บรมสุขในนิพพาน
วันอาทิตย์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา แค่หลับตาพริ้มๆ
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะจ๊ะ
ปรับใจ
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
ให้คลายความผูกพันจากทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ บ้านช่อง
ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ใสๆ
ให้เยือกเย็น
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับ ที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น
เรานำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ความสำคัญของฐานที่ ๗
ฐานที่ ๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ
เป็นฐานที่ตั้งของใจเรา เพราะนอกจากจะเป็นที่มาเกิด ไปเกิด ที่หลับ ที่ตื่น
ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเราทั้งสิ้นเลย นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ไม่เว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว
ท่านได้เริ่มวางใจที่ตรงนี้ หลังจากที่ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
เพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร
พระพุทธเจ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร
ภัยในวัฏสงสารนี้ คือ ภัยในการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งสาม
ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เพราะว่าเมื่อเกิดในภพทั้งสามนี้ ก็จะต้องแก่บ่อยๆ เจ็บบ่อยๆ
ตายบ่อยๆ พลัดพรากจากสิ่งที่รักบ่อยๆ ประสบในสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ่อยๆ
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ทำให้เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจบ่อยๆ
ความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจร่ำพิไรรำพัน อาลัยอาวรณ์บ่อยๆ
อีกทั้ง ยังต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ทางกาย
ทางวาจา ทางใจ บ่อยๆ และเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทิ้งการกระทำทั้งสามนี้ไม่ได้
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ แต่ถ้าหากเราไม่มีความรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้
เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตนี้ เราก็จะต้องทำด้วยความไม่รู้ เมื่อทำไปแล้วก็มีวิบากกรรมเกิดขึ้น
ทำให้เรามีความทุกข์ทรมานของชีวิต ต้องไปอบายภูมิบ้าง ในมหานรก ในยมโลก อุสสทนรก ยมโลก ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง
เมื่อกรรมบรรเทาเบาบางก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ก็ต้องเจอความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ อำนาจ วาสนา
ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น จะทำให้ประมาทในการดำเนินชีวิต
เจอผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรม ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพราะว่าได้ฟังธรรมจากท่านเข้าใจแจ่มแจ้ง
ก็ดำเนินชีวิตถูกต้องก็ปิดอบายไปสู่สวรรค์
แต่สวรรค์ก็ไม่ใช่คงที่ พอหมดกำลังบุญก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง
ตกจากสวรรค์ ไปอบายก็มี หรือตอนเป็นมนุษย์
ถ้าไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ปลีกวิเวกไปเจริญสมาธิภาวนาเข้าถึงรูปฌานสมาบัติ ก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรือเจริญจนกระทั่งถึงอรูปสมาบัติก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม
มีชีวิตอยู่ยาวนานจนนึกว่าเป็นอมตะเป็นนิรันดร
แต่ว่าความยาวนานนั้นก็มีข้อจำกัด
พอหมดกำลังบุญก็หล่นลงมาอีก มาเป็นมนุษย์บ้าง ไปอบายก็มี
เพราะฉะนั้น ชีวิตในสังสารวัฏนี้ ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายเมื่อบารมีเต็มเปี่ยม เห็นภัยในวัฏสงสารอย่างนี้ก็ทำให้เบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏนั้น
จะหลุดพ้นได้ก็ต้องไม่เกิด ไปดับดวงเกิดในทุกๆ
กายให้หมด เมื่อไม่เกิด ก็ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
ไม่ต้องประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ไม่ต้องไปประสบกับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจเป็นต้น
ความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพันก็จะไม่เกิดขึ้น
ทั้งหมดมีสาเหตุจากความเกิดที่เกิดด้วยความไม่รู้นั่นแหละ
พอท่านเบื่อหน่าย ท่านก็ปล่อยวาง ทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง ใจท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่กับเนื้อกับตัว
อยู่ที่ตำแหน่งตรงนี้แหละ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
พญามารบดบังไม่ให้รู้จักฐานที่ ๗
ฐานที่ ๗ ตรงนี้จึงเป็นตำแหน่งสำคัญ
ซึ่งจะมีเส้นทางที่เป็นแนวดิ่งเป็นเส้นทางสายกลางภายใน
เป็นแนวดิ่งไปสุดปลายทางที่อายตนนิพพาน
เป็นเส้นทางของพระอริยเจ้าที่ท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน
มรรคผลนิพพานอยู่ในเส้นทางนี้
เป็นทางเอกสายเดียว ไม่มีสองทาง แต่กว่าจะมารู้ตรงนี้ได้ต้องมีบารมีเต็มเปี่ยม ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่ก็ไม่สอนผู้ใด ต้องสร้างบารมีอย่างน้อย
๒ อสงไขย แสนมหากัป ถ้าเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ต้องสั่งสมบารมี
๒๐ อสงไขย แสนมหากัป คือ รู้และสามารถสอนตัวเองได้ และยังสอนผู้อื่นที่อยู่ในภาพสามได้หมด
ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม
กว่าจะรู้จักฐานที่ ๗ ตำแหน่งนี้ได้ ต้องมีบารมีขนาดนั้น
เพราะพญามารบดบังเอาไว้ ไม่ให้รู้ตรงนี้ เขาเรียกว่า เครื่องกั้นจิต
ที่เราคุ้นกับคำว่า นิวรณ์ทั้ง ๕
กั้นเอาไว้ แล้วก็ดึงใจให้หลุดจากตำแหน่งตรงนี้ ให้ไปติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมารมณ์ เป็นต้น ใจก็จะกระเจิดกระเจิง แล้วก็ดำเนินชีวิตผิดพลาดกันไป วนเวียนกันไปดังกล่าว
นอกจากนี้ พญามารยังเอา อวิชชา ความไม่รู้ ซ้อนเข้าไปอีก บังคับให้ไม่รู้ว่า
ตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย หรือถ้ากันไม่อยู่ในระดับหนึ่ง
รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย แต่ไม่รู้วิธีการว่า จะรู้ได้อย่างไร
ต้องมีบารมีเต็มเปี่ยมอย่างน้อยต้องอย่างนั้น
ใจหยุดนิ่งได้ ความลับจะถูกเปิดเผย
ตำแหน่งตรงนี้จึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญ
เป็นจุดสว่างเล็กๆ เล็กเท่ากับปลายเข็ม ข้อมูลทั้งหมดในเรื่องสรรพสัตว์และสรรพสิ่ง
ความรู้ทั้งหลายก็อยู่ตรงนี้ เล็กแต่ลึก กว้างอย่างไม่มีขอบเขต
ถ้าเรานำใจกลับมาหยุดอยู่ตรงนี้ได้ ให้นิ่งๆ
นุ่มๆ นานๆ จนติดเป็นหนึ่งเดียวกันในระดับที่นิ่งแน่น ใจไม่เขยื้อน
ความลับของชีวิตของเราและโลก สรรพสัตว์และสรรพสิ่งก็จะถูกเปิดเผยออกมาเลย
ความไม่รู้ ความสงสัยอันใดจะถูกทำลายไป ค่อยๆ ทยอยหมดไป
ตั้งแต่ความลับเกี่ยวกับเรื่องตัวของตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปรู้เรื่องสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
เข้าถึงดวงปฐมมรรค
เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ถูกส่วนเข้า คือ
ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ถ้าถูกส่วนเป็นต้องตกศูนย์เข้าไป เหมือนหล่นจากที่สูง
ที่เป็นที่โล่งว่าง คล้ายๆ ในกลางอวกาศ หรือสุญญากาศตรงนั้นนะ
ต้องโล่ง จะหล่นวุ้บ แล้วก็จะมีดวงธรรมใสๆ ที่มีอยู่แล้วภายใน แต่เรามองไม่เห็นเพราะนิวรณ์บดบัง
ลอยขึ้นมาจากฐานที่ ๖ มาที่ฐานที่ ๗ คือ ในระดับสะดือมาอยู่ที่ตรงนี้
จะเป็นดวงใสๆ อย่างน้อยคล้ายน้ำใสๆ
คล้ายกระจกเงาใสๆ บ้าง ใสเหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย หรือยิ่งกว่านั้น
กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว กลมเหมือนลูกบิลเลียด แต่ว่าเป็นดวงแก้วใสๆ
จะใสบริสุทธิ์ ในระดับที่มีแสงสว่าง แต่ไม่แสบตา ไม่จ้าตา
อย่างเล็กก็เหมือนดวงดาวในอากาศ ที่เวลาเรายืนอยู่กลางแจ้งตอนกลางคืนเดือนมืด
แล้วก็เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในที่ไกลๆ จะใสๆ อย่างเล็กขนาดดวงดาวอย่างนั้น
อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ขึ้น
๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง
อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ไม่แสบตา ไม่จ้าตา หรือใหญ่กว่านี้
แล้วแต่กำลังบารมีของแต่ละคนที่ไม่เท่าเทียมกัน
ดวงธรรมใสๆ นี้จะมาพร้อมกับความสุขที่เราไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน
แต่เดิมที่เราพรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณ ไปมีประสบการณ์กับเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส
สัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถ้ามาเทียบกับความสุขที่เราเจอในกลางกายตอนนี้ สิ่งนั้นไม่อาจจะเรียก ความสุข ได้ เรียกได้แค่ ความเพลิน คือ ความทุกข์ที่คลี่คลาย หรือลดระดับของปริมาณความทุกข์ลงไปหน่อยหนึ่ง
ในระดับที่พอทนได้ แค่เพลินๆ แวบเดียว แค่ชั่วไก่กระพือปีก ประเดี๋ยวประด๋าวแค่นั้นเอง
เพลินๆ เพลียๆ มึนๆ ทึมๆ เป็นความเพลินที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยดวงปัญญา
แต่ถ้าหากว่า เห็นดวงใสนี้ เมื่อใจหยุดนิ่งแน่น
เราจะยอมรับว่า นี่คือความสุข เพราะมันสบายกายสบายใจ อย่างไม่มีขอบเขต กายเบา ใจเบา
ฟ่องเบา สบาย ขยาย เบิกบาน เหมือนดอกไม้ที่ค่อยๆ
คลี่ขยายกลีบเบิกบานที่ไม่มีวันโรยราอย่างนั้น มันจะขยายออกไป
ดวงนี้เรียกว่า ดวงปฐมมรรค
นอกจากนำความสุขมาให้อย่างที่ไม่เคยเจอ ยังนำความบริสุทธิ์ของใจมาให้ในระดับที่เรานับถือตัวเรา
ปลื้มปีติใจในตัวเรา ภาคภูมิใจในตัวเรา มีสัทธาปสาทะในตัวเรา
เลื่อมใสว่าเรามีความเกลี้ยงเกลาของใจ ใจเราบริสุทธิ์ เราจะเริ่มรู้จักว่า ความบริสุทธิ์มันเป็นอย่างนี้
ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเอง จนความยิ่งใหญ่ใดๆ
ในโลกที่ชาวโลกเขาสมมติกันนั้น ไม่อาจมาเสมอเหมือนตรงนี้ได้
ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ทางโลกไม่อาจจะเทียบกับความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ เมื่อใจเราเข้าถึงดวงใสๆ
ดวงนี้ได้เลย คือ เราสามารถเป็นอยู่ได้ด้วยตัวเอง เป็นอิสรภาพภายในที่ไม่มีความรู้สึกว่า ตกเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ
ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ของลาภยศสรรเสริญ หรืออะไรทั้งสิ้น แม้จะยังไม่หมดกิเลสก็ตาม
แต่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้น เหมือนกล้าอ่อนๆ ของความบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น
นี่คือ ธรรมดวงแรก ความบริสุทธิ์แรก ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
พระมงคลเทพมุนี พระผู้ปราบมาร ท่านเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หรือ ดวงปฐมมรรค
คือ ความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น
สิทธัตถะราชกุมารนั่งสมาธิใต้ต้นหว้า
คล้ายๆ กับตอนที่พระมหาบุรุษ เจ้าชายสิทธัตถะ
ตอนพระชนมายุ ๗ ขวบ ไปนั่งอยู่ที่ใต้โคนต้นหว้า ในวันแรกนาขวัญ
บารมีเก่าของท่านมาถึง บุญเก่าสอนตัวเองให้นั่งสมาธิ
และท่านเข้าถึงดวงนี่แหละ ทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ คือ เงาของต้นหว้าใหญ่นั้นปกคลุมให้ท่านร่มเย็น
ไม่โดนแสงแดดที่แผดกล้า แม้ตะวันคล้อยลงในยามบ่ายแล้ว แต่เงาต้นหว้าก็ยังอยู่ที่เดิม
นี่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้เฉพาะผู้มีบุญที่สั่งสมบุญมามากมาย
ในวันนั้น พระองค์ได้บรรลุดวงใสๆ นี้แหละ
นั่นคือจุดเริ่มต้น และเป็นจุดเชื่อมโยงถึงในวันที่ท่านบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในช่วงที่ท่านแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ ผ่านวิธีการต่างๆ มา ทั้งการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ทรมานตนก็ดี หรือกามสุขัลลิกานุโยค ซึ่งพระองค์ผ่านมาแล้วทั้งสองอย่าง
แต่ไม่เคยประสบพบความสุขเท่าอย่างนี้ จึงย้อนกลับมาตรงนี้แหละ
เพราะฉะนั้น ดวงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
อยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์
ขอให้เป็นมนุษย์ จะรู้หรือไม่รู้ก็มีอยู่ ดังนั้น ลูกทุกคนมีบุญมากที่ได้มาเกิดในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
เมื่อเรามีบุญแล้วก็ต้องมีวาสนาหาธรรมดวงนี้ให้เจอ
บริกรรมนิมิต-บริกรรมภาวนา
ก่อนที่เราจะประกอบพิธีบูชาข้าวพระ
ให้ลูกทุกคนเอาใจมาหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ตรงนี้ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหังๆๆ เบาๆ ในใจ
ให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยให้เสียงดังออก มาจากในกลางท้อง กลางดวงใสๆ
ที่เราสมมติขึ้น เพื่อให้เข้าถึงดวงจริงๆ ถึงดวงปฐมมรรคจริงๆ
ใจจะได้มีที่ยึดที่เกาะ ประคองใจกันไปอย่างนี้ก่อน
พอถึงเวลาสว่างเราก็จะได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะ
(ปฏิบัติธรรม)
เมื่อกาย วาจา
ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่กัน ดีแล้ว
ต่อจากนี้ไปเราจะได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาข้าวพระกันต่อไป
ให้ลูกทุกคนนั่งพับเพียบ หลับตา พนมมือขึ้นพร้อมๆ กันนะจ๊ะ
(กล่าวคำบูชาข้าวพระ)
เมื่อเราได้กล่าวคำบูชาข้าวพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนาแบบเดิม ใจของเราก็ให้หยุดนิ่ง
นุ่ม เบาสบาย ที่กลางกาย ฐานที่ ๗ ให้ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
สภาวธรรมภายใน
ถ้าใครนิ่งได้สนิทจะเห็นดวงใส
ถ้าใจเรานิ่งในนิ่ง ก็จะนิ่งกลางดวง กลางดวงนั้นก็จะมีดวงธรรมเป็นชุดๆ ไป มีดวงศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ กลั่นใจให้ใส
และเชื่อมใจของเราให้ไปถึงกายภายใน
จะมีกายซ้อนๆ กันเป็นชั้นๆ
มีกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ-ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ-ละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ-ละเอียด
กายธรรมโคตรภูหยาบ-ละเอียด กายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา หยาบ-ละเอียด
กายธรรมพระสกทาคามี หรือพระสกิทา คามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา ทั้งหยาบทั้งละเอียด
กายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วาทั้งกายหยาบ-กายละเอียด กายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วาทั้งหยาบทั้งละเอียด
ทั้งกายหยาบ-กายละเอียดจะเป็นคู่ๆ
เข้าไป หยาบ คือ กายธรรมอรหัตมรรค
ละเอียด คือ กายธรรมอรหัตผล มรรคผลก็อยู่ภายใน หยาบคือมรรค ละเอียดคือผล นับตั้งแต่กายธรรมไปนั่นแหละ
กายธรรมเกตุดอกบัวตูม
ใสบริสุทธิ์เกินความใสใดๆ ในโลก สวยงามไม่มีที่ติ ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ
กายต่างๆ เหล่านี้ซ้อนอยู่ภายในตัวเรา
เชื่อมด้วยธรรม ๖ ดวง เป็นชุด คือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรคก็เข้าถึงดวงศีล
กลางดวงศีลมีดวงสมาธิ
กลางดวงสมาธิก็มีดวงปัญญา
กลางดวงปัญญาก็มีดวงวิมุตติ
กลางดวงวิมุตติก็มีดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะก็เข้าถึงกายเลย
อยู่ตรงกลางทั้งสิ้น เป็นแนวดิ่งลงไป
แต่ถ้าเราไปถึงกลางของแต่ละดวง แต่ละกาย มันจะขยายไปรอบตัว
ขยายไปทุกทิศทุกทางเลย ถ้าใจเรานิ่งได้สนิท เมื่อเราทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว
ก็จะเห็นอย่างนี้แหละเข้าถึงได้ ก็จะใสทั้งดวง ทั้งกาย ในกายองค์พระในองค์พระ
แต่ละกายก็จะมีฌานรองรับ เป็นแผ่นกลมแบนใสๆ ทุกกายเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าใจเรานิ่งในนิ่ง จนกระทั่งนิ่งแน่น
มีความสุข มีปีติสุข เอกัคตา อุเบกขา หรือจำง่ายๆ คือ มีสุข มีความบริสุทธิ์ แล้วก็นิ่ง
มันเกื้อกูลกัน นี่เป็นสุขเบื้องต้น แต่หลังจากนิ่งแล้วจะต้องมีสุขหล่อเลี้ยงตลอด
ถ้ามีสุขอย่างนี้ได้ และก็ใจนิ่งๆ เป็นกลางๆ ที่เรียกว่า อุเบกขา
อุเบกขาในกลางที่ประกอบไปด้วยความสุขนะ ใจจะใสๆ
แสงสว่างก็เกิด ทำให้เห็นภาพ ดวง กาย ฌาน ถ้านิ่งมากก็สว่างมาก
สว่างมากก็เห็นชัดมาก ใสมาก เพราะบริสุทธิ์มาก ดังนั้น พอใจนิ่งก็จะเห็นชัด ใส
สว่าง บริสุทธิ์ สุข นี่ต้องไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ จะไปพร้อมกันเลย พอใจนิ่งก็จะใส
ใสละเอียด มันไม่เหมือนใสหยาบๆ แบบกระจกเงานะ
มันใสละเอียดที่ทุกอณูมันเต็มไปด้วยความสุข ความบริสุทธิ์ ทั้งดวง ทั้งกาย
ทั้งแผ่นฌาน ใสทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งฌาน นี่ดีอย่างนี้ ซึ่งไม่มีในคำสอนอื่น ในความเชื่ออื่น
ไม่รู้จักเลย เชื่อแต่เลื่อนๆ ลอยๆ และถูกบังคับให้เชื่อด้วย
เขากลัวการเห็น เพราะถ้าเห็นก็รู้
พอรู้เขาก็ควบคุมไม่ได้ ปกครองไม่ได้ วัตถุประสงค์มันคนละอย่างกัน
ถ้าเพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์
หรือเพื่อการดับทุกข์มันก็อย่างหนึ่ง แต่เพื่อกลุ้มก็อีกอย่างหนึ่ง เพื่อเครียด
เคร่งเครียดอย่างหนึ่ง เคร่งครัดก็อย่างหนึ่ง
พระพุทธศาสนาสอนให้อย่างนี้ แค่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
ในศีล สมาธิ ปัญญา แล้วจะได้อย่างนี้แหละ เห็นดวง เห็นกาย เห็นองค์พระ เห็นฌานใส
เห็นแล้วก็มีความสุขความบริสุทธิ์
บูชาข้าวพระแบบเข้าถึง ได้บุญอสงไขยอัปมาณัง
ทีนี้พอได้อย่างนี้แล้ว ไทยธรรม
ปกติเราบูชาแบบขอถึง บุญก็ได้ระดับหนึ่ง เพราะเราไม่เห็น แต่ถ้าเราเห็นอย่างนี้แล้ว
ไทยธรรมนั้นจะบริสุทธิ์ บริบูรณ์ เพราะเราบูชาแบบเข้าถึง
ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านอย่างนี้ ผ่านดวง ผ่านกายในกาย ผ่านฌานใสๆ
และพอเรานิ่ง ทุกอย่างจะมารวมกันเลย พรึบลงไป เหมือนเราเอาฟิล์มหนังมาม้วนๆๆ
แล้วรวบกดลงไปด้วยฝ่ามือทั้งสอง อย่างนี้นะจ๊ะ คือทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งฌาน
วึ๊ดลงไปเป็นกายเดียวเลย
มันสนุกอย่างนี้ แต่ใสบริสุทธิ์
สว่างกว่าดวงอาทิตย์เที่ยงวันเยอะ และมันน่าตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ที่มันเป็นความสว่างที่มองเห็นได้แบบไม่แสบตา
อย่างมีความสุข ถ้าเราลืมตามองดูดวงอาทิตย์เที่ยงวันมันทุกข์ ตามัวตาพร่า
แต่นี่ไม่จ้าตาอย่างนั้น มันเป็นแสงที่บอกไม่ถูก แสงประเสริฐ เขาเรียกว่า ธัมโมปทีโป แสงประทีปธรรม
จะเป็นอย่างนี้ เป็นแสงสว่างที่ดูได้ ไม่เหมือนแสงไฟ
แสงภายนอกอย่างนั้นดูไม่ค่อยได้
ทีนี้เราก็เอาเครื่องไทยธรรม เราแค่นึก เหมือนไม่ได้นึก
ทุกสิ่งก็ไปอยู่ตรงกลางแล้วกลางองค์พระใสๆ ซึ่งทุกกายเมื่อรวมเป็นกายเดียวกันไปแล้วใสๆ
มันมีสิ่งที่น่าศึกษาเรียนรู้กว่าข้างนอกอีกเยอะแยะเลย แต่ถ้าไม่มีห่วง ไม่มีกังวล
ไม่มีอาลัยอาวรณ์ เพศสมณะจะเรียนได้ดีกว่าเพศของคฤหัสถ์
คราวนี้พอเราน้อมนึกถึงมหาปูชนียาจารย์
นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านก็รอเราอยู่เลย พอนึกนิดเดียว ก็แวบเข้าไปในกลางท่านแล้ว
ผ่านกลางกายถึงกลางองค์พระท่าน พอไปถึงกลางองค์พระท่านได้ก็เป็นเรื่องของท่านแล้ว
ท่านก็ฉุดเราแวบไปเลย แวบไปก็ปาฏิหาริย์กาย
คือ พอแวบเข้าไปในกลางกายท่านแล้ว คือ จากกายเดียวจะเป็นหลายๆ
กาย คำว่า หลายกาย คือ นับไม่ถ้วนกาย
ทุกทิศทุกทาง ไทยธรรมของเราถูกขยายไปแล้ว แตกตัวออกไปเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ของธรรมะภายใน
อานุภาพภายใน ที่มีแต่องค์พระพรึบเต็มไปหมด ที่กลางท่านมีแต่ไทยธรรม
คราวนี้ลูกก็ลองคิดดูว่า บุญเราจะได้ขนาดไหน
นี่ขนาดเรามองไม่เห็น ยังได้บุญตั้งเยอะในระดับที่ปิดอบาย ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน
ถ้าเห็นล่ะ เห็นดวงก็ได้ระดับหนึ่ง
เห็นกายก็ได้ระดับหนึ่ง เห็นองค์พระระดับหนึ่ง ถ้าเห็นองค์พระนับไม่ถ้วน และไปถึงตัวจริงได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมีคำอยู่คำหนึ่งที่เอามาใช้
คือ บุญนี้จะได้แบบเป็น อสงไขยอัปปมาณัง
คือ สิ่งที่นับไม่ได้เอามารวมๆ กัน แล้วก็นับไม่ถ้วน
สิ่งที่นับไม่ได้เอามานับไม่ถ้วน นั่นแหละเขาเรียกว่า อสงไขยอัปปมาณัง ลูกจะได้นึกออกว่า บุญมันเกิดขึ้นอย่างไรเยอะแยะนี่แหละจ้ะ
พอเรานึกนิ่งแน่นก็เป็นเรื่องของท่านแล้วแหละ
ท่านก็น้อมแวบนำไทยธรรมกลั่นให้สะอาดบริสุทธิ์
คือ ไทยธรรมพอตกไปถึงกลางธรรมกายของท่านที่โตใหญ่มาก มันก็จะขยายตามส่วน ได้สัดส่วนตามกายของท่านที่ขยาย
และมีปริมาณเท่ากับกายของท่านที่ทับทวีไป ท่านก็แวบเดียวไปเลย ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ กายธรรมล้วนๆ ในอายตนนิพพานถอดกายนั้น
ที่อายตนนิพพานถอดกาย คือ การเข้านิพพานด้วยการดับขันธ์ปรินิพพาน
ขันธ์ ๕ ของทุกๆ กาย กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม กระทั่งกายธรรมต่างๆ
ยังดับเหลือกายธรรมอรหัตผล แวบไปนั่นแหละ
บรมสุขในนิพพาน
ชีวิตท่านมีสุขมากในอายตนนิพพาน เขาเรียกว่า
สุขในระดับที่ภาษาที่มีความจำกัด ขอบเขตจำกัด ใช้คำว่า บรมสุข แต่สุขจริงๆ มากกว่านี้ แต่ยังไม่อาจจะหาคำได้ จึงใช้คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข คือ สุขอย่างยิ่ง
สุขกว่าทุกสิ่งที่มีในภพสามนั่นแหละ สุขกว่าการมีทรัพย์ มีอำนาจ วาสนา
ปกครองทวีปทั้งสี่ เช่น พระเจ้าจักรพรรดิ
สุขกว่าการเป็นเทวดา เป็นพรหม หรืออรูปพรหม สุขเป็นนิรันดร เป็นอมตะ เป็นนิจจัง
สุขัง อัตตา มีอิสระ เป็นตัวตนที่แท้จริง
เราก็น้อมไปถวายเป็นพุทธบูชา บุญก็เกิดขึ้นติดอยู่ในกลางกายเราเลย
แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านก็จะอาราธนาพระนิพพาน สอดญาณมองเข้าไปดูชีวิตของเราที่ผ่านมาในอดีต
ที่กิเลสบังคับให้เราสร้างกรรม พอเรากระทำกรรมทางกายวาจาใจก็มีวิบากกรรมเป็นผล
เป็นโปรแกรม เป็นผังสำเร็จติดทุกกายนั่นแหละ มันติดอยู่ในกลางทุกๆ กายและส่งผลไป
ทำทีหนึ่งใช้หลายทีอย่างนั้นแหละจ้ะ เหมือนเราทำบุญครั้งหนึ่ง บุญก็ส่งผลหลายครั้งเช่นเดียวกัน
แต่นั่นทำบาปครั้งหนึ่งก็ส่งหลายครั้ง ดื่มน้ำเมาแก้วหนึ่ง แต่ส่งผลให้ใบ้บ้า ปัญญาอ่อนหลายชาติอย่างนี้
เป็นต้น
อธิษฐานจิต
คราวนี้เราก็นึกถึงบุญ บุญเกิดขึ้นในตัวของเราแล้ว
แล้วเราก็อธิษฐานจิตของเรา
ด้วยอานุภาพแห่งบุญนี้ ขอให้เราสมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข มรรคผลนิพพาน วิชชาธรรมกาย
เกิดมาระลึกชาติได้ ให้เห็นธรรมะกันตั้งแต่ยังเยาว์ ให้เราได้สร้างบารมีเรื่อยไปจนกระทั่งหมดอายุขัย
ไม่ให้ทำความชั่วเลยไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
ปัจจุบันนี้ เรายังต้องทำมาหากิน ทำมาค้าขาย
ทำมาสร้างบารมี ก็ให้เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว ได้สร้างบารมีไปนานๆ
ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ให้ทำมาค้าขึ้น
ประกอบสัมมาอาชีวะก็ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ในธุรกิจการงาน รวยทั้งวันทั้งคืน
หมดหนี้หมดสินเหลือกินเหลือใช้ เหลือไว้สร้างบารมี ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
ปฏิบัติธรรมะก็ให้พบพระธรรมกายอย่างสะดวกสบายอย่างง่ายดาย
อย่างถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริง ทุกประการ
จะทำหน้าที่เป็นผู้นำบุญ ก็ให้คำพูดของเรานี้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุ ภาพ ไป ชวนใครมาสั่งสมบุญ สั่งสมบารมี เช่น
บวชเป็นพระพี่เลี้ยง กองพันพระพี่เลี้ยง กองพลแสนรูป ก็ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
หรือผู้ใหญ่ใจดี V
ทั้งหลายก็ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ อธิษฐานจิตอย่างนี้ เป็นต้น และนอกจากนั้นเราจะอธิษฐานอะไรก็ตามใจชอบของเรา
ให้ต่างคนต่างอธิษฐานกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565