เมื่อเราสว่าง โลกก็สว่างด้วย
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ ธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ
หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้มีความรู้สึกว่าสบาย ผ่อนคลายจริงๆ
แล้วก็ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ สบายๆ รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ แล้วก็ผ่อนคลาย
นึกถึงบุญ
ให้นึกถึงบุญที่เราทำผ่านมาในทุกๆ บุญ
กระทั่งบุญล่าสุดเมื่อวานนี้ ให้มารวมเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เป็นดวงบุญใสๆ คือ ความดีทั้งหมด ที่เราทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ทั้งด้วยตัวเองและก็ไปชวนคนอื่นเขามาทำ ไม่ว่าจะเป็นบุญจาการ ทำทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา เป็นต้น ความดีเหล่านั้น จะมารวมเป็นดวงบุญใสๆ
ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา ตั้งแต่เราเป็นปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า
จะเป็นดวงใสๆ ติดอยู่ในกลางกาย
ให้เราตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ให้ใจนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
จะประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง ไปด้วยก็ได้ หรือเราจะไม่ภาวนาก็ได้ ถ้าเรามั่นใจว่าใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น
เพราะวัตถุประสงค์ที่ต้องการ คือให้ใจมาหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ อยู่ที่ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต
ชนะนิวรณ์ ๕ ได้ จะพบแสงสว่างภายใน
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตำแหน่งนี้พญามารบดบังนัก
ไม่ให้รู้ ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ให้สนใจว่า มีอยู่หรือไม่ให้เฉลียวใจว่า
มี เพราะว่าเป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของเขา
เมื่อใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ได้เมื่อใด แสงสว่างจะปรากฏเกิดขึ้น
เป็นความสว่างภายในที่สว่าง ใสเย็นสบาย ไม่แสบตาเหมือนดูดวงอาทิตย์ตอนเที่ยง ทั้งๆ
ที่สว่างกว่า จะใสเย็นสบาย สว่าง
เป็นแสงสว่างที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง
ที่ทะลุผ่านเครื่องกั้นจิตที่เราคุ้นเคยกับคำว่านิวรณ์
๕ เช่น กามฉันทะ การตรึกในเรื่องกาม ทั้งเรื่องเพศ
เรื่องทรัพย์อะไรต่างๆ เหล่านั้น หรือพยาบาท ผูกโกรธ ขัดเคือง ขุ่นใจ หรือความลังเลสงสัย
ไม่มั่นใจว่า การทำหยุดนิ่งอย่างนี้จะเข้าถึงได้ หรือให้สงสัยในสิ่งที่ไม่ควรสงสัย
เช่น ใครสร้างโลก ใครสร้างสรรพสัตว์สรรพสิ่งจูงใจให้เตลิดไปอย่างนั้น
หรือสงสัยเรื่องพระรัตนตรัยทั้งภายนอกภายใน หรือ ความง่วง ความท้อ
ความฟุ้งไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้ง ๕ อย่างนี้ คือ เครื่องกั้นจิต
เหมือนกำแพงขวางกันไม่ให้ใจมาติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
แสงสว่างภายใน ส่องทางสายกลาง
เมื่อเราประกอบความเพียรอย่างกลั่นกล้า
อย่างถูกหลักวิชชาตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ใจก็จะหยุดนิ่งได้ แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น
ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ขาดแสงสว่างภายในอย่างนี้
ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน โลกก็จะเกิดสันติสุข ความเห็นถูกก็จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ
ซึ่งจะเป็นผลทำให้คิดถูก พูดถูก ทำถูก อะไรๆ มันก็ถูกต้องและดีงามไปทั้งสิ้น
เพราะแสงสว่างนี้ จะทำให้เห็นภาพภายในที่มีอยู่แล้ว
ไปตามความเป็นจริง เช่น ภาพแห่งความบริสุทธิ์ ชีวิตที่ประณีตซ้อนๆ กันอยู่ภายใน
จะเห็นเส้นทางสายกลาง เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย จากความโลภ
ความโกรธ ความหลง ความไม่รู้ต่างๆ เป็นต้น จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
จะเห็นภาพพระรัตนตรัยในตัวซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึก และเป็นปราการ เป็นป้อมเป็นค่าย
ป้องกันภัยทั้งในเมืองมนุษย์และในอบาย ตลอดจนในสังสารวัฏ
แสงสว่างจะทำให้เห็นภาพเหล่านี้ตรงไปตามความเป็นจริง
ความรู้ก็จะเกิดขึ้น เป็นความรู้แจ้ง เหมือนเราดึงของอยู่ที่มืดออกมากลางแจ้ง เราก็จะเห็นชัดเจนว่า
มันคืออะไร ชีวิตที่อยู่ในที่มืดก็จะถูกดึงให้มาอยู่ในที่แจ้ง
ในที่เปิดเผย จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิตและก็สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย
เข้าถึงธรรมได้ ความลับชีวิตจะถูกเปิดเผย
ยิ่งถ้าเราเข้าถึงกายธรรม ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูเรื่อยไป
เห็นพระธรรมกาย หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วา นิดหน่อย หน้าตักเท่ากับความสูง เกตุดอกบัวตูม
อยู่ในอิริยาบถสมาธิ ไม่ยืน ไม่เดิน ไม่นอน นั่งอย่างเดียว ใสสว่าง
ความลับของชีวิตก็จะถูกเปิดเผย
เพราะว่าพระธรรมกายมีธรรมจักขุ คือ การเห็นแจ้ง
เห็นได้รอบตัว ทุกทิศทุกทาง ในเวลาเดียวกัน ทั้งอดีตที่ผ่านมา ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
และมี ญาณทัสสนะ คือ ความรู้แจ้งเกิดขึ้น
เห็นถึงไหน รู้ถึงนั่น ซึ่งแตกต่างจากดวงตามนุษย์เห็นไกลสุดขอบฟ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่นั้นมันคืออะไร
เพราะฉะนั้นธรรมจักขุก็จะเกิด ญาณทัสสนะเกิด
ความลับต่างๆ ก็ถูกเปิดเผยล่มสลายไป จะมีแต่ความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด คือ เข้าใจเรื่องราวทั้งหลายไปตามความเป็นจริง
ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ มันจะแจ่มแจ้ง ถ้าใจหยุดนิ่งได้
ก็จะเห็นไปตามลำดับอย่างนี้แหละ
เห็นกายในกาย จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัตผล
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ซึ่งเป็นกายสุดท้าย
เป็นกายเดียวที่จะหลุดพ้นจากโปรแกรมที่เขาตรึงติดไว้ในภพสาม ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ
พอถึงตรงนั้นสนิทติดแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เขยื้อน ก็หลุดไปเลย ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด
ก็ไปอยู่ในอายตนนิพพาน ที่อยู่ของผู้พ้นแล้ว
เพราะฉะนั้น ใจหยุดตรงกลาง
ฐานที่ ๗ นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
อย่าให้พลาดโอกาสไปสำหรับการมาเกิดในชาตินี้ที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์
ใช้เวลาชีวิตให้คุ้มค่า
เราก็จะต้องไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยวันและคืนให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
หรือสนใจในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เกิดเพียงแค่ผลประโยชน์
แต่ประโยชน์สุขประโยชน์อย่างยิ่งไม่เกิด ต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย
ดังนั้น ก็ต้องรีบขวนขวายฝึกหยุดฝึกนิ่งกันไปทุกวันทุกคืน
จนกระทั่งถึงในระดับไม่ให้มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งได้ ชีวิตจะต้องไม่ขาดแสงสว่าง
แสงสว่างที่อยู่ภายในอุดมไปด้วยความสุข ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งดังกล่าว
ชีวิตของเราจะต้องไม่ขาดการเห็นภาพภายใน
ที่แตกต่างจากภาพภายนอก ทั้งกลางวันและกลางคืน
ทำประดุจผู้มีราตรีเดียวจึงจะเรียกว่า ได้กำไรชีวิต ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าสมที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
มาพบพระพุทธศาสนา
วันคืน ก็ล่วงไป ล่วงไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวก็หมดไปวันหนึ่ง เดี๋ยวก็หมดไปคืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิตแล้ว
ชีวิตในโลกมนุษย์มันเป็นเวลาช่วงสั้น ประเดี๋ยวประด๋าว สุขทุกข์ก็ประเดี๋ยวประด๋าว
จะยากจนจะร่ำรวยก็ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ชีวิตหลังจากตายแล้วชีวิตใหม่ ในปรโลกนี้ยาวนานนัก
ไม่ว่าจะภพภูมิของในทุคติ หรือสุคติภูมิ ในนรกหรือบนสวรรค์ล้วนยาวนานทั้งสิ้น
สุขก็สุขนาน ทุกข์ทรมานก็นานกว่าในเมืองมนุษย์มากมายก่ายกองนัก
โชคดีที่เป็นชาวพุทธ
เราโชคดีเป็นชาวพุทธ ที่เรารู้หลักในการปฏิบัติอย่างมีเหตุมีผลที่จะรองรับ
ไม่เลื่อนลอยเหมือนชายหนุ่มคิดถึงหญิงสาวในฝันที่ไม่มีอยู่จริง
คำสอนในพุทธศาสนามีเหตุมี ผลรองรับ
และเราโชคดีที่ว่าสามารถนำมาไตร่ตรองพิจารณาและนำเข้าสู่การปฏิบัติ จนกระทั่งมีประสบการณ์ภายในได้
เข้าถึงได้ สัมผัสได้ด้วยตัวของเราเองนี่แหละ ไม่เลื่อนลอย จะสามารถศึกษา เรียนรู้
ปฏิบัติด้วยตัวเองและเข้าถึงเองได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างไร ถ้าเราปฏิบัติตามท่านได้ ท่านทำอย่างไร
เราทำอย่างนั้น ท่านเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้นได้ตามกำลังแห่งบุญบารมีและความเพียรของเราที่ได้สั่งสมกันเอาไว้
เพราะฉะนั้น เมื่อลูกมีบุญแล้ว ต้องมีวาสนาในการที่จะนำบุญนั้นมาใช้ให้มันเกิดประโยชน์
ในการบรรลุธรรมภายในที่เราสามารถบรรลุได้จริงๆ
ด้วยกำลังแห่งความเพียรของเราอย่างถูกหลักวิชชานี่แหละ
เข้าถึงธรรมได้ พึ่งตัวเองได้
เราสามารถเป็นอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง
เป็นสุขด้วยตัวของเราเอง โดยไม่พึ่งพิงสิ่งใดที่เกินจำเป็น จะเป็นอยู่ด้วยตัวเองเหมือนดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ที่สว่างไสวด้วยตัวเอง
มีพลังในตัวเอง เมื่อเราพึ่งตัวเองได้ การหลับตา ลืมตา นั่งนอนยืนเดิน แสงไม่เคยขาดเลย
ภาพภายในก็ไม่เคยขาด จะอยู่โคนไม้ก็เป็นสุข จะอยู่ที่เรือนว่างก็เป็นสุข
อยู่ป่าเขาห้วยหนองคลองบึงก็เป็นสุข
สุขโดยใช้ที่ไม่ต้องกว้าง แค่อาสนะเดียว ที่ดูเหมือนมีขอบเขตจำกัด
คือเพียงแค่อาสนะเดียวไม่เกิน ๑ ตารางเมตร แต่เราจะไปสู่ที่ไร้ขอบเขตได้
เหมือนออกทะเลลึก ทะเลแห่งความรู้อันไม่มีประมาณ สุขที่ไม่มีประมาณ ที่ไม่มีขอบเขต
จะนั่งนอนยืนเดินก็เป็นสุข อยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราหลับตาแล้วไม่มืด
ลืมตาแล้วสว่าง หลับตาก็เห็นภาพภายใน ลืมตายังเห็นอยู่ เห็นอยู่ตลอดเวลาเลย
เช่น เห็นดวงใสๆ ที่สว่างเจิดจ้า
เห็นกายภายในใสๆ ที่สว่างเจิดจ้า เห็นองค์พระภายในใสๆ ที่สว่างใส เย็น เจิดจ้า
ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ยามหลับก็หลับอยู่ในกลางความสว่าง
เหมือนหลับอยู่ในทะเลแห่งความสุขที่ไม่มีขอบเขต
ตื่นก็ตื่นอยู่ตรงนั้นตรงกลางความสว่าง
จะหลับในองค์พระตื่นก็ตื่นอยู่ในกลางองค์พระ
เมื่อตื่นแล้วเราก็เหมือนเราดึงเอาความสุขจากข้างใน
เอาออกมาใช้ข้างนอก มันจะขยายจากศูนย์กลางกายออกมาเหมือนเราลืมตาขึ้น
ตื่นขึ้นมามันจะขจัดสิ่งที่เป็นมลทิน รอบกายเรา จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ให้ใจเราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
ใจจะเป็นสุขได้ทุกหนทุกแห่งทุกที่ เพราะใจใสๆ ใจสว่างๆ
เมื่อเราสว่าง โลกก็สว่างด้วย
โลกขาดแคลนความรู้ตรงนี้
และขาดตัวอย่างของผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเข้าถึงจริง มีประสบการณ์ภายในอย่างนี้
ดังนั้น ถ้าเราทำได้ เราก็จะเป็นต้นบุญต้นแบบที่ดีของมวลมนุษยชาติ
และชาวโลกก็จะไม่ว้าเหว่ จะไม่เงียบเหงา
จะไม่ทุกข์ทรมาน เพราะเขาเห็นตัวอย่างดีๆ
และถ้อยคำอันประเสริฐ ที่จะทำให้ชีวิตของเขารุ่งเรืองประดุจดวงอาทิตย์ในยามเที่ยง
สดใสเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญได้
ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าเราสว่าง โลกก็จะสว่างด้วย
มวลมนุษยชาติก็จะสว่างด้วย เราแม้จะจากโลกนี้ไป ก็จากไปอย่างสง่างาม เหมือนพระราชาผู้รบชนะศึกที่ออกจากแว่นแคว้น ที่รบชนะแล้ว ด้วยใจที่เบิกบาน
บันเทิงทั้งในมนุษย์และในเทวโลก ในสุคติโลกสวรรค์
เพราะฉะนั้น การฝึกให้หยุดนิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ที่ลูกทุกคนจะต้องเอาใจใส่ โดยไม่มีข้อแม้ ข้ออ้างและเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อตัวของเราเองและโลกใบนี้
นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ
เพศบรรพชิตประเสริฐที่สุด
เพศของบรรพชิต เพศนักบวชจะมีโอกาสดีและประเสริฐกว่าเพศของคฤหัสถ์
เพราะว่าปลอดจากเครื่องพันธนาการของชีวิต ไม่ต้องทำมาหากิน
ไม่ต้องทำมาค้าขายแบบคฤหัสถ์ ซึ่งเราผ่านชีวิตตรงนั้นมาแล้ว
และที่ออกบวชไม่ใช่ว่าหมดทางทำมาหากิน หรือไม่มีฝีมือในการทำมาหากินแบบชาวโลก
แต่ว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็ออกจากเรือนเหมือนนกที่จากคอน แล้วก็ออกบวชมีชีวิตในเพศสมณะ
เพศบรรพชิตจะประกอบความเพียรได้กว้างขวางกว่า
มีเวลามากกว่า เพราะเครื่องกังวลน้อยกว่า มีแต่เพียงกายกับใจและศูนย์กลางกายเท่านั้นที่จะคอยดูแล
เหมือนนกที่มีปีกและหางที่โบยบินไปในอากาศอย่างเป็นอิสรภาพ ชีวิตนักบวชจะได้ตรงนี้
ถ้าบวชมาแล้วได้ทำตามวัตถุประสงค์ของการบวชก็จะได้รับประโยชน์สุข
ประโยชน์อย่างยิ่งจากการบวช จะได้อานิสงส์จากการบวช จะมีสุขได้ด้วยตัวเอง
เข้าถึงได้อย่างง่ายๆ แสงสว่างอันประเสริฐ จะอาบทาจากภายในกลางขยายออกมาสู่ภายนอก
เราจะสว่างไสวเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ รัศมีธรรมก็จะจับ เมื่อใจเราหยุดนิ่งอยู่ภายใน
ในเพศของสมณะ
เราจะเลื่อมใสตัวของเราเองก่อน
มีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ ภาคภูมิใจในตัวเองแม้อยู่ตามลำพัง
เมื่อเรายังเลื่อมใสตัวของเราเองอย่างนี้ มนุษย์และเทวดาที่เห็นอยู่ก็ไม่อาจจะห้ามความสัทธาปสาทะเลื่อมใสในเราผู้เป็นนักบวชที่มักน้อย
สันโดษ มีชีวิตเรียบง่ายหรือสูงส่งอย่างนี้ได้
เราก็จะเป็นที่ตั้งแห่งสัทธาปสาทะแก่มนุษย์และเทวดา
โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น
แต่ความเลื่อมใสในตัวเองนี้เกิดจากข้อวัตรปฏิบัติที่ดี ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
ความสำรวมในอินทรีย์จะบังเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน
อยู่ในกลางองค์พระภายใน กลางพระรัตนตรัย แม้ไม่มีเจตนาจะสำรวมก็สำรวมอยู่ในตัว
เพราะรักษาจิตดวงเดียว ไม่ต้องเที่ยวไปไกล ให้ไปในสิ่งที่ควรไป ไปแบบสุคโต ไปดี เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ท่านเสด็จไปในกลางกายของท่าน
ด้วยการหยุดนิ่ง โดยไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งภายใน ใจของท่านก็จะใสสว่าง
เข้านิโรธสมาบัติของท่านไปเรื่อยๆ
สุขแล้วสุขเล่าเพิ่มขึ้นไปในกลางธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่าน ท่านก็จะเข้าสู่อายตนนิพพานภายในตัวของท่านไปเรื่อยๆ
อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่สิ้นสุด ไม่มียั้ง อย่างสบายๆ
มีปีติสุขอยู่ข้างในหล่อเลี้ยงใจตลอด บุญธาตุจะหล่อเลี้ยงให้ใจใสๆ
แม้เป็นคฤหัสถ์ก็เข้าถึงธรรมได้
ลูกๆ เป็นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะทำอย่างนี้ได้
เช่นเดียวกับคฤหัสถ์ในสมัยพุทธกาลที่เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย
แม้ภายนอกยังเป็นคฤหัสถ์ เป็นพระโสดาบันก็มี พระสกทาคามีก็มี พระอนาคามีก็มี
อย่างน้อยก็เป็นโคตรภูบุคคล คือ บุคคลที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
และเป็นเนื้อเป็นหนังพระรัตนตรัย คือ เป็นตัวพระรัตนตรัย
เปลือกนอกยังเป็นเพศของคฤหัสถ์แต่ภายในกะเทาะล่อน คือ เปลือกกับเนื้อไม่ติดกัน
เหมือนเงาะที่เนื้อมันล่อนออกจากเปลือก ข้างในก็กะเทาะล่อนติดอยู่ในกายธรรมโคตรภู
หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย หลับตาเห็น ลืมตาเห็น นั่ง นอน ยืน เดิน เห็น ไม่ขาดแสงสว่างอันประเสริฐเลย
ไม่ห่างองค์พระเลย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์พระ
แม้เปลือกนอกจะเป็นคฤหัสถ์ เป็นเพศหญิง
เพศชาย แต่ภายในก็เป็นองค์พระที่ใสบริสุทธิ์ เจิดจ้า เราถึงตรงนั้นเราก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า
กายภายนอกเป็นประดุจบ้านเรือน ที่อาศัยอยู่ชั่วคราว เอาไว้สร้างบารมี
เอาไว้เป็นทางผ่านของใจให้เข้าไปถึงกายธรรมภายในเท่านั้น
ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้เมื่อไร จะเป็นสุข นั่งนอนยืนเดินเป็นสุข
ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จะไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง
จะเห็นสิ่งภายนอกแค่เป็นแค่เครื่องอาศัยที่เกี่ยวข้องกันชั่วครั้งชั่วคราว
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองหรืออะไรก็ตาม
จะแจ่มแจ้งเข้าใจดีกว่าชาวโลกทั่วๆ ไป ที่ใจเขายังมืด หลับตาก็มืด ลืมตาก็มืด นั่งนอนยืนเดินก็มืด
เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในความมืด
คิดก็จะคิดผิด พูดก็พูดผิด ทำก็ทำผิด จิตก็เศร้า
หมอง ก็จะมีความทุกข์ทรมานของชีวิต แม้หน้าชื่นตาบาน แต่อกตรม
ภายในระทมขมขื่น
แต่ถ้าหากเราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้
หลับตาเห็น ลืมตาเห็น นั่งนอนยืนเดินเห็น ชัดใสแจ่มกระจ่างอย่างนี้ได้
นั่งก็เป็นสุข ยืนก็เป็นสุข นอนเดินก็เป็นสุข เป็นสุขในทุกหนทุกแห่งอย่างสบายๆ
สุขที่ไม่มีประมาณที่พรั่งพรูออกมาทุกวินาทีต่อเนื่องกันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ต่อเนื่องสว่างไสว
เพราะฉะนั้นก็ต้องทำให้ได้ เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ลูกทุกคนประคับประคองใจให้หยุดในหยุด
นิ่งในนิ่ง นุ่ม เบา สบาย ใจใสๆ เย็นๆ กันนะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565