ประโยชน์ ๓
วันอาทิตย์ที่
๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ พอสบายๆ
หลับตาค่อนลูกพอสบายๆ อย่าถึงกับปิดสนิท เหมือนปรือๆ ตานิดๆ พริ้มๆ พอสบายๆ
สำคัญนะลูกนะ ตรงนี้สำคัญนะ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาพริ้มๆ
พอสบายๆ
แล้วร่างกายทุกส่วนของเราจะผ่อนคลาย ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า
ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือ ก็จะผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว
ขาทั้งสอง ถึงปลายนิ้วเท้า ก็จะผ่อนคลายตามไปด้วย
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด
บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องคน สัตว์
สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพัน
ทำประหนึ่งว่าตอนนี้เราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยมีภารกิจมาก่อนเลย
ใจของเราจะได้ปลอดโปร่ง ไร้พันธนาการของชีวิต จะได้เบิกบาน แช่มชื่น
เป็นใจที่เหมาะสมต่อการเจริญสมาธิภาวนา
ทุกสรรพสิ่งล้วนไปจู่สุดสลาย
ต้องปลด ต้องปล่อยวาง
ทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่งในช่วงที่เรากำลังเจริญสมาธิภาวนากันอย่างนี้
เพราะชีวิตเราเดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิตไปแล้ว ไม่ช้าเลย
สังขารก็เสื่อมลงไปทุกวันโดยที่เราไม่อาจจะต้านทานได้และก็ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะพยายามฝืนแค่ไหนก็ตาม
ก็ไม่อาจต้านทานความเสื่อมของสังขารได้
มันเป็นปกติ
เป็นสภาวะที่เป็นธรรมชาติอย่างนี้ เมื่อเกิดขึ้น ชีวิตก็ตั้งอยู่แล้วก็ไปสู่จุดสลาย
ทั้งตัวเราและผู้อื่น ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ล้วนแต่เป็นอย่างนี้ทั้งสิ้น
แล้วเราก็มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็จำกัด
โดยเฉพาะในช่วงอายุขัยเฉลี่ยมนุษย์ทั้งโลก
๗๕ ปี นี่เราผ่านกาลเวลากันมาก็เยอะแล้ว สมมติว่าเราอยู่ไปถึงอายุขัยเฉลี่ย ๗๕ ปี
นับจากนี้ไปก็เหลือไม่นานนัก
แต่ความตายไม่มีนิมิตหมาย เหมือนเพื่อนกัลยาณมิตร
วงบุญของเราต่างก็ทยอยเดินทางออกจากโลกนี้ไปก่อนถึงวัยอายุขัยเฉลี่ย
บ้างก็ไม่ถึงอายุขัยเฉลี่ย ๗๕ ปี บ้างก็ถึง ๗๕ ปี
มีเป็นจำนวนน้อยที่เกินอายุขัยเฉลี่ยที่อายุเกิน ๗๕ ปีขึ้นไป ก็ทยอยกันไปอย่างนี้
เป็นสัจธรรมความจริงของชีวิตว่า ความตายไม่มีนิมิตหมายจริงๆ
เพราะเรามีระเบิดเวลาอยู่ในตัวกันทุกคนตามวิบากกรรมที่เราได้ทำผ่านมา
ในยามที่อกุศลเข้าสิงจิตทั้งในปัจจุบันและก็ในอดีตที่ผ่านมา
มันก็มาเป็นโปรแกรมที่ถูกเซตขึ้นมา ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด จะระเบิดตอนไหนเราก็ไม่ทราบ
ไม่มีนิมิตหมาย
ประโยชน์
๓
ชีวิตเราก็ต้องใช้ให้มันมีประโยชน์ให้สูงสุด
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่าเราจะต้องทำประโยชน์ให้ได้ครบ ๓ อย่าง
คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง
ประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลประโยชน์
หมายถึง ประโยชน์สุข
ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ปิดอบายภูมิให้แก่เราได้ ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน
ประโยชน์ในปัจจุบัน คือ ปัจจุบันนี้อยู่เป็นสุข
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม ก็ต้องอยู่เป็นสุข ดำเนินชีวิตมีศีล มีธรรม มีความสุขกาย
สบายใจ แม้ตัวเราเองก็ยังหาข้อบกพร่องไม่ได้ และใครก็หาข้อบกพร่องกับเราไม่ได้
เทวดามีตาทิพย์ก็ยังไม่เห็นข้อบกพร่องของเราเลย นึกแล้วเราจะมีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ
ปลื้มใจกันไปวันต่อวัน และก็ใช้วันเวลาทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมีกันไป
ประโยชน์ในอนาคต
คือ ตายแล้วไปสวรรค์ ไปสู่เทวโลก
ประโยชน์อย่างยิ่ง
คือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ ทำกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ในระดับที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
เป็นพระอริยเจ้า หรืออย่างน้อยก็เป็นโคตรภูบุคคล มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือ เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ
พุทธรัตนะ ก็คือ ธรรมกายในตัวนั่นเอง
มีอยู่แล้วในตัวของเรา อย่างน้อยก็ต้องอย่างนี้ ชีวิตจึงจะมีคุณค่า
ชีวิตจะได้สูงส่ง เป็นการดำเนินชีวิตอย่างฉลาด อย่างบัณฑิตอย่างนักปราชญ์ที่ฉลาดทั้งทางโลกทางธรรม
นั่ง นอน ยืน เดิน ก็เป็นสุข
วางใจ
ตอนนี้อยู่ในช่วงที่เราจะดำเนินชีวิตให้เป็นประโยชน์ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ การแสวงหาพระรัตนตรัยในตัว เราก็จะต้องเริ่มต้นจากรวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ซึ่งเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา และเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ไปเกิด
ไปเกิด ใจจะเคลื่อนจากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖ อยู่ระดับเดียวกับสะดือ
กลางท้องของเรา กายละเอียดก็เลื่อนไปฐานที่ ๕ ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ไปฐานที่
๔ เพดานปากช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๓ ที่กลางกั๊กศีรษะ ฐานที่ ๒ ที่เพลาตา
หัวตาที่น้ำตาไหล หญิงซ้ายชายขวา ฐานที่ ๑ ปากช่องจมูก หญิงซ้ายชายขวา ไปเกิดจะก็ไปตามฐานต่างๆ
แต่ถ้าหากว่า จะไม่ไปเกิดแล้ว หรือไปแบบ สุคโต ต้องเดินเข้าไปสู่ข้างใน คือ เดินตามรอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าสุคติต้องตรงข้ามกันไป อย่างไปสู่เทวโลก ไปตามฐานต่างๆ ดังกล่าวนั่นแหละ ๗, ๖,
๕, ๔, ๓, ๒, ๑ ออกไปทางปากช่องจมูก นั่นไปสู่สุคติ ถ้าสุคโตไปดี ไม่มีเสียเลย
คือบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ กระทั่งกิเลสอาสวะหมดสิ้นไม่มีเหลือเลย เรียกว่า สุคโต ต้องหยุดนิ่งอยู่ตรงกลาง
ตรงฐานที่ ๗ พอถูกส่วนก็จะเห็นเส้นทางที่จะไปดี เส้นทางสายกลางภายในมีอยู่เส้นเดียว
เรียกว่า เอกายนมรรค เป็นแนวดิ่งลงไป
เส้นทางสายกลาง
พอนิ่งถูกส่วนใจก็จะเคลื่อนเข้าไปในเส้นทางสายกลางตรงนี้
เส้นทางเดียว เอกสายเดียว เป็นแนวดิ่งลงไปตรงนี้
พอถูกส่วนใจก็จะตกศูนย์เหมือนตกจากที่สูงลงไป แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมา เป็นดวงกลมๆ
เหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
นำมาซึ่งความสุข ความบริสุทธิ์
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นของใจเรา ที่เราจะเริ่มต้นในเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์นี้
ที่เรียกว่า วิสุทธิมรรค ทางแห่งความบริสุทธิ์
จะเห็นความบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นภายในชัดใสแจ่ม
เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก หลับตาเหมือนลืมตา เห็นดวงใสติดอยู่ตรงกลาง
กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
หรือใหญ่กว่านี้แล้วแต่ตามกำลังบารมีที่ไม่เท่ากัน
จะใสบริสุทธิ์สว่าง
ใจจะหยุดนิ่งอยู่ภายในกลางดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานตรงนี้ นิ่งเพราะอยากนิ่ง
อยากหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เนื่องจากอยู่ตรงนี้อยู่เย็นเป็นสุข คือใจมันจะเย็น
จะใสๆ เย็นๆ เย็นสบาย ไม่ใช่เย็นเหมือนอยู่ในห้องแอร์ ฤดูหนาว
หรือเย็นแบบน้ำแข็งขั้วโลกไม่ใช่อย่างนั้นนะจ๊ะ เย็นสบาย เย็นเป็นสุข
จะใสๆ สว่างอยู่กลางกาย
ซึ่งความรู้สึกของร่างกายของเรามันหายไปแล้ว แต่ตำแหน่งอยู่ที่บริเวณตรงนั้น สภาวะเหมือนลอยอยู่ในกลางอวกาศโล่งๆ
แล้วใจก็จะนิ่งแน่นอยู่กลางดวงปฐมมรรค หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
พอถูกส่วนมันจะขยาย ดวงธรรมนี้จะขยายออกไปจนตกขอบไปเลย
แล้วตรงกลางก็จะขยายมาเป็นดวงธรรมดวงใหม่ที่บริสุทธิ์กว่าเดิม เรียกว่าดวงศีล ทำให้ใจใสเย็นหนักขึ้นไปอีก
หยุดอยู่ในกลางดวงศีล ก็เข้าถึง ดวงสมาธิ
เป็นดวงใสเย็น ใจตั้งมั่นเพิ่มขึ้น
หยุดในกลางดวงสมาธิ ก็เข้าถึง ดวงปัญญา
หยุดอยู่ในกลางดวงปัญญา ก็เข้าถึง ดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตติ ก็เข้าถึง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
จะเป็นดวงลักษณะเดียวกันแต่ว่าใสกว่า
สว่างกว่า บริสุทธิ์กว่า ดวงก็บริสุทธิ์กว่า ใจ ก็บริสุทธิ์กว่า มันจะใสสว่าง
เย็นกายเย็นใจ กายเบาใจเบา เป็นสุขที่เหนือการที่ได้ครอบครองโลกียทรัพย์
แล้วก็จะเข้าถึงกายภายในที่มีลักษณะเหมือนกับตัวเรานี่แหละ นั่งขัดสมาธิ
เจริญสมาธิภาวนา หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา อยู่ในวัยเจริญ
ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชาย อยู่บนแผ่นฌานอาสนะใสๆ
สงบนิ่งอยู่ภายใน เป็นกายมนุษย์ละเอียดของตัวเรา
ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็จะมีในทำนองอย่างนี้
มีดวงธรรมเป็นชุดๆ แล้วก็มีกายต่างๆ ผุดซ้อนกันที่อยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
มีทั้งกายทิพย์หยาบ-ละเอียด กายพรหมหยาบ-ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ-ละเอียด อรูปพรหมหยาบ-ละเอียดซ้อนๆ
กันอยู่ภายในเป็นชั้นๆ
กระทั่งเข้าถึงกายธรรมโคตรภู ซึ่งเป็นตัวพระรัตนตรัย
เป็นเนื้อเป็นหนังพระรัตนตรัยที่เรียกว่า พุทธรัตนะ
รัตนะ แปลว่า แก้ว ใสสว่าง พุทธะ ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
ในความเป็นจริงของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย
เป็นผู้ตื่น คือ ตื่นตัวตื่นใจ
ตื่นจากหลับจากกิเลส มันคล้ายๆ กับเราตื่นนอนขึ้นมา ซึ่งต่างจากการงัวเงีย หรือหลับอยู่
แต่นี่เป็นการตื่นของชีวิต ชีวิตที่แจ่มแจ้งกว่าเดิม
ชีวิตที่กำลังจะพ้นจากวัฏสงสาร จากภพภูมิต่างๆ ที่มีความทุกข์ทรมานของชีวิต หลุดออกมาสู่โลกของความสุข
สดชื่น เบิกบานที่ไม่ได้อาศัยคน สัตว์ สิ่งของ วัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญ เขาเรียกว่า นิรามิสสุข สุขที่ไม่ได้อาศัยวัตถุ
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้คน มันเหนือกว่าความสุขที่ได้จากคน สัตว์ สิ่งของ ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุข เมื่อเข้าถึงธรรมกายโคตรภูอย่างนี้
เป็นผู้เบิกบาน
แล้วเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบาน เหมือนปลาที่หลุดจากข้องขัง เป็นอิสระ ใจที่เป็นอิสรภาพจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
นั่นคือความเบิกบานของชีวิต ชีวิตคือความเป็นอยู่ จะเป็นอยู่ก็เบิกบาน ทั้งนั่ง
นอน ยืน เดิน ก็เบิกบาน แม้อยู่ตามลำพังก็อยู่ได้ เบิกบานด้วยตัวเอง
เป็นสุขอยู่ด้วยตัวเอง เหมือนดวงอาทิตย์ที่มีพลังงานและแสงสว่างในตัวเอง
จึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธรัตนะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา กลางพุทธรัตนะก็มีธรรมรัตนะ
กลางธรรมรัตนะก็มีสังฆรัตนะเป็นอย่างนี้ จิตก็บริสุทธิ์มีที่พึ่ง
ความสุขอยู่ที่ใจหยุดนิ่ง
ชีวิตของเราในโลกมันมีแต่ความว้าเหว่ เหงา
แล้วก็เข้าใจว่า ความสุขมันอยู่ที่อื่น ต้องไปพึ่งพิงพึ่งพาสิ่งเหล่านั้น คน สัตว์
สิ่งของ มันก็จะเหงาๆ อยู่ตามลำพังไม่ได้ ต้องไปแสวงหาสิ่งเหล่านั้น แล้วก็พอมันไม่ใช่
ก็เบื่อ เบื่อก็แสวงหาในสิ่งที่ตัวคิดว่าใช่ตามอุดมคติ แสวงหาเรื่อยไป คนนี้ไม่ใช่
ก็คนโน้น ของนี้ไม่ใช่ ก็ของนั้น สัตว์นี้ไม่ใช่ก็สัตว์นั้น คน สัตว์ สิ่งของไปเรื่อยๆ
เหมือนได้ความสุขมาชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็ขว้างความสุขทิ้งไป
แล้วก็วิ่งตามไปเก็บเอาใหม่
วิ่งตามหาความสุขแต่ก็ไม่เจอ
เพราะความสุขไม่ได้อยู่ตรงนั้น ความสุขมันอยู่ที่ใจหยุดกับนิ่ง ถ้าใจไม่หยุดไม่นิ่งมันก็ไม่มีความสุข
ก็ไปหาในสิ่งที่ไม่มีมันก็ไม่มี มันก็ไม่เจอ แต่เราคาดหวังว่ามันมี
นึกว่าอยู่ที่คนก็ไปหาที่คน
นึกว่าอยู่ที่ของก็ไปหาที่ของ นึกว่าอยู่ที่สัตว์ก็ไปหาที่สัตว์ นึกอยู่ที่ลาภ ยศ
สรรเสริญ อำนาจ วาสนา ก็ไปแสวงหาตรงนั้น ไปหาในสิ่งที่ไม่มี มันก็หมดเวลาของชีวิตไปเปล่าๆ
แต่สิ่งที่มีมันมีอยู่ในตัว อยู่ตรงที่ใจหยุดนิ่ง นิ่งเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
เห็นองค์พระชัดใสแจ่มกระจ่างกลางกายอย่างนี้ เราจึงจะเจอความสุข รู้จักความสุข
ยอมรับว่า นี่คือความสุข เห็นความแตกต่างของความสุข
อย่างนี้เรียกว่าสุขจริงๆ ยอมรับ ที่ผ่านๆ มาไม่ยอมรับ มันมีปัญหา มันแบบสุก ก.ไก่
ของทางโลก ที่อยู่ที่คน ที่สัตว์ สิ่งของ สุกเกรียมสุกไหม้
เผาลนใจให้เร่าร้อนอย่างนั้น
สุขจากการหยุดนิ่งมันสุข ข.ไข่ สุขกายสบายใจ
เป็นนิรามิสสุขที่พระอริยเจ้าท่านสรรเสริญ ยกย่อง ชื่นชม เพราะท่านผ่านกามสุขเหล่านั้นมาแล้ว
สุขที่อาศัย วัตถุสิ่งของ กับสุขที่ไม่ได้อาศัยวัตถุสิ่งของ
แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านจะยกย่อง ชื่นชมสรรเสริญ สุขที่ไม่ได้อิงวัตถุ
ไม่ได้อิงคน สัตว์ สิ่งของ ที่เรียกว่า นิรามิสสุข ซึ่งเกิดได้เพียงประการเดียว คือ
นำใจให้มาหยุดนิ่งอยู่ภายใน จนกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัย และจะสุขขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีเท่าเดิม ไม่มีลดลง มีแต่เพิ่มพูนขึ้นไป ยกกำลังกันขึ้นไป
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ยังอยู่ในยุคที่พุทธศาสนายังเจริญรุ่งเรือง
วิธีการเข้าถึงความสุขก็ยังอยู่ ให้ตั้งอกตั้งใจประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา ด้วยการนำใจมาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
หยุดอยู่ในกลางดวงใส หรือตรึกนึกถึงองค์พระแก้วใสๆ หยุดในกลางองค์พระแก้วใสๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
อย่างสม่ำเสมอ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเราว่า สัมมาอะระหังๆๆ เรื่อยไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่งก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น แจ่มใส เย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียรให้ถูกหลักวิชชา ให้ตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565