั้น ภัยในอบาย ก็แปลว่า ปิดอบาย อบายภูมิทั้งสี่
ไม่ต้องไป ไปสู่เทวโลกด้วยอานุภาพแห่งรัตนะทั้งสามนี้แหละ เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่พึ่งแก่เราได้
สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ที่บางคนเขาทุกข์หนัก เขาไปจุดธูปบูชา
คิดว่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้จะช่วยได้ แต่เทวดานั้นยังต้องจุติ
ต้นไม้นั้นยังถูกมนุษย์โค่นได้ ถูกปลวกกัดกินละลายได้ ใหญ่กว่านั้นจะเป็นอารามศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องผุพัง
ภูเขาเขายังขุดทำลายได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังผุพังอยู่นั้นเป็นปกติ ไม่อาจจะเป็นที่พึ่งกับเราได้
เพราะยังพึ่งตัวเองไม่ได้
แต่รัตนะทั้งสามนี้อยู่พ้นสภาวะนั้น
จึงเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา คือ พึ่งได้ในทุกๆ ยาม ความทุกข์จะดับไป เหมือนเราถือคบเพลิงแล้วก็เดินทวนลม
ลมก็จะพัดเปลวเพลิงนั้นมาปะทะหน้าเราให้เร่าร้อน แต่เพลิงนั้นจะดับไปเมื่อเจอน้ำ
จุ่มลงไปในน้ำอย่างนั้นแหละ มันก็ดับไป
ทุกข์ของชีวิตจะดับไปเมื่อเข้าถึงกายธรรมภายในตัว ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ
ถึงสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นรัตนะทั้งสามนี้จึงเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา และเป็นที่ระลึกนึกถึงตลอด
๒๔ น. ต่อ ๑ วัน
นึกอะไรไม่สุขใจเท่านึกถึงพระรัตนตรัยในตัว นึกอะไรก็ไม่อบอุ่นใจเท่ากับนึกถึงพระรัตนตรัยในตัว
ในยามที่เราหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน ก็เห็นชัดใสแจ่มกระจ่างอยู่กลางกายอย่างนี้
ถ้าระลึกตรงนี้แล้วก็สุขใจ สบายใจ อบอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลต่างๆ
แม้มีปัญหา
แต่ไม่เป็นปัญหา
ปัญหาแม้มีอยู่ในโลกรอบตัวเรา เราเจอปัญหา แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะใจอยู่ในพระรัตนตรัย เห็นองค์พระชัดใสแจ่ม
หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย แจ่มกระจ่าง นั่งก็เป็นสุข ยืนก็เป็นสุข เดิน
ก็เป็นสุข นั่ง นอน ยืน เดิน หกคะเมนตีลังกาเป็นสุข หลับตาก็เห็นชัดใสแจ่มกระจ่าง
ลืมตาก็เห็นชัดใสแจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย นั่ง นอน ยืน เดิน ก็ชัดใสแจ่มกระจ่าง
เวลานอนก็นอนในองค์พระ
หลับเป็นสุขอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญ เรานอนแต่องค์พระก็ นั่งนอนอยู่ในกลางองค์ท่าน หรือนอนมองดูท่านกระทั่งหลับไปเลยอย่างเป็นสุข
ชัดใสแจ่ม ยืน เดิน อยู่ในกลางท่านก็ชัดใสแจ่ม เป็นสุขตลอดเลย เป็นที่พึ่งที่ระลึก
แม้มีปัญหาแต่ก็ไม่เป็นปัญหา จะเกิดดวงปัญญาว่า
ปัญหาบางอย่างเราแก้ได้ บางอย่างแก้ไม่ได้
แต่แม้แก้ไม่ได้ ใจก็ไม่เป็นทุกข์
ปัญหาแก้ได้หรือไม่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เรียกไว้
บางอย่างก็เป็น อเตกิจฉา
บางอย่างก็เป็น สเตกิจฉา คือ แก้ได้กับแก้ไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังตรัสอย่างนั้น เพราะท่านก็เจออย่างนั้น แต่ใจท่านไม่เป็นทุกข์
อย่างเช่น
ท่านเจอพระเทวทัต สอนมากับมือยังผิดเพี้ยนไปในภายหลัง เป็นพระสาวกของพระองค์แต่ว่าอยากจะเป็นพระศาสดาเอง
เบียดเบียนพระองค์ พระองค์ไม่อาจแก้ไขได้ แต่ใจไม่ได้มีทุกข์ ก็ทำเฉยๆ
สุขอยู่ภายในกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างสุกใส
หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว แจ่มแจ้งในความจริงชีวิตว่า
ปัญหาบางอย่างแก้ได้ บางอย่างแก้ไม่ได้ แต่แม้มีปัญหา แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะใจมีดวงปัญญา
มีปัญญา ปัญหาก็หมดไป ปัญญาประดุจแสงสว่างเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่งเข้าถึงรัตนะทั้งสามนี้
เพราะฉะนั้น
รัตนตรัยภายในจึงเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือว่าบรรพชิต
เป็นคฤหัสถ์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องครองเรือน
ครองโลก ทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี ก็ล้วนแต่เจอปัญหา แต่ถ้ามีพระรัตนตรัยภายในเป็นที่พึ่ง ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่เป็นปัญหา
มีเหมือนไม่มี ที่ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า อัพโพหาริก
มันมีแต่ว่ามันเหมือนกับไม่มี มีปัญหาแต่ว่ามันเหมือนไม่มีปัญหา ถ้าใครมีอย่างนี้ได้ก็อยู่เป็นสุขทุกแห่ง
สมณะ..ผู้เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง
ถ้าเป็นบรรพชิต
นักบวช จะเป็นภิกษุสามเณร เข้าถึงพระรัตนตรัยในได้ก็อยู่เป็นสุข
นั่ง นอน ยืน เดิน เป็นสุข ซึ่งจะแตกต่างจากผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยภายใน
นั่ง นอน ยืน เดินก็เป็นทุกข์ อยู่ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น
ถ้าหากว่า บรรพชิต นักบวช บวชแล้วปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า บำเพ็ญสมณธรรม คือ ข้อปฏิบัติสำหรับสมณะ
สำหรับบรรพชิตผู้ต้องการความสงบ มีกายสงบ วจีสงบ คำพูดสงบ ใจสงบ ก็จะต้องหยุดอยู่ภายในนี่แหละ
มีพระรัตนตรัยเห็นชัดใสแจ่มกระจ่างถ้าเป็นบรรพชิตก็ได้ชื่อว่า บวชสองชั้น บวชภายใน
และบวชภายนอก มีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่อย่างจะนับจะประมาณมิได้ ที่ท่านเรียกว่า อสงไขยอัปปมาณัง คือ จะนับจะประมาณมิได้ ไม่ว่าจะใช้เครื่องคำนวณชนิดไหน
ก็ไม่อาจจะคำนวณบุญหรืออานุภาพที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย จึงเรียกว่าอสงไขยอัปปมาณัง
เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน ภายนอกก็เป็นพระ
ภายในก็เป็นพระ พระสองชั้น เรียกว่าเนื้อนาบุญตัวจริง ดีจริง แท้จริง
แต่ถ้าเป็นบรรพชิตที่ยังเข้าไม่ถึง
แต่ก็ยังมีความเพียร มีมโนปณิธานตั้งใจที่จะเข้าให้ถึง ก็จัดว่า อยู่ในข่ายแห่งการเป็นเนื้อนาบุญ
แม้ว่าจะอยู่ในขอบเขตริมๆ แห่งเนื้อนาบุญก็ตาม ก็ได้ชื่อว่า อยู่ในข่ายแห่งเนื้อนาบุญ
เพราะมีความตั้งใจที่ดี ประกอบความเพียรอย่างกลั่นกล้า
อย่างถูกหลักวิชชาที่จะให้เข้าถึงรัตนะทั้งสามภายใน
ชีวิตของสมณะนั้นก็อยู่เป็นสุข
มีคุณค่าอันสูงส่ง ควรแก่การเคารพสักการบูชาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย บุญกุศลก็เกิดขึ้นแก่โยมพ่อโยมแม่ทุกวันทุกคืนเลย
รวมทั้งผู้ที่สนับสนุน อุบาสก อุบาสิกา สาธุชน ก็จะมีส่วนแห่งบุญตรงนี้ด้วย
เป็นบรรพชิตจะต้องบำเพ็ญสมณธรรมอย่างนี้
ให้ได้เข้าถึงรัตนะทั้งสามที่อยู่ภายในตัว ใจก็จะสูงส่ง เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน
มีชีวิตเป็นสมณะไปวันต่อวันอย่างมีความสุข อย่างสูงส่ง อย่างเบิกบาน เป็นอิสระเหมือนนกที่บินไปในอากาศ
มีแต่ปีกและหางเป็นประดุจพระอาทิตย์ ดวงตะวันที่เป็นผู้ให้อย่างเดียว ให้พลังงาน
ให้แสงสว่างแก่สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเลย
ถ้าคฤหัสถ์บำเพ็ญอย่างนี้ได้
ก็มีชีวิตประดุจเช่นเดียวกันอย่างนั้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์เช่นสมณะ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น
สมณะภายใน บวชใจ บวชภายใน แม้ไม่ได้บวชภายนอก ชีวิตก็ยังสูงส่ง ประดุจพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่ส่องสว่างในยามราตรี
ขจัดความมืดในยามราตรีให้มันหมดไป มีแต่ความสุขกายสบายใจ ของผู้ที่พบเห็น เป็นผู้ให้อย่างเดียว
ขับความมืดในยามราตรีไป
พระรัตนตรัยมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
พระรัตนตรัยในตัวเป็นสิ่งที่สำคัญนะ
ที่ลูกทุกคนจะต้องใช้วันเวลาที่มีกายมนุษย์หยาบอยู่นี้แสวงหาด้วยการฝึกใจให้หยุดนิ่ง
ให้นุ่ม เบาสบาย
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ภายในสิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ กายภายนอกเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดสลายทุกวันทุกคืน
ทุกอนุวินาที แต่สิ่งที่อยู่ภายใน กายภายในนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใจของเราวันหนึ่งคืนหนึ่งก็ต้องเข้าไปอยู่กับสิ่งนี้
รัตนะทั้งสาม มีอยู่ในกายมนุษย์ทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา
และเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็มีอยู่ แต่ว่าถูกบดบังด้วยความไม่รู้ และด้วยนิวรณ์
๕ เช่น
ใจไปเกาะเกี่ยวหมกมุ่นอยู่ในกาม ในความขัดเคือง ผูกพยาบาท ในความสงสัย ลังเล
เคลือบแคลงเกี่ยวกับเรื่องพระรัตนตรัยบ้าง บุญ บาป กฎแห่งกรรมบ้าง เกี่ยวกับความท้อ
ความเคลิ้ม ความฟุ้ง เป็นต้น เหล่านั้นแหละ ใจจะกระเจิงไปติดอยู่ข้างนอก มักจะเป็นกันอย่างนั้น
ก็เลยบดบังไม่ให้รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และไม่รู้จักสรณะที่แท้จริงภายใน
เพราะฉะนั้น
ลูกทุกคนมีบุญมาก ก็ใช้ความมีบุญนี้แสวงหาพระรัตนตรัยในตัวไว้ให้ได้ทุกวันทุกคืน จึงจะได้ชื่อว่า
มีทั้งบุญและวาสนา เวลาที่เหลืออยู่นี้ก็ให้ประกอบความเพียรฝึกใจให้หยุดนิ่งกันทุกคนนะจ๊ะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565