ชีวิตของผู้รู้
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ลูกทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขา
ขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาพริ้มๆ
พอสบายๆ
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่าสบาย
ผ่อนคลายจริงๆ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด
ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันในคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน
เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือนะจ๊ะ
สมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น
เรานำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของตัวเรา เป็นต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ทางหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ความทุกข์ทรมานของชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้นทางที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ชีวิตในวัฏสงสาร
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายทุกพระองค์ ไม่มีเว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว
เมื่อท่านเห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยของการเวียนว่ายตายเกิด เกิดบ่อยๆ แก่บ่อยๆ
เจ็บบ่อยๆ ตายบ่อยๆ
พลัดพรากจากสิ่งที่รักบ่อยๆ ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ่อยๆ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นบ่อยๆ
ชีวิตก็เจอโลกธรรม
๘ ประการ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีคนสรรเสริญ เดี๋ยวก็มีคนนินทา
มีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป อีกทั้งตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ทางกาย
ทางวาจา ทางใจ เมื่อกระทำลงไปก็มีวิบากกรรมเป็นผลรองรับอยู่
เวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆ
ซากๆ เกิดเป็นอะไรตั้งหลายอย่าง เกิดด้วยความไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
ไม่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ แม้รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ก็ไม่ขวนขวายที่จะไปหาความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
แม้ขวนขวายแต่ถ้าไม่เจอผู้ที่รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
เพราะฉะนั้นชีวิตก็วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ
เดี๋ยวเกิดมาเป็นมนุษย์บ้าง
ถ้าประมาทในการดำเนินชีวิตก็พลัดไปในอบายตามกฎแห่งกรรม
ไปมหานรก อุสสทนรก ยมโลก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน พอไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ทำทาน รักษาศีล
เจริญภาวนาก็ไปสู่เทวโลกในสุคติโลกสวรรค์ หมดกำลังบุญก็ตกลงมาอีก
เมื่อมาเป็นมนุษย์ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
พบเจอท่านผู้รู้ ได้ฟังท่านสอน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็เข้าใจเป็นส่วนใหญ่ ปลีกวิเวกหาที่สงัด ที่รื่นรมย์ แล้วก็ประกอบความเพียร ทำใจหยุดนิ่งได้ในระดับหนึ่ง ฌานสมาบัติเกิดขึ้น ละโลกแล้วก็ไปเกิดในรูปภพ เป็นพรหม ถ้าได้อรูปฌานสมาบัติแล้วเป็นอรูปพรหม
มีชีวิตยืนยาวนานกว่าชาวสวรรค์ แต่ก็ไม่เป็นนิรันดร
เพราะความยืนยาวนานนี้ บางครั้งก็ทำให้เข้าใจผิด
เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้สร้างสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะว่ามีชีวิตอยู่ในพรหมโลกหรือในอรูปพรหมยาวนานมาก
มากกว่าสวรรค์ โอกาสจะเข้าใจผิดก็มี แต่ชีวิตในรูปภพและอรูปภพก็ไม่เป็นนิรันดร
หมดกำลังแห่งบุญที่จะอยู่ในรูปฌานหรืออรูปฌานก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง
ไปอบายบ้างตามวิบากกรรม
ชีวิตก็วนเวียนอย่างนี้
เป็นมนุษย์ก็เป็นชนชั้นล่างบ้าง
ชนชั้นกลางบ้าง ชั้นสูงบ้าง เมื่อชีวิตเป็นมนุษย์ไม่ประกอบไปด้วยความเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต
การดำเนินชีวิตก็จะผิดพลาด
เบียดเบียนตัวเองบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่นบ้างก็ เป็นอย่างนี้
เบียด
ก็ทำให้ตกจากสิ่งที่ดีงามทั้งตัวเราและผู้อื่น
เบียน
ก็ทำให้ตาย ตายจากความดี ตายจากโลกมนุษย์
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้วนเวียน
เวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้
ชีวิตของผู้รู้
พระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อนเห็นภัยในวัฏสงสารอย่างนี้ก็อยากจะหลุดพ้น
จึงแสวงหาทางหลุดพ้นซ้ำๆ มานับภพนับชาติไม่ถ้วน เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมเข้า บุญในตัว
บารมีในตัวก็สอนตัวเองให้ปลีกวิเวก ปลีกตัวออกจากการครองเรือน
จากหมู่คณะ ไม่คลุกคลีด้วยผู้คน แสวงหาที่รื่นรมย์ ที่วิเวก สงัดกาย สงัดใจ
เพื่อประกอบความเพียรให้สงัดจากกิเลสอาสวะต่างๆ
ใจท่านจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เป็นปกติของใจ
ที่เมื่อทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ใจจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ ฐานที่ ๗ พอถูกส่วนเข้า
แสงสว่างภายในก็เกิดขึ้น เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิต เกิดขึ้นอยู่ที่ตรงนี้ ใหม่ๆ ก็เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวหาย หายมากกว่าเห็น
ก็ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นมากกว่าหาย และก็เห็นได้ตลอดเวลาจนชีวิตไม่ขาดแสงสว่างทั้งหลับตาและลืมตา
หลับตาก็สว่างภายใน ลืมตาก็สว่างภายใน
ความสว่างของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังมีข้อจำกัด
พระอาทิตย์สว่างในเวลากลางวัน พระจันทร์สว่างในเวลากลางคืน บรมโพธิสัตว์สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ในยามหลับก็หลับอยู่ในกลางความสว่าง ในยามตื่นก็ตื่นอยู่ที่ตรงนี้ เพราะเป็นที่หลับและที่ตื่นก็ที่ฐานที่ ๗ ตรงนี้
ตื่นอยู่ในกลางความสว่าง ทุกกิจวัตรและกิจกรรมสว่างอยู่ตลอดเวลา
ชีวิตของท่านจึงเป็นชีวิตมนุษย์ที่ไม่ขาดแสงสว่างส่องทางชีวิต
เป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ที่เกิดจากใจหยุดนิ่งจนเห็นความบริสุทธิ์ได้
เป็นความบริสุทธิ์ที่เห็นได้เป็นดวงใสๆ
ใสบริสุทธิ์สัมผัสได้ เข้าถึงได้
ชีวิตของท่านก็ไม่ขาดจากการเห็น
หลับตาก็เห็นภาพภายใน ลืมตาก็เห็นภาพภายใน
ภาพแห่งความบริสุทธิ์ภายในเป็นดวงใสๆ ซึ่งเป็นต้นทางที่จะเห็นชีวิตภายใน ซึ่งนำไปสู่การเข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกภายใน คือ พระธรรมกายในตัว
ซึ่งเป็นตัวพุทธรัตนะ ใสเป็นแก้ว ใสบริสุทธิ์
ชีวิตของท่านก็ไม่ขาดจากการเห็น และการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
ทั้งหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น นั่ง นอน ยืน
เดินก็เห็น เห็นพระรัตนตรัย เห็นพระธรรมกายชัดใสแจ่ม กระจ่างอยู่กลางกายภายใน ชีวิตของท่านจึงเป็นประดุจอยู่ในป้อมปราการที่ปกป้องผองภัยจากอบายภัยในสังสารวัฏ
และก็ภัยของชีวิตในปัจจุบัน ได้เป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข ตั้งแต่สุขพอประมาณจนกระทั่งถึงสุขอย่างยิ่ง คือ
บรมสุข ชีวิตของท่านจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์
มนุษย์เกิดมาก็เพื่อการนี้แหละ แต่เมื่อยังไม่รู้ว่าเพื่อการนี้
ก็ไปทำอย่างอื่นก่อน ตามที่ผู้รู้เขาไม่ทำกัน
เรามีบุญมากนะลูกนะ ได้มาเกิดอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะในช่วงที่วิชชาธรรมกายบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อนทำอย่างไร
เราก็จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ชีวิตทั้งชีวิตไม่ขาดแสง ไม่ขาดความสว่างภายใน ไม่ขาดจากการเห็นภาพภายใน ไม่ขาดจากความรู้ความเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ไม่ขาดความบริสุทธิ์ที่เข้าถึงได้ ไม่ขาดรัตนะภายในที่เป็นประดุจป้อมปราการของชีวิต
ถ้าเป็นอยู่ได้อย่างนี้ชีวิตนี้จึงจะเป็นชีวิตอันเลิศ ชีวิตอันประเสริฐเช่นเดียวกับบัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน
เช่นเดียวกับท่านผู้รู้ทั้งหลาย
บริกรรมนิมิต
ต่อจากนี้ไป
ให้ลูกทุกคนฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ให้ใจมาหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ที่กลางดวงใสๆ
นึกง่ายๆ สบายๆ เพื่อให้ดวงใสๆ
ภาพภายในนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจเรา เหมือนหลักเอาไว้ผูกเชือก คือ ใจไม่ให้ซัดส่ายไปในเรื่องราวต่างๆ
ที่เราคุ้นเคย ให้ใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เพราะใจกระเจิดกระเจิงมามากแล้ว
ใจแตกมามากแล้ว เห็นไปทาง จำไปทาง คิดไปทาง รู้ไปทาง มันถึงเวลาเราจะต้องรวมใจให้มาติดโดยมีจุดเริ่มต้นที่นึกภาพดวงใสๆ
จะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือดวงแก้วก็ได้ นึกเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ว่า สัมมาอะระหังๆ ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
พอใจหยุดนิ่งแล้วจะเห็นดวงใส สว่าง ความบริสุทธิ์เกิดขึ้น ความสุขอันไม่มีประมาณก็เกิดขึ้น
ความรู้เกิดขึ้น บุญที่เราทำมาทั้งหมดก็จะได้ช่องส่งผลให้เราได้มีความสุขและความสำเร็จในชีวิต
มนุษย์ที่ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
ความตายไม่มีนิมิตหมาย
เราจะพลัดพรากจากกายมนุษย์หยาบนี้เมื่อไร เราไม่ทราบ ที่ตรงไหนเราก็ยังไม่ทราบ เมื่อตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้ร่างกายก็ตกเป็นสมบัติของหมู่หนอน เขาก็ต้องเอาไปเผาไปฝังกันไป สมบัติก็เป็นของคนอื่น ส่วนไหนที่เรานำออกด้วยการทำทานในแหล่งแห่งเนื้อนาบุญก็แปรเป็นบุญติดตัวเราไปภพเบื้องหน้า
เพราะฉะนั้นลูกทั้งหลายอย่าได้ประมาทในการดำเนินชีวิต เวลาของเรามันเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
แล้ว ดังนั้นให้ใจหยุดนิ่ง นิ่งอยู่ในกลางกาย
ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต คือ
การละชั่ว ทำดี และทำใจให้ใส ง่ายที่สุด ณ
ตอนนี้คือ ทำใจหยุดนิ่ง ให้เข้าถึงแสงสว่างภายใน เป็นมนุษย์ที่ไม่เคยขาดแสงเลย
เห็นภาพภายใน เห็นความบริสุทธิ์ภายใน เป็นมนุษย์ที่ไม่เคยขาดความบริสุทธิ์เลย เห็นพระธรรมกายภายใน มีป้อมปราการเป็นที่พึ่งที่ระลึก ปกป้องผองภัยของเราได้ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ก็หยุดนิ่ง
นุ่ม เบาสบาย ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ พร้อมกับภาวนา สัมมาอะระหังๆ
ๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่งนะจ๊ะ
เช้านี้ อากาศกำลังสดชื่นเย็นสบาย เหมาะสมที่ลูกทุกๆ
คนซึ่งเป็นผู้มีบุญจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า ให้ถูกหลักวิชชา
ก็ให้ประคับประคองใจกันไป ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565