วันอาทิตย์ที่ ๓๐ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายวางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
ค่อนลูก คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอแค่พริ้มๆ
ระดับขนตาชนกัน ไม่ถึงกับปิดสนิท พอสบายๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์
สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
โทษภัยในวัฏสงสาร
โดยเฉพาะสามเณรใหม่ซึ่งเป็นเทือกเถาเหล่ากอของสมณะ
ต้องมีจิตสำนึกว่า ตอนนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว สิ่งที่เราจะคิด จะพูด จะทำ ก็จะต้องทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยเฉพาะการไม่ผูกพันในสิ่งใด ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวาง
ต้องคลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร
เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพสามนี้ว่า การเกิดเป็นเหตุให้เรามีความทุกข์ทรมานของชีวิตที่เกิดด้วยความไม่รู้
เรามีความทุกข์ ทั้งแก่ ทั้งเจ็บ ทั้งตาย
ทั้งการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ปรารถนาสิ่งอะไรก็มักจะไม่ค่อยจะได้สิ่งนั้น
เช่น เจอแต่ความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจร่ำพิไรรำพัน อย่างมากก็ชีวิตก็จะเจอแค่ความทุกข์ที่ลดลง
พอเป็นความเพลินๆ เพลียๆ อย่างที่เราเคยมีชีวิตผ่านมาในสมัยที่เราเป็นคฤหัสถ์
เป็นฆราวาส
ชีวิตวันทั้งวันก็มีแต่เรื่องเดิมๆ
ที่ตื่นแต่เช้าก็ออกไปทำมาหากิน เหมือนนกเหมือนกา อยู่ในสังคมของผู้ที่ยังไม่มีความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตก็ดำเนินชีวิตกันไปแบบผิดๆ
พลาดๆ โดยไม่รู้ว่า ตัวเองตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เพราะว่าไม่ได้ศึกษา
ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
โดยไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับตัวของเรา
วันๆ ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้
ถึงเวลาเย็นก็กลับบ้านเหมือนนกเหมือนกา ร้องกาๆ ก็ออกไปทำมาหากิน พอตกเย็นก็ร้องกาๆ
แล้วก็เข้านอน วนเวียนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ และก็มีวิบากกรรมที่รองรับอยู่ทุกๆ
วัน ที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตอนนี้เรามีบุญเก่าที่เราสั่งสมมาดี
จึงได้มามีโอกาสได้สู่ร่มเงาผ้ากาสาวพัตร์ ได้มาบวชเป็นสามเณร
เป็นเทือกเถาเหล่ากอของสมณะ พรุ่งนี้เราก็จะเป็นสมณะเป็นพระแท้กันแล้ว
เพราะฉะนั้นวันนี้ ลูกทั้งหมดจะต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการบวชในวันพรุ่งนี้
ที่เราจะต้องเป็นพระแท้
แม้วันเวลาที่ผ่านมา
เราจะฝึกหนัก ฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ เพื่อจะให้คุ้นเคยกับชีวิตที่ต่างจากเพศของคฤหัสถ์
และต้องทิ้งในสิ่งที่เราคุ้นเคยมาสู่สิ่งที่เราไม่คุ้นเคย มันก็จะขลุกขลักกันบ้าง
เพราะเรามีบุญเก่า เรามีกัลยาณมิตรที่ดี
มีพระพี่ชาย มีพระพี่เลี้ยง มีพระอาจารย์ คอยเป็นกัลยาณมิตรประคับประคองให้เรามาถึงวันนี้
การบวชสำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะมีอานิสงส์ใหญ่เป็นบุญใหญ่สำหรับตัวเรา
และก็ไปถึงบิดามารดา หมู่ญาติและสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น
บวช
๒ ชั้น
ลูกจะต้องบวชให้ได้
๒ ชั้น บวช ๒ ชั้น คือ เราต้องเข้าถึงพระในตัว
พระประจำตัว ของเราที่มีอยู่แล้วในตัวของเรา และของมนุษย์ทุกๆ คนในโลก
โดยที่เราและใครๆ ก็ไม่รู้เลยว่าในตัวมีพระธรรมกายประจำตัว
เป็นกายตรัสรู้ธรรมของเรา
กายตรัสรู้ธรรม
เป็น
พุทธรัตนะ กายท่านใสเป็นแก้ว เป็นรัตนชาติใสๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบานแล้ว แทงตลอดในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราที่แท้จริง สิ่งอื่นนั้นไม่ใช่
พระภายในนี้ เรียกว่า
พระธรรมกาย ลูกจะต้องเข้าให้ถึง ด้วยวิธีการหยุดใจให้นิ่ง
เพราะท่านสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
ลูกทุกคนมีบุญเพียงพอที่จะเข้าถึงได้
ถ้าทำถูกหลักวิชชา แค่หยุดใจให้นิ่งๆ ที่กลางกายฐานที่ ๗ ก็จะเข้าถึงได้
จะเห็นท่านชัดใสแจ่มเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เห็นคน สัตว์ สิ่งของ ต้นหมากรากไม้
รากไม้ ภูเขาเลากาอย่างนั้น
หลับตาเห็น
ลืมตาเห็น นั่ง นอน ยืน เดิน เห็นชัดใสแจ่มตลอดเลย จะขบฉัน ภัตตาหาร อาบน้ำ
ล้างหน้า แปรงฟัน ทำอะไรก็แล้วแต่ก็จะเห็นอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าบวชภายใน
แบบติสรณคมณูปสัมปทา เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว มีพระรัตนตรัยในตัวเป็นที่พึ่งเรียกว่า
บวชภายในเป็นชั้นที่ ๑
บวชภายนอกอีกชั้นหนึ่ง
วันพรุ่งนี้ที่เราเตรียมท่องซ้อมขานนาค ซ้อมบวช พรุ่งนี้เราจะได้พบกับพระอุปัชฌาย์
พบพระคู่สวด พระกรรมวาจา พระอนุสาสนาจารย์
และพระอันดับ ต่อหน้าพุทธปฏิมากรในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไปประกาศความตั้งใจจริงว่า
เราจะบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง สลัดตนให้พ้น
จากกองทุกข์ เมื่อคณะสงฆ์เห็นความตั้งใจที่ดี พระอุปัชฌาย์ท่านก็จะประทานการบวชให้แบบญัตติจตุตถกรรม
ยกให้เรา สามเณรนี้ไปเป็นสมณะ เป็นพุทธบุตร
เป็นบุตรของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เรียกว่า บวชภายนอก อีกชั้นหนึ่ง
ถ้าภายในเราเห็นพระในตัว
ภายนอกบวชแบบญัตติจตุตถกรรม อย่างนี้ก็เรียกว่า บวช ๒ ชั้น ซึ่งจะมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลนักทีเดียว
เพราะฉะนั้นลูกเณรต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้มากๆ ด้วยการทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
แล้วเราก็เอาใจมาหยุดนิ่งๆ อย่างเดียวที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเราก็ได้ฝึกฝนปฏิบัติธรรมกันตั้งแต่ก่อนที่เราจะบวชเป็นสามเณร
ตอนนี้เราเป็นสามเณรแล้ว ก็ให้ลูกประกอบความเพียรกันต่อไป แต่ให้ถูกหลักวิชชา
ต้องเบาๆ สบายๆ แล้ว ก็ใจเย็นๆ
เพราะการเข้าถึงพระธรรมกายในตัวนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก มันก็ยากพอสู้ถ้าเรารู้หลักวิชชา และถ้ารู้หลักวิชชามันก็เป็นของง่ายๆ
ที่ลูกเณรทุกรูปจะเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ สบายๆ
ต้องสบายเท่านั้น
ต้องเบาๆ สบายๆ ใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะเข้าถึงได้
หลายวันที่ผ่านมาลูกเณรก็คุ้นเคยกับถ้อยคำนี้ เหลือแต่ว่าเราทำให้มันได้ ทำให้มันเป็น
มรรคผลนิพพานนั้นอยู่ในตัว
ไม่ได้อยู่นอกตัว อยู่ในเส้นทางสายกลางภายใน ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ซึ่งจำง่ายๆ ว่า อยู่ในกลางท้อง
เราจะได้ไม่มัวควานหาฐานที่ ๗ แล้วก็เอาใจมาหยุดนิ่ง อยู่ตรงนี้
ใจที่ประกอบไปด้วยความเห็น
ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างรวมมาหยุดเป็นจุดเดียวกัน เรียกว่า ใจ หรือจำง่ายๆ
ว่า ทำความรู้สึกอยู่ที่กลางท้อง กลางกาย อย่างสบายๆ อย่าทิ้งคำนี้นะลูกนะ
ต้องอย่างสบายๆ เบาๆ สบาย
บริกรรมนิมิต
เอาใจมาหยุดตรงนี้
จะหยุดนิ่งเฉยๆ โดยไม่คิดอะไรเลยก็ได้ ถ้าลูกเณรมั่นใจว่าใจ เราไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
แต่ถ้าหากเราเกรงว่า จะเผลอไปคิดเรื่องอื่น เราก็ต้องมีเรื่องใหม่ให้คิด เพื่อเป็นหลักยึดของใจ
เป็นจุดเชื่อมโยงใจให้มาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
สิ่งที่เราควรคิดนั้นควรจะเป็นวัตถุที่เลิศ
ที่บริสุทธิ์ เป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย เช่น นึกถึงพระพุทธรูปพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ที่เราเคารพกราบไหว้บูชา
หรือนึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่ง ขนาดไหนก็ได้
แต่ว่าให้กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เขาเจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย ใสบริสุทธิ์ ขนาดไหนก็ได้ที่เรานึกแล้วสบายใจที่จะนึก
ถ้านึกถึงภาพนี้แล้วสบายใจอย่างนี้ก็ได้ เป็นสิ่งแทนธรรมรัตนะ ถ้าพระแก้วขาวใสก็แทนพุทธรัตนะ
ถ้าเพชรเป็นดวงแก้วใสๆ ก็แทนธรรมรัตนะ
หรือจะนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย นึกถึงท่านแทนสังฆรัตนะก็ได้
ทั้ง ๓ อย่างนี้ ลูกเณรต้องเลือกเอาสักอย่างหนึ่ง เรา ถนัดแบบไหน ชอบแบบไหน เราก็เอาแบบนั้นไปก่อน
เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงใจของเรา ให้หลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวายในชีวิตประจำวันทางโลกที่เราเพิ่งผ่านมาหยกๆ
ให้มันหลุดพ้นกันจริงๆ
หลุดจากเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง อะไรต่างๆ เหล่านั้น มาอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน ๓ สิ่งดังกล่าวนี้
ซึ่งเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย เป็นวัตถุอันเลิศ อันบริสุทธิ์
ใจเป็นธาตุบริสุทธิ์
ใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่แปลก
ถ้านึกในสิ่งที่หยาบ เรื่องหยาบๆ ใจก็จะหยาบ ถ้านึกสิ่งที่ละเอียด
วนเวียนคิดแต่เรื่องละเอียด ใจก็จะละเอียด ถ้านึกถึงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์
ใจก็จะพลอยไม่บริสุทธิ์ไปด้วย ถ้านึกถึงสิ่งที่บริสุทธิ์ ใจก็จะวนเวียนอยู่กับความบริสุทธิ์
เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่เราสัมผัสได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดี
ให้ลูกนึกถึงวัตถุดังกล่าว
องค์พระหรือดวงแก้ว เพชรใสๆ หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ซึ่งเป็นบุคคลอันเลิศ
วัตถุอันเลิศ ใจของเราก็จะเป็นใจของผู้เลิศ ผู้ประเสริฐ ผู้บริสุทธิ์
ให้นึกไว้ที่กลางกาย
และต้องอย่างสบายๆ ถ้าไม่สบาย ไม่ใช่ ถ้าเริ่มตึง เริ่มมึน เริ่ม เริ่มกดลูกนัยน์ตาไปดูในท้อง
นั่นไม่ใช่ ต้องรีบปรือๆ ตาขึ้นมา แล้วก็เอาใจนิ่งค่อยๆ นึกใหม่ ค่อยๆ
ประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง
สมมติว่า เรานึกถึงองค์พระก็นึกให้ท่านอยู่ในอิริยาบถสมาธิ
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นึกถึงท่านไปเรื่อยๆ
นึกอย่างสบายๆ ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพขององค์พระก็จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
โดยเริ่มต้นตั้งแต่รู้สึกว่า
มีอยู่ เมื่อเรานึกบ่อยๆ
จากความรู้สึกก็จะเปลี่ยนเป็นความรู้จำ คือ จำติดหูติดตา ติดอยู่ในกลางกาย จำภาพท่านได้ ภาพท่านก็จะชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้นมา ๕
เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๒๐, ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนท่านอยู่ในที่สลัวๆ ฟ้าสางๆ
อย่างนั้น
แต่พอเรานึกถึงท่านบ่อยๆ
อย่างสบายๆ จากรู้จำก็จะไปเป็นรู้แจ้งเห็นแจ้ง จะเห็นท่านชัดใสแจ่มกระ จ่างทีเดียว
ในสภาวะที่ใจโล่งโปร่งเบาสบาย ตัวขยาย ความรู้สึกที่ร่างกายหายไป มันก็ปึ๊บไปรวมกันอยู่ที่ตรงนั้น องค์พระจะชัดใสแจ่มกระจ่างกลางกายทีเดียว
ดวงใสๆ ก็ในทำนองเดียวกันจะแจ่มกระจ่างกลางกาย
ความบริสุทธิ์ก็จะมีเพิ่มขึ้นในระดับที่เราเห็นความบริสุทธิ์ ถ้าเป็นองค์พระก็องค์พระใสบริสุทธิ์
ถ้าเป็นดวงก็จะเป็นดวงใสบริสุทธิ์
เราจะรู้จักคำว่า บริสุทธิ์ เป็นอย่างไร ใจจะเกลี้ยงๆ เป็นอิสระ แล้วความรู้สึกนั้นนำมาซึ่งความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
ความรู้สึกเป็นสุข เป็นอิสระ ความเบิกบานจะมาพร้อมๆ กันเลย
จะมาอย่างที่เราลืมไม่ลง คงไม่ลืม และก็ปลื้มไปทั้งชาติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
และแตกต่างจากที่เราเคยเข้าใจว่า เป็นความสุขตอนที่เราเป็นคฤหัสถ์
เราเคยคิดว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นความสุข
แต่พอเรามาเจอความสุขที่แท้จริงภายใน แม้ จะเป็นเพียงเริ่มต้น เราจะเห็นความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
และเราจะยอมรับ เกิดความพึงพอใจอยากอยู่กับความสุขอย่างนี้ไปนานๆ
เราจะเริ่มมีความรู้สึกว่า
เราสามารถเป็นอยู่ได้ด้วยตัวของเราเองได้ตามลำพัง เป็นสุขที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุ
เป็นสุขแค่มีอาสนะที่นั่งนิดเดียว เรานั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ตั้งกายให้ตรง
ดำรงสติมั่น ใจหยุดนิ่งเฉยๆ เห็นดวงใสแจ่ม หรือองค์พระชัดใสแจ่ม
หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ชัดใสแจ่มอยู่กลางกายก็มีความสุขได้ และเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ
อีกทั้ง เราจะพบและเข้าใจคำว่า
เส้นทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา ได้ลึกซึ้งกว่าเดิมจากที่เราเคยเข้าใจ
เราจะเข้าใจทางสายกลางภายในที่ลึกซึ้งกว่าทางสายกลางภายนอกเพิ่มขึ้น
จะเป็นทางสายกลางที่เรามองเห็นได้ มันจะเป็นจุดเล็กๆ
ใสๆ
ถ้าเป็นองค์พระก็อยู่กลางองค์พระ
ถ้าเป็นดวงแก้วก็จะอยู่ในกลางดวงแก้ว ถ้าเป็นพระเดชพระคุณหลวงปู่ ก็จะอยู่ในกลางหลวงปู่
จะเป็นจุดเล็กใสบริสุทธิ์ เล็กเหมือนปลายเข็ม แต่ว่าใสเหมือนดวงดาวในอากาศที่เราลืมตาเห็นบนท้องฟ้าในยามราตรี
เห็นไกลๆ
แต่การลืมตามองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ได้นำมาซึ่งความสุข
มีแต่ความเพลิน แต่เห็นตรงนี้ มันจะมีความสุข
ความสุขที่เราไม่ได้ไปติดมัน มันต่างตรงที่ความสุขมาติดเรา มาติดแล้วก็เพิ่มพูนเพิ่มขึ้น
เปลี่ยนแปลงความสุขให้เพิ่มไปเรื่อยๆ
เส้นทางสายกลางนั้น
จะเป็นแนวดิ่งลงไป เมื่อใจเราหยุดนิ่งกลางแนวดิ่งตรงนั้น เราจะพบว่ามันเป็นเส้นทางจริงๆ
มันจะขยายเหมือนท่อแก้วที่ใสๆ แล้วก็ขยายออกไปอย่างไม่มีขอบเขต
เราจะเห็นการผุดผ่านของพระอริยเจ้าเป็นองค์พระใสๆ
เกตุดอกบัวตูม นั่งสมาธิ มาพร้อมความสุข
ความสว่าง ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งเห็นแจ้ง และก็ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
หลุดพ้นจากความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย
เหมือนเป็นแม่พิมพ์ หรือแท่นพิมพ์พระ
แต่ว่าเป็นพระอริยเจ้าภายในตัวของเราที่ผุดผ่านมาในเส้นทางสายกลางภายในอย่างต่อเนื่อง
เราจะเข้าใจคำว่า อริยมรรค มรรค ที่แปลว่า ทาง และอริยมรรคก็ทางของพระอริยเจ้าเป็นอย่างไร ก็จากการเห็นแจ้งและก็รู้แจ้ง
เมื่อใจหยุดนิ่งเพราะทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียว
ถ้าลูกเณรทำได้อย่างนี้
วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสมความปรารถนาของการบวช ๒ ชั้น
ที่จะเป็นประวัติศาสตร์ชีวิตของลูกที่นึกแล้วปลื้มอย่างไม่มีวันลืมเลือนเลย
บวช
๒ ชั้นมีอานิสงส์มาก
บวช ๒ ชั้น เป็นมหาอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการบวชธรรมดาที่เรียกแบบว่า
สมมติสงฆ์ คือ การสมมติว่าเป็นพระ แต่เป็นพระภายใน
บุญนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
เป็นอสงไขยอัปปมาณัง แปลว่า จะนับจะประมาณมิได้ เช่น บุญบวชธรรมดาเราได้ ๖๔ กัป
ถ้าเทียบอุปมาเหมือนน้ำหนึ่งตุ่มที่ฝนตกลงมาเต็มตุ่ม แต่ถ้าเราเข้าถึงพระภายใน บวช ๒ ชั้น
ซ้อนขึ้นมามีองค์พระผุดซ้อนขึ้นมาอย่างนี้ เปรียบเทียบเหมือนฝนตกลงมาในห้วงจักรวาลที่เป็นที่โล่งๆ
กว้างๆ ไม่มีเมฆ ไม่มีวัตถุสิ่งของ โล่ง กว้าง เหมือนฟ้าครอบมาอย่างนั้น และฝนตกเต็มจักรวาลที่โล่งว่างนั้นอย่างนั้น
ภาชนะจะรองรับฝนเต็มฟ้าครอบอย่างนั้นหลายๆ ครั้ง นั่นคือข้ออุปมาว่า ปริมาณแห่งบุญที่บวช
๒ ชั้นมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก
เพราะฉะนั้น ลูกเณรเป็นผู้มีบุญเก่าที่สั่งสมมาดีแล้ว
พอถึงคราวบุญเก่าได้ช่องส่งผลบันดาลให้เราได้มาบวช
ไม่ว่าจะปรารภเหตุบวชเพราะเหตุอันใดก็ตาม แต่เราก็ได้มาบวชแล้ว
เวลานี้เป็นเวลาแห่งความสว่างของลูกเณร
เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ควบคู่กันไป กับกิจวัตรและกิจกรรม
กิจกรรมของนักบวช ไม่ว่ามันจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม เมื่อเราคุ้นเคยกับมันแล้ว มันก็เหมือนลมหายใจเข้าออกที่เราไม่มีความรู้สึกว่าเราหายใจเข้าหรือออก
มันจะเป็นปกติเป็นธรรมดาของชีวิตเรา และเราก็จะมีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจกันไปทุกๆ วัน
ปีติธรรมดา เราจะรู้สึกเพียงแค่ขนลุกที่ผิวหนังของกายมนุษย์หยาบ
แต่ปีติสุขที่หล่อเลี้ยงใจมันลึกซึ้งไปกว่านั้น มันเหมือนขนของกายมนุษย์ละเอียดลุกชูชันข้างใน
คือมันลุกเพราะปีติสุขที่เพิ่มพูนขึ้นจากความบริสุทธิ์ของเรา ที่เรานำใจกลับมาสู่แหล่งแห่งความบริสุทธิ์หยุดนิ่งอยู่ภายใน
ลูกเณรเป็นเรือนหมื่นอย่างนี้
เมื่อใจหยุดพร้อมกัน บวช ๒
ชั้นได้พร้อมกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ มลทินหรือกระแสที่ครอบคลุมโลกใบนี้อยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนมายาวนาน
จะถูกขจัดให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เกลี้ยงเกลากันไปเรื่อยๆ
มนุษย์ก็จะเริ่มมีศีลมีธรรมกันเกิดขึ้น
ก็จะค่อยๆ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต เมื่อความคิดเริ่มแรกเป็นความคิดที่มาจากความสว่างภายในของใจที่บริสุทธิ์
ซึ่งเกิดจากกระแสบุญของลูกเณรเป็นหมื่นรูปที่บวช ๒ ชั้น เป็นพระ ๒
ชั้นได้ไปขจัดมลทินเหล่านั้นไป กระแสจิตใจมวลมนุษยชาติก็จะบริสุทธิ์ตามไปอย่างไม่รู้ตัว
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมาบวชในคราวนี้
เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไปให้ลูกเณร
และลูกหญิงลูกชายผู้มีบุญทุกคนทั่วโลก ให้ตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่ง
จะตรึกนึกถึงองค์พระใสๆ หรือดวงใสๆ เราก็ทำไป
หรือจะตรึกนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ได้
นึกอย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ให้สม่ำเสมอว่า สัมมาอะระหังๆๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ กี่ครั้งก็ได้จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เช้านี้อากาศสดชื่นเย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคนจะได้ประกอบความเพียรอย่างกลั่นกล้าให้ถูกหลักวิชชา ประคับประคองใจให้หยุดนิ่งกันไป
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565