ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ
คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่าผ่อนคลาย อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเราเกร็งตึง
ปรับใจ
ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใสไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
ทิ้งทุกอย่างแล้วก็ปล่อยวางทุกสิ่ง ทำใจให้ใสๆ ให้เยือกเย็น
วางใจ
รวมใจของเรากลับเข้าไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า
เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ เป็นฐานที่ตั้งใจของเรา ตรงนี้เป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ
ที่ตื่น
เราจะต้องนำความเห็น
ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างรวมหยุด เป็นจุดเดียวกัน อยู่ในตำแหน่งตรงนี้
ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ พร้อม กับผ่อนคลาย
บริกรรมนิมิต
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ คือ นึกถึงเพชรสักเม็ดหนึ่ง
ที่กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ประดุจเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย
ใสบริสุทธิ์ สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ให้นึกถึงภาพดวงใสๆ เหมือนเพชรใสๆ
อย่างนี้ โตขนาดไหนก็ได้ หรือโตเท่ากับแก้วตาของเรา ถ้าเราคุ้นเคย
เคยสังเกตดูแก้วตา แววตาของเรา แต่ถ้าเราไม่คุ้นเคยจะโตขนาดไหนก็ได้
วัตถุประสงค์ก็ต้องการให้ใจ ที่เตลิดเปิดเปิงไป
คิดเรื่องราวภายนอกกลับมาหยุดอยู่ที่ตำแหน่งตรงนี้
เบื้องต้นจึงจำเป็นจะต้องกำหนดบริกรรมนิมิต
คือ สร้างมโนภาพว่า มีเพชรใสๆ กลมรอบตัวอยู่กลางท้องของเรา ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
ต้องเบาๆ
สบายๆ พร้อมกับผ่อนคลาย นึกเหมือนเราไม่ได้นึก นึกธรรมดา คล้ายๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย
นึกเบาๆ สบายๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากบริกรรมนิมิตที่เป็นดวงใสๆ คล้ายเพชร หรือเพชรที่กลมๆ
ใสๆ ต้องให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากตรงนั้น เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ที่ดังออกมาเหมือนเสียงมาจากสำนึกลึกๆ คล้ายๆ
บทเพลงหรือบทสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย ดังออกมาจากในกลางดวงใสๆ กลางท้องของเรา
บริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหัง ให้สม่ำเสมอ ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ ทุกครั้งที่ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ จะต้องไม่ลืมบริกรรมภาวนา
สัมมาอะระหัง อย่างนี้ควบคู่กันไป อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น
ถ้าเผลอเราก็มาเริ่มต้นใหม่ ประคองใจกันไปอย่างนี้จนกว่าใจจะหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
พอใจหยุดนิ่งจะทิ้งคำภาวนาไปเอง
คือ เราจะมีอาการเหมือนกับเราลืมภาวนาไป หรือไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากหยุดใจนิ่งอยู่กลางดวงใสๆ
อย่างสบายๆ อย่าลืมว่า ต้องนึกอย่างเบาๆ สบายๆ เพื่อให้ใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
จะชัดแค่ไหนก็ไม่เป็นไรให้ใจมา อยู่ในบริเวณตรงนี้
ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เราภาวนาไปอย่างนี้จนกระทั่งใจนิ่งถูกส่วน
คือ จะทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วเหลือนิ่งอย่างเดียว นิ่งอยู่ที่ตรงนี้
พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ ใจจะตกศูนย์ เหมือนตกหลุมอากาศ
ตกไปในสุญญากาศ ในอวกาศโล่งๆ เมื่อตัวหายไป ความรู้สึกที่ร่างกายเราหายไป
พอหลุดตกศูนย์แวบ จะมีดวงใหม่ที่ใสกว่าเดิม
เกิดขึ้นมาเอง แตกต่างจากดวงที่เราสร้างมโนภาพขึ้น เพราะว่าดวงนี้มาพร้อมกับความสุขที่เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย
มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ คือใจจะเกลี้ยงเกลาจากมลทินของใจ จากความเศร้าหมองของใจ
ใจจะใสๆ เยือกเย็น ใจจะสะอาด จะสว่าง จะสงบสุข ใสเย็นทีเดียว ดวงที่มาใหม่จะเป็นอย่างนี้
แตกต่างจากดวงที่สร้างขึ้น
อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ
ที่เราเห็นไกลๆ บนท้องฟ้าในยามราตรี อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ
แต่ว่าใสสวยงามมาก อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือยิ่งกว่านี้ จะใสบริสุทธิ์ มาพร้อมกับความสุข สุขแบบสงบ เย็นๆ
ไม่ใช่สุขแบบที่เราเคยเข้าใจ ไม่ใช่ความเพลิน แต่จะเป็นสุขที่เราพึงพอใจ ปีติใจ
สบายกาย สบายใจมากกว่าที่เราเคยเป็น มีสติสัมปชัญญะดีกว่าเดิมมาก
บริสุทธิ์บริบูรณ์กว่าเดิมมาก
ดวงใสๆ
นี้แหละ พระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมาร ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือ ดวงปฐมมรรค เป็นดวงธรรมเบื้องต้น ความบริสุทธิ์แรกที่เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
พระพุทธเจ้าก็หยุดกลางดวงใสนี้
พระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้มีบุญบารมีในกาลก่อน เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านจะทิ้งทุกอย่างวางทุกสิ่ง
นิ่งอย่างเดียว เพราะว่าเห็นภัยในวัฏสงสาร เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิด พอเกิดบ่อยๆ
ก็แก่บ่อยๆ เจ็บบ่อยๆ ตายบ่อยๆ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ของที่รักคน สัตว์
สิ่งของที่รักบ่อยๆ ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ่อยๆ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นบ่อยๆ
สร้างกรรมบ่อยๆ มีวิบากกรรมบ่อยๆ เวียนตายเวียนเกิดกันไปอย่างนี้
ชีวิตก็โศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจร่ำพิไรรำพันทุกข์ทรมานบ่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ อย่างนั้น
เมื่อท่านเบื่อหน่าย
เห็นภัยในวัฏสงสารอย่างนั้น ท่านจึงทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่งแล้วก็นิ่งอย่างเดียวอย่างนี้แหละ
ในที่สุดก็เห็นดวงใสดังกล่าวนี้
หลังจากนั้นใจจะนิ่งอย่างเดียวในกลางดวงใสๆ
เพราะเป็นที่พึงพอใจ ใจจะหยุดนิ่ง นุ่ม เบาสบายในกลางความสุข เพราะใจอยู่ตรงนี้แล้วอยู่เย็นเป็นสุข
คือจะนิ่งอย่างเดียว แล้วก็นิ่งในนิ่งเข้าไปเรื่อยๆ
เส้นทางพระนิพพาน
ในที่สุดก็เห็นไปตามลำดับ
ดวงปฐมมรรคก็ขยายออก แล้วก็มีธรรมดวงใหม่บังเกิดขึ้นเป็นชั้นๆ เข้าไป
เห็นดวงในดวง ตั้งแต่ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ดวงศีล กลางดวงศีลก็มีดวงสมาธิ กลางดวงสมาธิก็มีดวงปัญญา
กลางดวงปัญญาก็มีดวงวิมุตติ กลางดวงวิมุตติก็มีดวงวิมุตติญาณทัสสนะใสบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
กลั่นให้กาย วาจา ใจ เราใสสะอาดขึ้น
แล้วก็เชื่อมไปถึงกายภายใน
คือ กายมนุษย์ละเอียด โดยนั่งขัดสมาธิ สมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
ท่านหญิงก็เหมือนกับท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย แต่ว่าอยู่ในวัยสดใสกว่า
คือจะเห็นกายในกายอย่างนี้เข้าไปเรื่อยๆ
แต่ละกายก็เชื่อมด้วยดวงทั้ง ๖ ดวง เป็น ๑
ชุด ถึงกายทิพย์ พรหม อรูปพรหม ซึ่งมีทั้งหยาบ ทั้งละเอียด กระทั่งทะลุถึงกายที่หลุดพ้นจากภพสาม
คือ กายธรรม
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภู
เกตุดอกบัวตูม ลักษณะสวยงามมาก ใสเกินใสเกินความใสใดๆ ในโลก ทุกกายอยู่ในอิริยาบถสมาธิ
หันหน้าไปทางเดียวกับตัวของเรา
กายธรรมโคตรภู หน้าตักหย่อนกว่า
๕ วานิดหน่อย
กายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก
๕ วา สูง ๕ วา
กายธรรมพระสกทาคามี
หรือพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
กายธรรมพระอนาคามี
หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
กายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา
ทุกกายมีกายหยาบ-กายละเอียด
เป็นคู่ๆ กันไป รวมแล้วได้ ๑๘ กาย
กายสุดท้าย คือ กายธรรมอรหัตผล นั่นคือ เป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง
เพราะกายนี้เท่านั้นที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพสามได้ เพราะดับดวงเกิดหมดแล้ว กายสุดท้ายคือเป้าหมาย มรรคผลนิพพานเขาเดินกันอย่างนี้
เขาทำกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์
มีบุญได้เกิดในบุญเขตพบพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย ต้องมีวาสนาให้เข้าถึงกายในกายดังกล่าว
ให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้
ชีวิตที่ประเสริฐที่สุด
ให้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
อย่างถูกหลักวิชชา เพราะเวลาของชีวิตมีจำกัด เดี๋ยววันเดี๋ยวคืนเดี๋ยวก็จะหมดเวลาไปแล้ว
เราจะต้องใช้ชีวิตของเรานี้ให้มีประโยชน์ที่สุด มีคุณค่าที่สุด สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ชีวิตอะไรจะประเสริฐกว่า
การเดินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นไม่มี การได้บรรลุธรรม เข้าถึงธรรมกายนั้นประเสริฐอย่างยิ่ง
เพราะว่าธรรมกายเป็นตัวพระรัตนตรัย เป็นเนื้อเป็นหนังพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราได้
เมื่อเข้าไปถึงท่านแล้วทุกข์ทั้งหลายก็ดับไป มีแต่ความสุข อบอุ่น ปลอดภัย จะใสๆ
เยือกเย็นอยู่ภายใน
เช้านี้อากาศกำลังสดใส
สดชื่นเย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกๆ คนจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า
ให้ถูกหลักวิชชา ก็ให้ต่างประคับประคองใจกันไป ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจ
ในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565