นึกถึงบุญให้เป็นจริตอัธยาศัย
วันอาทิตย์ที่
๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
- ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะจ๊ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย แล้วก็ผ่อนคลายจริงๆ
ถ้าเราหลับตาเป็น พริ้มๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท
ให้มัน Soft,
soft ละมุนละไม เดี๋ยวมันจะผ่อนคลายไปเองทั้งเนื้อทั้งตัว
สำคัญตรงนี้นะลูกนะ เบาๆ สบายๆ
ปรับกาย
- ปรับใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่บริเวณกลางท้อง ในตำแหน่งที่เรามั่นใจว่าตรงนี้คือศูนย์กลางกายฐานที่
๗
นึกถึงบุญ
แล้วก็นึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
ทั้งที่ระลึกได้และก็ระลึกไม่ได้ ไม่ว่าบุญเล็ก บุญน้อย บุญใหญ่ บุญทุกชนิด
กระทั่งถึงเมื่อเช้านี้ที่เรามาสวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนา บูชาข้าวพระ
ถวายมหาสังฆทานแด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรมรวมเรื่อยมาเลย ถึงภาคบ่ายที่ได้มาประชุมกันหารือที่จะทำงานบุญใหญ่
บุญทุกบุญให้มารวมกันเป็นดวงบุญใสๆ
เป็นดวงบุญใสๆ ใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว เหมือนน้ำแข็งบ้าง เหมือนกระจกใสๆ
บ้าง เหมือนเพชรที่เจียระไนแล้วบ้าง หรือยิ่งกว่านั้น กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็น เหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ คือไม่แสบตา ไม่จ้าตา จะใสๆ สว่างเนียนตาละมุนใจ
เป็นดวงใสๆ
อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา เอาใจของเราหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกาย
กลางดวงบุญตรงนี้ อย่างเบาๆ สบายๆ หรือใครถนัดนึกถึงองค์พระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ก็จะนึกเป็นองค์พระแทนก็ได้
วัตถุประสงค์การนึกถึงบุญ
วัตถุประสงค์ต้องการให้ดวงใสๆ
องค์พระใสๆ เชื่อมโยงใจของเรา
หรือดึงใจของเราให้ออกมาจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตประจำวันที่ผ่านมา มาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข
ความบริสุทธิ์ ความสำเร็จในชีวิตของเรา เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายนับพระองค์ไม่ถ้วน
วัตถุประสงค์ที่เรากำหนดก็เพื่อการนี้ และก็เป็นการให้ใจของเรานี่วนเวียนอยู่ในกระแสธารแห่งบุญ
เมื่อเรานึกถึงบุญ บุญที่เราทำไปแล้ว
ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ทั้งทางโลกทางธรรม มารวมอยู่ในตัวของเรานี่แหละ แต่เรายังมองไม่เห็น
ทั้งๆ ที่มีอยู่จริง แต่ว่าเมื่อใจเราหยุดนิ่ง นุ่ม เบา สบาย บ่อยๆ ซ้ำๆ
เดี๋ยวก็จะปรากฏเกิดขึ้นตั้งแต่เป็นจุดสว่างเล็กๆ ในกลางกาย
พอเรานึกบ่อยๆ ดวงบุญนี้จะขยายเพิ่มขึ้น
โตขึ้น การที่ดวงบุญขยายโตขึ้น จะมีผลก็คือ จะดึงความสุขและความสำเร็จของชีวิตให้เกิดขึ้นกับเราให้เร็วขึ้น
โดยความสุขจะมาก่อน ความสุขนี้จะเกิดขึ้นที่ใจ
และขยายมาสู่ที่กาย สู่ที่ระบบประสาทกล้ามเนื้อทุกอย่างของเรา บุญจะขยายมาให้ความสุขก่อน
แล้วก็จะไปดึงดูดความสำเร็จทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งโลกียทรัพย์และอริยทรัพย์ให้บังเกิดขึ้นกับตัวของเรา
มันก็จะโตขึ้น ยิ่งบุญโตขึ้นความสำเร็จก็มากขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ใจก็ยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้น บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราก็ต้องนึกถึงบุญให้คุ้นเคย
เพราะเราจะต้องเอาไปใช้ในยามที่เราจำเป็น ในยามที่เราประสบปัญหาต่างๆ
หรือในยามที่เราจะปฏิบัติธรรม แม้ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย กระทั่งถึงช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตของเรา
ถ้าเรานึกจนเราคุ้นเคยแล้ว มันก็จะชินติดเป็นนิสัย
เป็นอุปนิสัย เป็นจริตอัธยาศัยติดตัวเรา มันก็จะเป็นอัตโนมัติ แล้วใจของเราก็จะใสๆ
มีความพร้อมเสมอที่จะเผชิญปัญหา และแรงกดดันของชีวิต เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสุขที่เพิ่มพูนทับทวีมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น นึกถึงบุญนะจ๊ะ หยุดนิ่ง นิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ เบาในระดับที่เราไม่ขมวดคิ้ว ผ่อนคลาย สบายๆ ยิ่งเรานิ่ง นุ่ม เบาสบาย ดวงก็จะเกิดขึ้นใสๆ
ชัดขึ้นมา เป็นองค์พระ องค์พระก็จะใส สว่างบังเกิดขึ้นมาที่กลางกาย
สภาวธรรมภายใน
ตัวของเราก็จะค่อยๆ โปร่ง โล่ง เบา สบาย
ตัวก็จะขยาย แล้วมันก็จะหายไปเลย เหมือนกลืนไปกับบรรยากาศ มีแต่ที่โล่งๆ ว่าง แล้วก็มีแต่ดวง
หรือองค์พระใสๆ ที่เรามองเห็น ยิ่งใจเรายิ่งนิ่ง นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายก็จะยิ่งชัดขึ้น
จนกระทั่งเท่ากับลืมตาเห็นภาพ
เหมือนเราลืมตาเห็นภาพภายนอก
แต่นี่เป็นการเห็นภาพภายใน เห็นดวงใส เห็นองค์พระใส ยิ่งเรานิ่งในนิ่ง นุ่มๆ เบาๆ
สบาย ก็จะยิ่งชัดเพิ่มขึ้น มากกว่าลืมตาเห็น เหมือนเราเอาแว่นขยายไปส่องดูภาพ
ไม่ว่าจะดูภาพภายนอกหรือภาพภายใน คือมันจะชัดแจ่มกระจ่าง ถ้าเป็นดวงขอบของดวงมันจะคมชัดใสแจ่มทีเดียว
ถ้าเป็นองค์พระขอบขององค์พระจะชัดแจ่มแล้วก็เห็นท่าน แม้เบื้องต้นจะเป็นภาพ Top view หรือมองจากด้านบนลงไปด้านล่างก็ตาม แต่ว่ามันจะชัดมาก
การดูเฉยๆ นิ่งๆ นุ่มๆ
ก็คือการทำใจหยุดนั่นเอง ใจจะหยุดนิ่ง นุ่ม เบาสบาย มันชัดอย่างน้อยเท่ากับลืมตาเห็น
และเพิ่มขึ้นไปยิ่งกว่าลืมตาเห็น
พอเรานึกจะให้ขยาย ไม่ว่าจะเป็นดวงหรือองค์พระ
มันก็จะขยายได้ ขยายให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่เท่ากับตัวของเรา ใหญ่กว่าตัวของเราก็ได้ ให้ขยายใหญ่กว่าตัวของเราสัก
๑๐ เท่า ๒๐ เท่า ก็ขยายใหญ่ได้ ให้ขยายใหญ่เท่ากับสภาธรรมกายสากลก็ได้ ความชัดก็ยังคงเดิม
โดยใจเราอยู่ที่เดิม ตรงกลางนิ่ง นุ่ม เบาสบาย
พอเรานึกให้ย่อเล็กลง ไม่ว่าจะเป็นดวงใสๆ
หรือองค์พระใสๆ ท่านก็จะย่อตามใจปรารถนาของเราที่เราได้ตั้งโปรแกรมไว้ ให้เล็กลงมา
เล็กกว่าตัวของเราก็ได้ เล็กเท่ากับหัวแม่มือก็ได้
จนกระทั่งเล็กเท่ากับปลายเข็มก็ได้ เล็กนิดหนึ่งแต่ก็เห็นรายละเอียดชัด เหมือนกับขยายให้ใหญ่ขึ้น
มันก็ไม่แตกต่างกันในความชัดเจนก็จะชัด เหมือนกันเลยไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก อย่างนี้เขาเรียกว่าฌานกีฬา
เล่นฌานกีฬา ฌานกรีฑาอะไรอย่างนั้นแหละ
ใจก็จะได้อยู่ที่ตรงนี้ เราก็ฝึกซ้ำๆ ซ้ำให้ชำนาญ
ให้ขยายใหญ่ขึ้นได้ ให้ย่อให้เล็กลงไปก็ได้ ทำซ้ำๆ ซ้ำจนชำนาญเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว เดี๋ยวก็หมดชั่วโมง
จนกระทั่งลืมเวลาไปเลย แค่ขยาย ย่อ ให้ใสบริสุทธิ์ สว่าง ทั้งชัด ทั้งใส ทั้งสว่าง
แล้วจะแจ่มขึ้นมา
ถ้าทำอย่างนี้ได้ล่ะก็
มันก็จะมีอานิสงส์ใหญ่ บุญก็ยิ่งเกิดขึ้นเป็นทับทวีไปเรื่อย
ความบริสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้น ความสุขความสำเร็จก็เพิ่มพูนทับทวีไปเรื่อยๆ นี่เราฝึกอย่างนี้
ซ้ำๆ ซ้ำจนชำนาญ พอชำนาญแล้วเราก็มองไปตรงกลาง
กลางดวงใสๆ จะให้เห็นดวงใหม่เกิดขึ้นก็ได้
จะเห็นดวงในดวง ดวงในดวงผุดผ่านขึ้นมา พร้อมกับนำความสุข
ความบริสุทธิ์มาให้กับเราเพิ่มขึ้น หรือถ้าจะเป็นองค์พระ
มองเข้าไปในกลางองค์พระเราก็มองได้ จะให้ท่านผุดผ่านองค์พระในองค์พระก็มีองค์พระผุดซ้อนๆ
ซ้อนขึ้นมาก็ได้
ผ่านมานี่ กาย วาจาใจของเราก็จะถูกกลั่นให้ใส
สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เรารู้แต่ว่าความบริสุทธิ์มันเพิ่มขึ้น
ความสุขเพิ่มขึ้น ใจของเราก็จะค่อยๆ ใส เพิ่มขึ้นไป เราจะมีปีติสุขเบิกบานบุญบันเทิง
องค์พระก็จะผุดผ่าน ดวง ก็จะผุดผ่าน
เราก็ทำซ้ำๆ ซ้ำให้ชำนาญ อยู่ที่ไหนเราก็ลองฝึกอย่างนี้
ในทุกหนทุกแห่ง จะในบ้านนอกบ้าน ที่ตรงไหนเราก็ฝึกทำไป ทำกันไปอย่างนี้ทุกวันทุกคืน
หรือเราจะมองกลางดวงให้เห็นองค์พระ มองกลางองค์พระให้เห็นดวงสลับกันไปอย่างนี้ก็ได้
ใจก็จะยิ่งใสๆ ใส ใจที่หยาบก็จะถูกกลั่นให้ละเอียด
ที่ทื่อๆ ก็เหมือนจะถูกเหลาให้ทั้งแหลมทั้งคม ที่พร้อมจะเข้ากลางของกลางต่อไปเรื่อยๆ
ไปเอง กระทั่งเข้าไปถึงกายภายในทั้ง ๑๘ กายได้เองอย่างง่ายๆ
ทั้งหมดนี้อยู่ที่การฝึกฝน
นี่คืองานที่แท้จริงของเรา
งานรื้อภพรื้อชาติ รื้อวัฏฏะ ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้ง
ถ้ามีบุญวาสนาก็มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย และก็มาทำงานอย่างนี้
นี่คืองานที่แท้จริง เป็นงานหลักของชีวิต
ส่วนงานทำมาหากินนั้น เป็นเครื่องอาศัย เรื่องรองลงมา
ทั้งสองอย่างเราก็ต้องทำควบคู่กันไป เมื่อสังขารร่างกายเรายังจำเป็นที่จะต้องมีปัจจัย
๔ เราก็ทำมาหากิน ทำมาค้าขาย ทำมาสร้างบารมี แต่ไม่ใช่มัวทำมาหากินอย่างเดียว โดยไม่แสวงหาสิ่งที่ยิ่งกว่า
คือ ทรัพย์ภายในที่เป็นเครื่องปลื้มใจของพระอริยเจ้า เราทำให้เติมเต็มกับความพร่องของชีวิต
จนเกิดความรู้สึกว่าเรามีความพึงพอใจอันสูงสุดจนไม่ปรารถนาอะไรอีก
อยู่อย่างมีความสุข
พอใจเราหยุดนิ่งได้ ไปที่ไหนก็ได้ในโลกทุกหนทุกแห่ง
จะอยู่ตรงไหนก็มีความสุข นั่งก็มีสุข นอนก็มีสุข ยืนมีสุข เดินมีสุข
จะขับถ่ายรับประทานอาหาร เหยียดแขน คู้แขน ก็มีความ สุขอยู่ภายใน ตาเราลืมไป
กายเคลื่อนไหว แต่ภายในเราเห็นดวงใส องค์พระชัดใสแจ่มทีเดียว อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่า
ชีวิต ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณภาพทั้งภายนอกและภายใน เรามาเกิดชาตินี้เราก็ไม่สูญเปล่า
ผ่านชีวิตไปแต่ละวันด้วยสิ่งที่มีคุณค่า
เพราะฉะนั้น ให้ลูกทุกคนหยุดใจนิ่ง นุ่ม
เบาสบาย ให้ใจใสๆ ก่อนที่เราจะได้สร้างมหาทานบารมีกันต่อไป
ใจของเราจะได้ใสสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างมหาทานบารมี
นำปัจจัยที่เราได้มาด้วยความยากลำบากในสถานการณ์ยุคนี้นี่มาสั่งสม
ฝากฝังสมบัตินี้ไว้ในพระพุทธศาสนา ให้เป็นสมบัติติดตัวข้ามชาติไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคนทำให้ถูกหลักวิชชา ทั้งก่อนสร้างมหาทานบารมี กำลังทำ
และหลังจากทำแล้ว
ในช่วงนี้เป็นช่วงก่อนที่เราจะถวายปัจจัย ๔ เพื่อฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา
ก็ให้ตั้งอกตั้งใจชำระกาย วาจา ใจของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ด้วยการหยุดใจของเรานิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ นะจ๊ะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565