กายตรัสรู้ธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย งานบุญวันอาทิตย์
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่ว
มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ
โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
อย่าถึงกับให้ปิดสนิท พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
แล้วก็ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่า
สบายๆ
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลใน ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจ การงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว
หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้
ทำประหนึ่งว่า
เราอยู่คนเดียวในโลก เหมือนเราไม่เคยเจอเรื่องราวอะไรต่างๆ มาก่อนเลย แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้ผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัวเลย
วางใจ
รวมใจมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
ให้เราสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน
แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง
สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่เราจะต้องนำใจที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ นั้น มารวมใจหยุดนิ่งตรงนี้
ความสำคัญของศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตำแหน่งตรงนี้สำคัญกับชีวิตของเรามาก เพราะว่าเป็นที่มาเกิดและไปเกิดของเรา
พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายท่านสอนเอาไว้ว่า ตรงนี้เป็นที่เกิดดับหลับตื่นของเรา
ที่เกิด
คือ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นที่ดับ คือ เมื่อเป็นมนุษย์แล้วตำแหน่งตรงนี้เป็นที่ตายของเรา
เมื่อเราจะตาย ใจจะมาอยู่ตรงนี้ หลับก็ตรงนี้ ตื่นก็ตรงนี้
ตอนนี้เรามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
โดยผ่านทางบิดาสู่มารดาอยู่ที่ฐานที่ ๗ ของท่านทั้งสอง
และห่อหุ้มด้วยธาตุหยาบที่ท่านประกอบธาตุธรรมกันถูกส่วนมาเกิด ตอนนี้เราเป็นมนุษย์แล้ว มีชีวิต มีจิตใจแล้ว ชีวิตมีแต่จะเดินทางไปสู่ความตาย เป็นความจริงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่มีเว้นแม้แต่เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจ ให้แจ่มแจ้ง
เพราะมันเกี่ยวกับตัวของเรา
ตายที่ ฐานที่ ๗
ไม่ว่าเราจะอยู่ตามลำพังหรืออยู่กับใคร
จะละจากโลกนี้ไปที่ตรงไหน ในบ้าน นอกบ้าน ในโรงพยาบาล หรือทุกหนทุกแห่ง
เราจะถอดกายจากตรงนี้ ตายตรงนี้ ตรงฐานที่ ๗
ภาพต่างๆ
ซึ่งเกิดจากการกระทำของเรา ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ไม่ว่าดีหรือชั่ว มันจะมาฉายให้เห็นตรงนี้
เป็นเขาเรียกว่าเป็น กรรมนิมิต
เป็นภาพยนตร์ส่วนตัว แต่ลักษณะไม่เหมือนเรากำลังเล็งดูอยู่ตรงนี้ แต่ใจมันจะมาอยู่ที่ตรงนี้ และเห็นเป็นภาพที่กว้างขวางเหมือนมองไปในๆ
อดีตที่ผ่านมา เป็นภาพกว้างเหมือนอวกาศโล่งๆ
อย่างนั้น แล้วมีภาพเป็นจอ เป็นภาพยนตร์ส่วนตัวที่เราเห็น มาฉายให้เห็นตรงฐานที่ ๗
เรียกว่า กรรมนิมิต
ถ้าภาพแห่งการทำความดีแรงกล้า
คตินิมิต ก็จะสว่าง เห็นแต่สิ่งดีที่ทำให้ปลื้มปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ
เวลาตายก็จะเคลื่อนจาก
ฐานที่ ๗
ไปฐานที่ ๖
ในระดับเดียวกับสะดือ ตรงจุดตัดของเส้นด้าย
แล้วมาที่ฐานที่
๕ ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ไปฐานที่ ๔
เพดานปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๓
กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตา
ฐานที่ ๒
ที่หัวตา ตรงเพลาตา หญิงซ้าย ชายขวา
ฐานที่ ๑
ก็ออกทางปากช่องจมูก หญิงซ้ายชายขวา
ถ้าตายอย่างกะทันหัน
มันก็แวบไปเลย ถ้าตายเพราะเจ็บป่วยไข้มันก็จะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ ออกแวบเป็นกายละเอียดไปเลย
ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้
ถ้ายังมีชีวิตอยู่
เวลาหลับก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเวลาตื่นก็ตื่นตรงนี้ เกิด ดับ หลับ ตื่น ตรงฐานที่ ๗
ตรงนี้ ต้องศึกษาต้องเรียนรู้ เพราะมันเกี่ยวกับตัวเรานะ
และที่สำคัญ
ณ ตำแหน่งตรงนี้
ถ้าเราเอาใจมาหยุดนิ่งได้ถูกส่วน เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ ผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปแล้ว
พ้นจากความทุกข์ทรมานชีวิตไปแล้ว มีชีวิตที่เป็นบรมสุข สุขอย่างยิ่ง ที่ไม่มีทุกข์เจือเลย
เป็นอิสรภาพ เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับบัญชาได้ เป็นแหล่งแห่งความสุขล้วนที่เป็นอมตะคงที่เป็นนิรันดร์
ท่านจะเริ่มต้นจากตรงนี้ใจหยุดนิ่ง
สภาวธรรมภายใน
พอถูกส่วนก็จะตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน
คล้ายๆ เราตกหลุมอากาศ เหมือนเรานั่งเครื่องบินวูบลงไป เหมือนเราโดดน้ำ หรือขับรถบนสะพาน
ลงจากสะพานเร็วๆ ขึ้นสะพานแล้วลงวึ๊บลงไป ดิ่งลงเหว แต่ว่าไม่ได้น่ากลัว
พอมันหล่นวึ๊บลงไป มันจะสว่างเป็นดวงลอยขึ้นมา
ดวงใสๆ
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
จะสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่เย็นสบาย
มาพร้อมกับความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย
และความบริสุทธิ์ของใจที่เราก็ไม่เคยเป็นอีกแหละ
ใจมันจะเกลี้ยงบริสุทธิ์ในระดับเรานับถือตัวเอง
เคารพตัวเองชื่นชมตัวเอง ตกหลุมรักตัวเองได้ว่า เราเป็นผู้บริสุทธิ์
จะเป็นดวงใสๆ
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านี้ แล้วแต่บารมีที่ไม่เท่ากัน
จะใส แล้วใจจะหยุดนิ่งอยู่กลางดวงนั้น
ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
ท่านเรียกว่า ดวงปฐมมรรค คือ ต้นทางที่จะเข้าไปสู่เส้นทางของพระอริยเจ้า
ที่เรียกว่า อริยมรรค
เป็นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลสสิ่งเศร้าหมองทั้งหลายมลทินทั้งหลายที่เรียกว่า
วิสุทธิมรรค เป็นทางหลุดทางพ้นจากความทุกข์ทรมานของชีวิต
จากความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตในสังสารวัฏ เขาเรียกว่า วิมุตติมรรค
เป็นเส้นทางสายกลางในแนวดิ่งที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
แดนแห่งบรมสุข สุขอย่าง ยิ่งแทนที่ภพภูมิที่เยี่ยม ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสสรรเสริญว่า
อายตนนิพพานนั้นเป็นเยี่ยมกว่าภพภูมิอื่น เพราะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
ไม่มีทุกข์เจือเลย มีแต่สุขล้วนๆ และสุขอย่างยิ่งเรียกว่า บรมสุข
ใจจะนิ่งอยู่กลางดวงใสๆ
แล้วการเดินทางก็จะเริ่มต้นขึ้น เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน ในเส้นทางสายกลางตรงนี้ คือ
กลางดวงที่มีจุดเล็กๆ เท่ากับปลายเข็ม หรือเล็กกว่านั้น ที่ใสบริสุทธิ์มาก
ถ้าใจเราหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ดวงนั้นจะขยายออกเปิดทางให้เราเข้าไปสู่ข้างใน
แล้วก็เห็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน
เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไปตามความเป็นจริง คือความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้
แล้วก็เข้าไปเห็นไปถึงเมื่อใจหยุดนิ่ง
เราจะเห็นชีวิตภายในที่ซ้อนๆ กันอยู่ เห็นดวงธรรมที่ซ้อนๆ กันอยู่
เป็นชีวิตที่ประณีต ละเอียด บริสุทธิ์ สูงส่ง ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม ที่ซ้อนๆ กันอยู่เป็นชั้นๆ กระทั่งถึงกายที่สำคัญที่เป็น กายตรัสรู้ธรรม
พระธรรมกายภายใน
พอถึงกายนี้
ความไม่รู้จริงอันใดก็ดับไป เพราะเกิดความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง กายนั้นมีลักษณะที่สวยงามมาก เกตุดอกบัวตูมเหมือนดอกบัวสัตตบงกช
ไม่ใหญ่ไม่เล็กพอดีๆ อยู่บนจอมกระหม่อมที่มีลักษณะพิเศษของลักษณะมหาบุรุษ บนพระเศียรที่มีเส้นพระศก คือ เส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวัตร
หมุนขวาตามเข็มนาฬิกาเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
กายนั้นอยู่ในอิริยาบถสมาธิ
สงบนิ่ง แล้วก็ใสมาก ใสประดุจรัตนะเหมือนความใส ของเพชรที่ใสๆ
แต่นี่ใสยิ่งกว่านั้น คือ ใสเกินความใสใดๆ ในโลก ใสกว่ารัตนะในโลก รัตนะในเทวโลก ในสวรรค์
ในพรหม ในอรูปพรหม ใสกว่ารัตนะใดๆ ในโลก
กายนี้คือ
กายตรัสรู้ธรรมของเรา มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนในโลก ทุกชาติ เชื้อชาติศาสนา
และเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าหญิง ไม่ว่าชาย ถ้าเป็นมนุษย์ล้วนมีหมด แต่ไม่รู้ว่ามี
เป็นกายที่จะทำให้ความลับของชีวิตของเรานี้ถูกเปิดเผย
ชีวิตของเราจะไม่เป็นความลับของเราอีกแล้ว เพราะกายนี้มี ธรรมจักขุ คือ มีดวงตาที่ทำให้เกิดการเห็นไปทุกทิศทุกทางรอบตัวในเวลาเดียวกัน
ณ ตำแหน่งที่ตั้งของใจที่ฐานที่ ๗ จะเห็นได้ทุกทิศทาง ๓๖๐ องศา
แล้วก็เลยไปกว่านั้น คือ ทั้งอดีต ปัจจุบัน แล้วอนาคต
เรื่องภพภูมิเรื่องราวอะไรที่เราสงสัยข้องใจ ความสงสัยนั้นถูกทำลายหมด
หายสูญไปหมดเลย มีแต่ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง คือจะเห็นเป็นภาพ
เป็นเรื่องเป็นราว และก็มี ญาณทัสสนะ ทำให้เรารู้แจ้ง
แบบแจ่มแจ้ง หายสงสัยด้วยตัวของเราเอง เมื่อใจเราไปรวมอยู่กับกายธรรมข้างใน
กายตรัสรู้ธรรมนี้ซึ่งก็คือ พระธรรมกาย นั่นเอง
พระธรรมกาย เป็นตัวพระรัตนตรัย
เป็นตัว พุทธรัตนะ
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้
ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว คือ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
แทงตลอดหมด เพราะฉะนั้นเมื่อแทงตลอดก็ออกจากความไม่รู้ ออกจากคนที่ยังงัวเงียเหมือนยังหลับที่ไม่ค่อยรู้อะไร
สับสนวุ่นวายในชีวิต เป็นผู้ตื่น และเบิกบาน เพราะว่าดับทุกข์ได้ พ้นทุกข์ได้
เป็นนิรันดร์ คงที่
กายท่านใสประดุจรัตนะ
จึงเรียกว่า พุทธรัตนะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
ที่เราได้กล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่ระลึก พุทธรัตนะนี้เป็นที่ระลึก หมายเอาพระธรรมกายในตัวตรงนี้นะจ๊ะ
ซึ่งในกลางนั้นก็จะมี
ธรรมรัตนะ ซึ่งเป็นคลังแห่งความรู้ทั้งหลาย
คือ องค์ความรู้ข้อมูลต่างๆ ก็อยู่ในธรรมรัตนะ ซึ่งถูกเก็บรักษาโดย สังฆรัตนะ ที่เป็นธรรมกายละเอียดซ้อนกันอยู่ ๓
อย่างนี้จะต้องไปด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้ แต่ว่าทำหน้าที่กันคนละอย่าง จึงมีชื่อเรียกกันคนละอย่าง
เหมือนเพชรที่เนื้อดี แววดีและก็สีดี มารวมอยู่ในตัวของเพชร รัตนะทั้งสามก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราที่แท้จริง คือ เวลาเรามีทุกข์
กายทุกข์ ใจทุกข์ เราพึ่งท่านได้ เมื่อไปถึงท่านแล้วทุกข์มันดับไป เหมือนเราถือคบเพลิงจุ่มลงไปในน้ำอย่างนั้น
ทุกข์ที่ทำให้ใจเร่าร้อนกระวนกระวายก็ดับไปเมื่อถึงพุทธรัตนะ แล้วก็เปลี่ยนแปลงมาเป็นความสุข
ช่วยเราให้มีสุขทั้งในปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่
ทั้งปิดอบาย และไปสวรรค์ไปเทวโลก หรือไปภพภูมิที่สูงส่งขึ้น
จนกระทั่งพ้นจากภพสามไปสู่อายตนนิพพานได้ สิ่งอื่นที่จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ไม่มี
เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นที่พึ่ง และเป็นที่ระลึก คือ เป็นสิ่งเดียวที่เราควรระลึกนึกถึง
เพราะมันเกิดประโยชน์กับตัวเรา นึกแล้วมีความสุข
เห็นท่านชัดใสแจ่มตลอดเวลา
ทั้งหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน เห็นชัดใสแจ่มอยู่กลางกายอย่างนี้ ระลึกถึงท่านอย่างนี้ได้ล่ะก็
จะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ นึกถึงท่าน ๑ ชั่วโมงก็เป็นที่พึ่งที่ระลึกได้ ๑ ชั่วโมง
นึก ๒๔ น.ก็เป็นที่พึ่งได้ ๒๔ น. นึกทุกวันก็พึ่งได้ทุกวัน นึกเมื่อไรก็เป็นสุขเมื่อนั้น
ชัดใสแจ่มกระจ่างกลางกายทีเดียว
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที
ต้องหาที่พึ่งที่ระลึกให้เจอ โดยเฉพาะเรามีบุญลาภที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา มาพบวิชชาธรรมกาย เมื่อพบแล้วก็ต้องใช้บุญที่มีนี้ให้เป็น ให้มีวาสนาที่จะได้ครอบครองรัตนะทั้ง ๓
ที่มีอยู่แล้วในตัวของเรานี้ให้ได้ ต้องไปถึงท่านให้ได้
ต้องเห็นท่านให้ได้ชัดใสแจ่มอย่างนี้แหละ ถึงจะเรียกว่า มีทั้งบุญและวาสนาให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา
เช้านี้
อากาศกำลังสดชื่นแจ่มใสเย็นสบาย แล้วก็อยู่ในฤดูกลางๆ เข้าพรรษา
ซึ่งเป็นพรรษาแห่งการเข้าถึงธรรม ให้ลูกทุกคนรวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
บริกรรมนิมิต
หยุดนิ่งอย่างเดียวอย่างเบาๆ
สบายๆ พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
เหมือนเรามีเพชร มีรัตนะอยู่กลางท้อง คล้ายๆ กับเรากลืนเข้าไปไว้ในท้อง กลืนโคตรเพชรลงไป
กลมรอบตัวใสๆ หรือกลืนน้ำแข็งลงไปอย่างนะจ๊ะ
แล้วเราก็นึกตลอดเวลาอย่างสบายๆ
คล้ายกับเรานึกถึงภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ นึกถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
นึกธรรมดาอย่างนั้นแหละ เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจเราจะได้หลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวายทางโลก มาหยุดนิ่งตรงฐานที่ ๗ นี้ได้ โดยมีดวงใสๆ
ที่เราสร้างขึ้นมาในมโนภาพเป็นจุดเชื่อมโยงให้ใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้
บริกรรมภาวนา
ดังนั้น
เราก็ให้ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับประคองใจ ให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
อย่างสม่ำเสมอว่า สัมมาอะระหัง ๆๆ
ให้คำภาวนา
สัมมาอะระหัง ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา กลางดวงใสๆ ภาวนาอย่างนี้เรื่อยไปกี่ครั้งก็ได้
จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งที่เราไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งนุ่ม
เบาสบายอยู่กลางดวงใสๆ อย่างนี้อย่างเดียว ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้
เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เราจึงย้อนกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ ให้ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
เช้านี้อากาศสดชื่นเย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกคน จะได้ประกอบความเพียรอย่างกลั่นกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา ก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่งกันนะ
ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆคนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565