เส้นทางพระนิพพาน
วันอาทิตย์ที่  ๒๓  สิงหาคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น. 
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล  วัดพระธรรมกาย  
ปรับกาย 
 
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้  แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะลูกนะ 
 
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ 
 
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก พอสบายๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท เหมือนเราปรือๆ ตา หลับตาพริ้มๆ
ไม่ถึงกับปิดสนิท  อย่าบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาพอสบายๆ ตรงนี้สำคัญนะลูกนะ ถ้าเราหลับตาเป็น
เราก็จะเห็นภาพภายใน หลับตาพอสบายๆ 
 
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่าไหล่ แขนทั้งสอง
ถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสอง ถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย
ผ่อนคลายร่างกายของเรานะ อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเราเกร็งตึง
ให้ผ่อนคลาย 
 
ปรับใจ
 
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง จะเป็นเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในทุกสิ่ง 
 
ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลก
ยังไม่เคยเจอเครื่องกังวลมาก่อนเลย เหมือนเราอยู่คนเดียวในโลก ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น 
 
วางใจ
 
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ 
 
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา
๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง  ให้เส้นด้ายทั้งสองนั้นตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นก็คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ 
 
หรือเราจำง่ายๆ ว่า
อยู่ในบริเวณกลางท้อง ในระดับที่เรามั่นใจว่า เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ คือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน
แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นแหละ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ  เป็นที่ตั้งใจของเรา
คือ เราจะต้องเอาใจมาตั้งไว้ที่ตรงนี้ เอาความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้
หรือง่ายๆ คือ ทำความรู้สึกนึกคิดอะไรทุกอย่างมารวมอยู่ที่ตรงนี้อยู่กลางท้อง
 
ความสำคัญของฐานที่ ๗
 
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา เกี่ยวกับตัวเราทั้งสิ้นเลย 
 
เวลาเรามาเกิด เราเป็นกายละเอียด
เราผ่านเข้าครรภ์บิดา โดยเริ่มต้นจาก
ฐานที่
๑
 ทางปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา เป็นกายละเอียดเข้าปากช่องจมูก
แล้วเลื่อนไป 
ฐานที่
๒
ที่หัวตา หญิงซ้าย ชายขวา 
ฐานที่
๓
 ที่กลางกั๊กศีรษะ ระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่
๔
 เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก 
ฐานที่
๕
 ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก 
ฐานที่
๖
 ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง ในระดับเดียวกับสะดือ
ฐานที่
๗
 เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือที่กลางกายของบิดา
เป็นกายละเอียดอยู่ที่ตรงนั้น  แล้วก็ดึงดูดให้บิดาเข้าไปหามารดาเพื่อประกอบธาตุธรรมส่วนหยาบ
เอาธาตุธรรม ส่วนหยาบห่อหุ้มกายละเอียดของเรา 
 
พอถูกส่วนแล้ว กายละเอียดก็เคลื่อนย้ายจากบิดาจากฐานที่
๗, ๖, ๕, ๔, ๓, ๒, ๑ แล้วก็ไปเข้าสู่ครรภ์มารดา ไปตามฐานเช่นเดียวกัน เริ่มต้นจากฐานที่
๑ ปากช่องจมูกเรื่อยไปหยุดที่ฐานที่ ๗ ของมารดา แล้วธาตุหยาบของบิดามารดาที่ประกอบกันถูกส่วนก็ห่อหุ้มกายละเอียดของเราเอาไว้
แล้วต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่มารดา ที่จะหล่อเลี้ยงเราด้วยธาตุหยาบของท่าน 
 
บิดามารดาท่านก็มีพระคุณกับเราอย่างนี้แหละ
ให้เราได้ประกอบธาตุหยาบขึ้นมา ส่วนกายละเอียดก็เป็นส่วนของเรา  พอถึงกำหนดก็เคลื่อนออกจากครรภ์มารดาเป็นมนุษย์
มาเป็นตัวเรา เจริญเติบโตด้วยอาหารหวานคาวต่างๆ เรื่อยมาเลย 
 
เมื่อถึงเวลาเราจะตาย
ใจของเราก็จะมาอยู่ตรงนี้ ฐานที่ ๗ แล้วกายละเอียดก็จะเคลื่อนไปฐานที่ ๖, ๕, ๔, ๓,
๒, ๑ ออกทางปากช่องจมูก แล้วก็ไปแสวงหาที่เกิดตามกำลังบุญบาปที่ได้กระทำเอาไว้
เกิด ดับ ก็อยู่ที่ตรงนี้ 
 
เวลาเราหลับใจก็มาอยู่ตรงนี้
ตื่นก็ตื่นตรงนี้ เพราะฉะนั้นเกิด ดับ หลับ ตื่น ก็ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตรงนี้นะจ๊ะ 
 
และสำคัญที่สุด
คือ นอกเหนือจากเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของตัวของเราแล้ว
ยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ไม่มีเว้นแม้แต่พระองค์เดียว
ท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ก็โดยที่ใจของท่านมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
 
โทษภัยของชีวิตในสังสารวัฏ
 
พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อท่านเห็นทุกข์โทษภัยของชีวิตในสังสารวัฏที่เวียนว่ายตายเกิด
เกิดไปเป็นโน่น  เป็นนี่เป็นสารพัด  เป็นมนุษย์ชนชั้นล่างบ้าง ชั้นกลางบ้าง ชั้นสูงบ้าง
 
ถ้าประมาทในการดำเนินชีวิต
และก็ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
วิบากกรรมอะไรต่างๆ กิเลส กรรม วิบาก เหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นอันตรายสำหรับชีวิต  ก็จะดำเนินชีวิตผิดพลาด พลัดไปสู่อบาย ไปเกิดในมหานรก
ในอุสสทนรก ในยมโลก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะหวนคืนมาเป็นมนุษย์ก็ยากมาก
เป็นมนุษย์ก็ไม่สมบูรณ์ ถ้ามาจากอบายใหม่ๆ ทั้งกายและใจ และในทุกๆ ด้าน 
 
ในยามที่ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ไปสู่เทวโลก สู่สุคติภพ
พอหมดกำลังบุญก็ต้องจุติลงมาใหม่ เป็นเทวดาตกสวรรค์อย่างนั้นแหละ มาเกิดในเมืองมนุษย์
ก็เวียนตายเวียนเกิดกันอย่างนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน หาหนทางออกไม่พ้น เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ยังไม่รู้แม้แต่ตัวเองว่า ตัวเองก็ยังไม่รู้อะไรเลย ยังไม่รู้ว่า ตัวเองยังไม่รู้
หรือรู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ก็แสวงหาความรู้ แต่ไม่พบผู้รู้บ้าง ก็ค้นคว้าเอาไปตามความเข้าใจของตัว
 ชีวิตก็วนเวียน เวียนตายเวียนเกิด 
 
เมื่อมาเป็นมนุษย์ก็มีความทุกข์ทรมานของชีวิต
เป็นชนชั้นล่างก็ทุกข์แบบชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางก็ทุกข์แบบชนชั้นกลาง  ชนชั้นสูงก็ทุกข์แบบชนชั้นสูง  ก็แปลว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เชื้อชาติ ศาสนา
และเผ่าพันธุ์ใด ล้วนมีความทุกข์ทั้งสิ้น ทุกข์ประจำตัวก็มีเกิดจากภาย  ในใจ ภายในตัวของเรา ทุกข์ที่จรมาก็มีอีก 
 
ผู้มีบารมีแก่ๆ  บรมโพธิสัตว์ทั้งหลายเห็นโทษภัยของชีวิตในสังสารวัฏ
ท่านก็เบื่อหน่าย อยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต  ท่านก็ปลีกตัวออกจากเพศของคฤหัสถ์
 
เพราะชีวิตของฆราวาส
มันคับแคบ อึดอัด มันวนเวียน วันๆ ก็มีแต่เรื่องเดิมๆ จำเจอยู่อย่างนั้น
มันถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ยกระดับฐานะออกจากเพศคฤหัสถ์มาเป็นเพศบรรพชิต มาเป็นนักบวช 
 
เพราะการมีทรัพย์แบบโลกียทรัพย์
ทรัพย์ทางโลกมันมีข้อจำกัด ให้ความพึงพอใจกับชีวิตเราได้ในระดับหนึ่ง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมารมณ์ ในสิ่งที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้ดม ได้ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส นึกคิดอะไรต่างๆ
เหล่านั้น มันให้ความพึงพอใจได้ในระดับหนึ่ง แล้วก็หวนกลับไปสู่ความทุกข์ทรมานชีวิตใหม่
 มีแค่ความเพลินกับความเพลีย  แล้วก็วนเวียนซ้ำๆ ซากๆ  จึงออกบวชเพื่อแสวงหาหนทางที่ดีกว่า
 
และในที่สุดเมื่อบารมีเต็มเปี่ยม
บรมโพธิสัตว์ซึ่งออกบวชแล้วก็เป็นพระมหาบุรุษ  ท่านก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
แล้วก็เอาใจมานิ่งอยู่ที่ตรงนี้ 
 
โดยธรรมชาติของใจ
เมื่อทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง มันจะกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมที่ตรงนี้
ตรงฐานที่ ๗ แล้วใจท่านก็จะหยุดนิ่งๆ
อยู่ที่ตรงนี้ ไม่ห่วงหาอาลัยอาวรณ์อะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตว่า เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป
เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน ถ้าไม่หลุดพ้นจากทุกข์ก็ให้ยอมตาย ไม่ได้ตายเถอะ ใจท่านก็หยุดนิ่งเฉยๆ
อยู่ภายใน 
 
ดวงธรรมภายใน
 
นิ่งพอถูกส่วนเข้า ใจก็ดับวูบตกศูนย์
ลงไปภายใน แล้วก็มีดวงลอยเกิดขึ้นมา เป็นดวงใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ จะใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ดูนุ่มเนียนตาละมุนใจ 
 
มาพร้อมกับความสุขที่ไม่มีประมาณ
ที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย และยอมรับว่านี่คือความสุข คือ ความสบายกาย สบายใจ ใจจะใสๆ
กายเบาใจเบา เบิกบาน มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ที่ไม่เคยบริสุทธิ์อย่างนี้มาก่อน คือใจจะเกลี้ยงเกลา
กะเทาะล่อนออกจากความรู้สึกเก่าๆ ที่เราคุ้นเคย เป็นความบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น
มาพร้อมกับดวงใสๆ 
 
ธรรมดวงนี้แหละเป็นธรรมดวงแรกที่เรียกว่า
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค
คือ เห็นทางของพระอริยเจ้า เป็นดวงใสๆ เกิดขึ้นที่กลางกาย 
 
เพราะฉะนั้น
ขั้นตอนก็จะเป็นมาว่า เห็นทุกข์โทษภัยในชีวิตจนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย
เห็นว่าความทะยานอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญามีแต่ความเพลินนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์
จึงปล่อยวาง ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง แล้วก็นิ่งอย่างเดียว ในที่สุดก็ดับวูบลงไปเป็นมรรคก็เกิดเป็นดวงใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ 
 
เมื่อใจมีความสุขเพราะหยุดนิ่ง
มีความบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน ใจก็แล่นเข้าไปสู่ภายในเอง ในกลางดวงใสๆ
แล้วก็เห็นไปตามลำดับ เห็นภาพภายในด้วยใจที่บริสุทธิ์ใสๆ เพราะหยุดนิ่ง คือ
ดวงปฐมมรรค
 
ดวงปฐมมรรคก็จะขยายกว้างออกไป
และก็จะมีจุดเล็กๆ ที่ขยายออกมาเป็นดวงใหม่ เรียกว่าดวงศีล จะใสสว่างกว่าเดิม
สุขกว่าเดิม บริสุทธิ์กว่าเดิม ก็เกิดความพึงพอใจที่จะหยุดใจนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น
ก็จะเห็นเป็นลำดับอย่างนี้ 
ในกลางดวงศีล  ก็จะเข้าถึงดวงสมาธิ 
ในกลางดวงสมาธิ  ก็จะเข้าถึงดวงปัญญา 
ในกลางดวงปัญญา  ก็จะเข้าถึงดวงวิมุตติ 
ในกลางดวงวิมุตติ  ก็จะเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ 
 
ทั้งหมดนี้เป็นดวงที่ซ้อนๆ
กันอยู่ ที่ใสบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น หนึ่งชุดมี ๖ ดวง
ตั้งแต่ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ ดวงปฐมมรรค แล้วก็ดวงศีล ดวงสมาธิ
ดวงปัญญา  ดวงวิมุตติ  ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ  ทั้งหมดนี้มีอยู่แล้วในตัว  แต่จะเข้าถึงได้และเห็นได้ เมื่อใจหยุดนิ่ง 
 
กายภายใน
๑๘ กาย
 
พอสุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็จะเข้าถึง
กายมนุษย์ละเอียด คือ กายๆ
หนึ่งอยู่ในอิริยาบถสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา หน้าตาจะคล้ายๆ
กับตัวของเรา คือ ท่านหญิงก็จะเหมือนท่านหญิง ท่านชายก็จะเหมือนกับท่านชาย
แต่อยู่ในวัยเจริญ ในวัยที่สดใส  เหมือนเราย้อนยุคดูตัวของเราในวัยสดใส
ในอิริยาบถสมาธิ มันไม่ใช่เป็นแค่เพียงภาพนิมิต แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ถูกยกระดับขึ้นไป
 
กายมนุษย์ละเอียด นี้ก็คือ
กายฝัน ของเรานั่นเอง
หรือกายไปเกิดมาเกิดของเรา เวลาเราตื่นก็อยู่ตรงนี้ เวลาหลับก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน 
 
เมื่อเรามาถึงกายนี้
ความรู้สึกของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไป แต่เดิมเข้าใจว่า กายมนุษย์หยาบคือตัวเรา
คือของเรา แต่ความจริงแล้ว มันเหมือนแค่บ้านเรือนให้กายละเอียดอาศัยอยู่ คือเหมือนเสื้อผ้าที่เราสวมอยู่
เมื่อถึงเวลาหมดอายุขัยก็ต้องทิ้งร่างกายหยาบนี้เอาไว้ในเมืองมนุษย์ เป็นซากศพ
อสุภไป ส่วนกายละเอียดก็ไปแสวงหาที่เกิด 
 
ใจหยุดนิ่งก็จะเข้าถึงอย่างนี้
พระบรมโพธิสัตว์ท่านเข้าถึง พระมหาบุรุษท่านเข้าถึงกายในกายอย่างนี้ จะมีหลายๆ
กายซ้อนๆ กันอยู่ 
 
กายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบ
กายทิพย์ ซ้อนอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด
กายรูปพรหม ซ้อนอยู่ในกลางกายทิพย์
กายอรูปพรหม ซ้อนอยู่กลางกายรูปพรหม
 
กายธรรมโคตรภู ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหม
กายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕
วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมโคตรภู 
กายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก
๑๐ วา สูง ๑๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน 
กายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก
๑๕ วา สูง ๑๕ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี 
กายธรรมพระอรหัต หน้าตัก
๒๐ วา สูง ๒๐ วา ซ้อนอยู่ในกลางกายธรรมพระอนาคามี 
 
แต่ละกายก็มีกายหยาบ-กายละเอียด
นับรวมแล้วได้ ๑๘ กาย 
 
กายที่สำคัญคือ
กายธรรม เกตุดอกบัวตูมที่สวยงามมาก
ลักษณะมหาบุรุษ ครบถ้วนทุกประการเลย ใสเกินความใสใดๆ ในโลก ใสยิ่งกว่าเพชรใสๆ
ถึงเรียกว่า พุทธรัตนะหมายถึง พระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูมนี่แหละ 
 
ในที่สุดท่านก็บรรลุกายธรรมอรหัตผล
บรรลุกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กายที่ ๑๘ กายสุดท้าย เป็นกายที่สำคัญ ที่จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้
ทางมรรคผลนิพพานเขาเดินกันอย่างนี้ โดยการหยุดนิ่ง 
 
เมื่อท่านบรรลุแล้ว
เข้าถึงแล้ว เห็นแล้ว เป็นแล้ว ก็นำมาถ่ายทอดสั่งสอนแก่พระสาวกให้ทำตาม
แล้วก็บรรลุผลตามพระองค์ท่านด้วย
มีพระอริยเจ้าบังเกิดขึ้นมากมายที่ได้บรรลุกายธรรมไปตามลำดับ ตั้งแต่โคตรภูบุคคล
มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง บางท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์
 
ก็แปลว่า
ทางมรรคผลนิพพานนั้นมีอยู่ในตัวของเรา วิธีการเข้าถึงก็คือ หยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เพราะฉะนั้น แม้ยุคนี้จะเป็นยุคไฮเทค ก็ไม่พ้นกาลสมัยที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
เพราะอยู่ในตัวของเรา 
 
ต้องปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมให้ได้
 
ดังนั้น เกิดมาเป็นมนุษย์มาพบพระพุทธศาสนา
เราก็จะต้องใช้ความมีโชคมีบุญลาภของเรานี้ให้ถูกวัตถุประสงค์ของชีวิต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นบรมศาสดาเอกของโลก
ที่จะแตกต่างจากพระศาสดาท่านอื่นๆ คือท่านจะสอนให้เห็นธรรม ให้เห็นตามพระองค์ท่าน 
 
ในขณะที่บางความเชื่อในเทวนิยมจะสอนไม่ให้เห็น
ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ให้เชื่ออย่างเดียว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะสอนให้เห็น
อย่าเพิ่งเชื่อพระองค์ที่สอน ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน 
 
เพราะฉะนั้น เรามีบุญมาก
มีโชค  มีบุญก็ต้องมีวาสนา เมื่อเกิดมาเป็นชาวพุทธแล้วก็ต้องทำตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ ต้องให้เห็นธรรมให้ได้ เห็นก็คือเห็น เหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของต่างๆ
เหล่านั้น  แต่นี่เป็นการเห็นภายในที่มาพร้อมกับความสุข
ความบริสุทธิ์ และการหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต  เห็นไปตามลำดับสอนให้เห็น
นี่คือข้อแตกต่างจากของเทวนิยม 
 
บวช
๒ ชั้นให้ได้
 
สำหรับผู้ที่มีบุญที่จะมาบวช
ในรุ่น ๗ พันตำบลนี้ ลูกทุกคนก็จะต้องตั้งใจมั่นว่า  เราจะทำตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะต้องบรรลุธรรมให้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งตามกำลังบารมีแห่งตน  อย่างน้อยก็ต้องให้เข้าถึงดวงธรรมภายใน  เป็นดวงใสๆ  หรือเข้าถึงองค์พระภายใน  ถึงพระธรรมกายภายใน
แม้จะยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ตาม จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการมาบวชในคราวนี้ 
 
จะมีอานิสงส์ใหญ่  ปิดประตูอบายให้กับตนเอง  ให้กับบิดามารดา และก็เป็นการสืบอายุของพระพุทธศาสนาต่อไปอีกด้วย
คือเป็นพยานในการยืนยันในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระรัตนตรัยมีอยู่ในตัวจริงๆ
สามารถเข้าถึงได้ โดยเราได้เข้าถึงแล้วด้วยการหยุดกับนิ่ง ใจหยุดนิ่งนี่เอง เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของท่านว่าในยุคของเรานี่
เรายังทำได้ ใครที่เกิดอยู่ในร่วมยุคสมัยของเราก็สามารถทำได้ด้วย 
 
เรามีเวลาอีกไม่กี่วันที่จะบวชนี้
 ต้องตั้งเป้าให้ได้สูงๆ เอาไว้ว่า เราจะต้องบวชให้ได้สองชั้น
 ภายในบวชภายใน คือ เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
หรือเห็นองค์พระภายในใสๆ ภายนอกก็บวชแบบญัตติจตุตถกรรม เหมือนบวชทั่วๆ
ไปในพระอุโบสถ มีพระอุปัชฌาย์ประทานการอุปสมบทให้ 
 
เพราะฉะนั้น เมื่อเราทราบกันอย่างนี้ดีแล้ว
วันเวลาที่เหลืออยู่ทุกอนุวินาที และในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน
ให้ลูกทุกคนเอาใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
หรือกลางท้องของเรา 
 
จะนึกเป็นดวงใสๆ
เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือเพชรสักเม็ดหนึ่งก็ได้ หรือจะนึกเป็นองค์พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราคุ้นเคยในกลาง
ท้องของเรา ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา 
 
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
สบายๆ ว่า สัมมาอะระหัง  ๆๆ ภาวนาเบาๆ
ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเราอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ  ภาวนาด้วยความสบายใจ สุขใจ
และก็นึกถึงภาพภายในเพื่อใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน จะได้มีหลักยึด
เชื่อมโยงใจเราออกจากความสับสนวุ่นวายมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นต้นทางที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ที่จะทำให้เราบวชได้สองชั้น จะได้มีอานิสงส์ใหญ่
 
ไม่ว่าจะบวชสั้นหรือยาว
วัตถุประสงค์ก็มีเพียงประการเดียว คือ ต้องการทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์ของเรา
ทำกิจแบบพระอริยเจ้า เหมือนเราย้อนยุคสมัยพุทธกาล
 
ลูกทุกคนที่มาในบวชในคราวนี้
จะเป็นต้นบุญต้นแบบในการสถาปนาการบวชล้านรูปต่อไปในอนาคต
แปลว่าแม้เราละจากโลกนี้ไป พุทธศาสนาก็ยังสืบทอดยั่งยืนคงอยู่คู่กับโลกนี้ต่อไป
ก็จะเป็นอานิสงส์แก่เรา 
 
เมื่อเราไปเกิดอยู่ในเทวโลก
ในสุคติโลกสวรรค์ มองมาด้วยทิพพจักขุก็ได้แต่ปลื้มปีติว่าเรามีส่วนในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
แม้ว่าจะเป็นการบวชช่วงสั้นก็ตาม เพราะฉะนั้นนับจาก ณ วันนี้เป็นต้นไป ให้ลูกทำตัวประหนึ่งว่า
เป็นนักบวชแล้ว โดยบวชภายใน แม้ภายนอกจะยังไม่บวชก็ตาม ให้สงบเสงี่ยม สง่างาม
สำรวมอินทรีย์ ด้วยการหยุดใจไว้ภายในอย่างนี้ 
 
ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ
หยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ อย่างสบายๆ พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังๆๆ
เรื่อยไปนะลูกนะ 
 
เวลาที่เหลืออยู่นี้
เราก็ประคองใจไปจนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วเราก็จะได้พร้อมใจกันถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานแด่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรมกันต่อไป
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ 
 
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565