ใจที่ปล่อยวาง
วันอาทิตย์ที่
๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
เมื่อเราได้จุดเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย
บูชาพระรัตนตรัย กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ
พอสบายๆ อย่าถึงกับปิดสนิทนะจ๊ะ เหมือนเราปรือๆ ตานิดๆ เหลือไว้สักมิลหนึ่ง ปรือๆ
ตานิดๆ มันจะได้สบายและผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัว ถ้าเราหลับตาเป็นการผ่อนคลายก็จะเกิดขึ้นทั้งเนื้อทั้งตัวเอง
ตรงนี้สำคัญนะ หลับตาพอดีๆ
ให้มีความรู้สึกว่า
สบายตั้งแต่ศีรษะ ลำคอ บ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลายลำตัว
ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าก็ให้ผ่อนคลาย
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
นึกถึงบุญ
ให้เรานึกถึงบุญทุกบุญที่เราทำผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
แม้เราจะนึกไม่ออกก็ตาม เพราะชาติต่างๆ มันผ่านไปแล้ว แต่ใจเป็นธาตุสำเร็จ ถ้าเรานึกว่า เราจะนึกถึงบุญ ใจก็จะจรดอยู่ที่ดวงบุญเลย
มันจะเป็นอัตโนมัติ แต่ว่าใจของเรายังไม่ละเอียดเพียงพอที่จะเห็นได้
แม้ไม่ละเอียดก็ตาม แต่บุญนั้นก็เกิด ทั้งบุญในอดีต
บุญในปัจจุบันที่เราทำผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้
เราก็นึกเอามารวมกันเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ เป็นดวงบุญใสๆ จะใสเหมือนกับน้ำใสๆ บ้าง ใสเหมือนน้ำแข็งบ้าง ใสเหมือนกระจกบ้าง
ใสเหมือนเพชรบ้าง เท่าที่ความละเอียดของใจของเราจะมีนะจ๊ะ
ถ้าใจละเอียดมาก
เราก็จะเห็นได้ชัดเจนทีเดียว ชัดเจนเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก
จนกระทั่งยิ่งกว่าลืมตาเห็น
เราก็จะเห็นความใสของดวงบุญเกิดขึ้นตั้งแต่ใสน้อยจนกระทั่งใสมาก
แล้วก็ใสเกินความใสใดๆ ในโลก กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว และก็จะสว่าง สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านั้น
จะสว่างเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นดวงใสๆ
สภาวธรรมภายใน
ให้เราทำใจให้หยุดในหยุด
นิ่งในนิ่ง นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ กลางดวงใสๆ ถ้าใจเราหยุดนิ่งได้ถูกส่วน ดวงนั้นก็จะขยายออก
ขยายไปทั้งดวงเลย แล้วก็จะเห็นจุดเล็กๆ อยู่กลางดวงนั้น อยู่ตรงกลางภายในดวง
จะเล็กเหมือนปลายเข็มเล็กๆ เป็นจุดสว่างที่ทั้งใส
เราก็หยุดในหยุด
นิ่งในนิ่ง ต่อไปนั่นแหละ ตรงกลางจุดเล็กๆ ในดวงก็จะขยายออกมา เป็นดวงใหม่ที่ใสกว่าเดิม
สว่างกว่าเดิมเป็นชั้นๆ เข้าไปอย่างนี้ จนกระทั่งเข้าถึงกายภายใน
กายมนุษย์ละเอียด ที่หน้าตาเหมือนตัวเรา
ท่านหญิงเหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย
ในอิริยาบถสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา อยู่ในวัยเจริญที่สดใส กายนั้นจะนั่งอยู่บนแผ่นฌาน
กลมแบน
เราก็นิ่งไปเรื่อยๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ให้เรานิ่งเข้าไปอย่างนั้น นิ่งจนกระทั่งใจของเราไปอยู่ตรงกลางกายมนุษย์ละเอียด
กายนี้จะขยายออกไปโตขึ้นกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ให้เรานิ่งไปเรื่อยๆ
นิ่งในนิ่ง นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ในกลางกายมนุษย์ละเอียดก็จะเป็นดวง
มีดวงใหม่เกิดขึ้นซ้ำๆ ๖ ดวงเป็น ๑ ชุด
ซ้อนขึ้นมาเชื่อมให้ถึงอีกกายหนึ่งที่อยู่ข้างใน
ดวงแรกก็เรียกว่า ดวงปฐมมรรค หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ดวงที่ ๒ ก็ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
และกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะจุดเล็กๆ
จะขยายออกมาเป็นกาย เป็น กายทิพย์หยาบ
ใสสวยงามทีเดียว ในอิริยาบถสมาธิ สงบนิ่ง เป็นชั้นๆ เข้าไปอย่างนี้แหละ เป็นชั้นๆ ผ่านดวง
ผ่านกาย
กระทั่งถึง กายทิพย์ละเอียด กลางกายทิพย์ละเอียดก็เข้าถึง กายรูปพรหมหยาบ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกายทิพย์
ประดุจเครื่องประดับประณีตสวยงามแบบไฮโซ เป็นชั้นๆ เข้าไปอย่างนี้
กระทั่งถึง
กายรูปพรหมละเอียด กลางกายรูปพรหมละเอียดก็เข้าถึง
กายอรูปพรหมหยาบ ก็ประณีตยิ่งขึ้น กายสวยงามเพิ่มขึ้น
หน้าตาได้สัดส่วนเพิ่มขึ้น
กระทั่งถึง
กายอรูปพรหมละเอียด แต่ละกายก็ถูกเชื่อมด้วยดวง
๖ ดวง จะเป็นชั้นๆ ชั้นเข้าไป
กระทั่งเข้าถึง
กายธรรมโคตรภู นั่งอยู่บนแผ่นฌานใส
หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา หน้าตักจะหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย เกตุดอกบัวตูม
จะใสสวยงามกว่าทุกกายที่ผ่านมา แต่ก็หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
กายธรรมโคตรภูนี้จะเรียบง่าย
แต่ว่าสมบูรณ์ เป็นกายที่สมบูรณ์ในลักษณะมหาบุรุษ ก็เป็นชั้นๆ
อย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ ถึงกายธรรมโคตรภูละเอียด
ในกลางกาย
ธรรมโคตรภูละเอียด ก็เข้าถึง กายธรรมพระโสดาบันหยาบ หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
หน้าตักเท่ากับความสูง ในอิริยาบถสมาธิอยู่บนแผ่นฌานกลมแบนใสบริสุทธิ์
บริสุทธิ์หนักขึ้น สว่างขึ้น สวยขึ้นกว่าเดิม เป็นชั้นๆ
กระทั่งเข้าถึง
กายธรรมพระโสดาบันละเอียด กายหยาบเป็นมรรค
กายละเอียดของกายธรรมเป็นผล
บรรลุมรรคผลนิพพาน
คำว่า บรรลุมรรคผลและนิพพาน หมายเอากายธรรมนี้แหละเป็นหลัก ตั้งแต่หน้าตัก
๕ วา ๑๐ วา ๑๕ วา กระทั่งถึง ๒๐ วา เป็นชั้นๆ เข้าไป มีกายหยาบ-กายละเอียด
กายหยาบเป็นมรรค กายละเอียดเป็นผล
บรรลุมรรคผล
ก็คือ ได้เข้าถึงกายธรรมหยาบ-กายธรรมละเอียด
และก็เข้าถึงนิพพานในตัวของแต่ละกายธรรม นิพพานในกายท่าน กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน
กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต อยู่ในกลางนั้น
บรรลุมรรคผลนิพพานตั้งแต่นิพพานในตัว
กายหยาบ-กายละเอียดของกายธรรม กายธรรมหยาบเป็นมรรค กายธรรมละเอียดเป็นผล และนิพพานในตัวที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เข้านิพพานตอนที่ยังไม่ถูกถอดกาย
ยังมีกายมนุษย์หยาบอยู่ อยู่ในกลางกายของท่าน ตรงฐานที่ ๗ ของท่าน
จะเป็นภพส่วนตัวของท่านของกายธรรมซ้อนอยู่ภายใน เมื่อเข้าถึงกายธรรมอรหัตก็หลุดล่อนเลย
ใจจะใส สะอาด บริสุทธิ์ เป็นชั้นๆ เข้าไปเรื่อยๆ
ทั้งหมด ๑๘ กาย มีอยู่ในตัวของเราทุกๆ คน จะเข้าถึงได้ ต่อเมื่อใจหยุดนิ่ง
คือใจทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง
ใจที่ปล่อยวาง
จะทิ้งทุกอย่างได้
วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียวได้ ใจจะต้องแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งภายนอกว่า
ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมสลาย ไปสู่จุดสลายหมด ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ
โลกใบนี้ ไปสู่จุดสลายทั้งสิ้น ตั้งแต่สิ่งภายในตัวไปสู่ภายนอกตัว
ร่างกายเราเรื่อยไปเลย
เมื่อพิจารณาทบทวนด้วยโยนิโสมนสิการ
คือ ทบทวนบ่อยๆ ซ้ำๆ จนแจ่มแจ้งถึงจุดที่เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะมีชีวิตที่ไปสู่จุดสลายซ้ำๆ
ซากๆ ในสังสารวัฏ ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง มนุษย์ เทวดา พรหม
อรูปพรหม ล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น แต่ทุกข์หยาบ ทุกข์ละเอียด
ปริมาณมากหรือน้อยแตกต่างกันไป และชีวิตก็ไม่แน่ไม่นอน เพราะว่ายังขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
แล้วก็กฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
นอกจากการกระทำแล้ว
ยังตกอยู่ในกฎที่ทุกสิ่งล้วนไปสู่จุดสลายอีก แล้วชีวิตในสังสารวัฏยังเจอกฎเกณฑ์ต่างๆ
อีก กฎหมาย กฎเกณฑ์สารพัดที่มนุษย์สมมติขึ้นมา โดยเจตนาให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข
แต่มนุษย์ยังมีกิเลสอยู่ก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แล้วก็บังคับบัญชาอะไรไม่ได้
แล้วก็จะเบื่อหน่าย
พอเบื่อหน่ายก็คลายความผูกพัน
คลายความผูกพัน คือ ไม่ผูกพันจริงๆ ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือ อะไรก็ไม่อยากเอาทั้งนั้น
ไม่อยากได้ ใจมันก็จะหลุด จะทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่งนิ่งอย่างเดียวไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง
แม้แต่ท่านโชติกเศรษฐี
ท่านชฎิลเศรษฐี เป็นต้น ซึ่งท่านมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง
แต่ชีวิตท่านก็ยังมีความทุกข์เพราะยังเป็นปุถุชนอยู่ ท่านมีในสิ่งที่ใครไม่มีแต่สิ่งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความพึงพอใจอันสูงสุด
ยังดับทุกข์ไม่ได้
เพราะฉะนั้น
ท่านก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
ใจก็จะกลับมาหยุดนิ่งในที่ตั้งดั้งเดิมก่อนที่จะกระเจิดกระเจิงออกไป
เพราะถูกตรึงไปติดในสิ่งภายนอกดังกล่าวนั่นแหละ ในคน สัตว์ สิ่งของ รูป เสียง
กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์ ซึ่งมีหลากหลาย
ภาพก็มีหลากหลาย
เสียงก็มีหลากหลาย เสียงที่ชวนติดตาม ตรึงติดชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
กลิ่นก็หลากกลิ่น รสก็หลากรส สัมผัสหลากสัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่างๆ การนึกคิดทางใจก็หลากหลาย
เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้
มันก็จะปล่อยวาง
ใจก็จะมาตั้งมั่นอยู่ที่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นิ่ง นิ่งอย่างเดียวโดยไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง
คือ ความคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านั้นมันหายไป เพราะมันเบื่อสุดขีดแล้ว
ก็ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งใจให้ติดอยู่กับภายนอก ใจก็จะติดอยู่ภายใน กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวตรงกลางกาย
เวลาถูกส่วนก็เห็นไปตามลำดับดังกล่าว
หลุดเป็นชั้นๆ เข้าไป ถ้าเราทำใจอย่างนี้ได้ เราก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็สอนอย่างนี้ทุกพระองค์เลย
กระทั่งปล่อยหลุดปล่อยพ้น
ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ก็เข้าถึงกายที่ไม่ตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว กายที่หลุดพ้นจากกฎต่างๆ เหล่านั้น กฎแห่งกรรม กฎไตรลักษณ์
กฎทุกกฎ คือ กายธรรมอรหัตผล เพราะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ความโลภ ความโกรธ
ความหลงซึ่งหลุดพ้นได้ยาก เพราะเขาตรึงและก็เติม ตรึงติดแล้วก็ปิดไม่ให้รู้เสียอีก
ไม่ให้รู้ว่าถูกตรึง ไม่รู้เรื่องราวเลย
กิเลสหมักดอง
จนกระทั่งมันหมักดอง
ที่เรียกว่า อาสวะกิเลส กิเลสก็หมักดองไปแช่อิ่มอยู่ในความโลภซ้ำๆ
นับชาติไม่ถ้วน ในความโกรธซ้ำๆ นับชาติไม่ถ้วน ในความหลงซ้ำๆ นับชาติไม่ถ้วน เหมือนเราเอาผักไปดองเค็ม
ดองหวาน ดองเปรี้ยว แช่อิ่มหมักดองนั้นแหละ แต่แทนที่จะดองด้วยรสเปรี้ยว รสหวาน
รสเค็มดังกล่าว แต่ดองด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ หมักดองแล้วมันจะต้องโลภ
คือ ทะยานอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คือ ความอยากที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยความรู้แจ้งเห็นแจ้ง
ประกอบไปด้วยความไม่รู้เรื่องราวเลย ก็วิ่งวุ่นไปตลอด
โดยเข้าใจว่า
สิ่งที่แสวงหานั้นจะนำความพึงพอใจให้เกิดขึ้นอันสูงสุดในชีวิต ถ้าคิดว่า อยู่ที่คนก็จะไปหาที่คน อยู่ที่สัตว์ก็ไปหาที่สัตว์ อยู่ที่สิ่งของก็ไปหาที่สิ่งของ อยู่ที่ลาภยศ สรรเสริญ อำนาจวาสนาก็จะมุ่งไปตรงนั้นแหละ
ด้วยความไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้น มันมีขอบเขตจำกัด
แถมมีปัญหาตามมาด้วยอีกเยอะแยะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง แช่อิ่มแล้วก็ทำให้เร่าร้อนอยู่ภายใน
นี่หมักดอง
กายธรรมอรหัตผลหลุดจากสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้น ท่านก็จะ สีตภูโต เป็นผู้ที่มีใจเย็นแล้ว
ไม่เร่าร้อน จะใสเย็นเป็นสุข ใจท่านอยู่เย็นเป็นสุขที่ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ และสุขที่ไม่มีประมาณ
ซึ่งเราใช้คำว่า บรมสุข
นั่นไปถึงกายตรงนั้นแหละกายธรรมอรหัตผล
ทั้งหมดนี้มีอยู่ในกายมนุษย์ของทุกคนในโลก ถ้ามนุษย์แสวงหาอย่างนี้ทุกคนในโลกโลกก็จะเกิดสันติสุขที่แท้จริง
เลิกเบียดเบียนกัน มีแต่ความรักและปรารถนาดีซึ่งกันและกัน เพราะว่า
อยู่เป็นสุขด้วยตัวของตัวเองตามลำพังได้ เมื่อคนมีสุขตามลำพังด้วยตัวเอง เมื่ออยู่รวมกันก็เป็นสุขทั้งหมด
ดังนั้น
ใจหยุดนี่แหละ จึงเป็นตัวสำเร็จ ให้เกิดประโยชน์สุขดังกล่าว ต้องหยุดต้องนิ่งอย่างเดียว
จุดเทียนใจ
เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว
เราก็น้อมเอาเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัยไว้กลางกาย ใสๆ อาราธนามหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน
มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
และคุณยายอาจารย์ของเราเป็นต้น ก็น้อมนำเอาเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย
พร้อมทั้งปัจจัยไทยธรรม ที่เราได้นำมาสร้างมหาทานบารมีกันในวันนี้ ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนในอายตนนิพพาน ให้น้อมไปถวาย
พออาราธนาท่าน
ท่านก็รวบเอาเราแวบเข้ากลางองค์พระของท่าน น้อมทับทวีไปเลยไปถวายตามความประสงค์ของเรา
ส่วนพระธรรมกายพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ ท่านก็เห็นเรามีความศรัทธาตั้งใจจริง ท่านก็รักษาศรัทธาเป็นเนื้อนาบุญให้กับพวกเราด้วยอาการที่สงบนิ่ง
สว่างไสว ในอายตน นิพพานนับพระองค์ไม่ถ้วน
บุญก็เกิดขึ้นจากทุกพระองค์มารวมเป็นดวงบุญใสๆ
ในกลางกายของเรา บุญนี้ท่านก็จะนำไปตัดรอนวิบากกรรม วิบัติบาป ศักดิ์สิทธิ์วิบากมารที่เติมมาเรื่อยๆ
อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิต ทุกข์โศกโรคภัยสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ให้ละลายหายสูญไปให้หมด
หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย ร้ายกลายเป็นดี และดวงบุญนี้ก็ติดที่กลางกายเราทุกคน ทุกกาย
เพราะฉะนั้น
ให้ใจเราหยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง อย่างเบาๆ สบายๆ เมื่อใจของเราใสๆ เย็นๆ ดีแล้ว
ต่อจากนี้ไปเราก็จะได้พร้อมใจกันอธิษฐานจิตให้ลูกทุกคนนั่งพับเพียบหลับตา พนมมือขึ้นพร้อมๆ กันนะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565