ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๒ ๐๙.๐๐ -
๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้ แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆคนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆอย่าไปบีบเปลือกตา
อย่ากดลูกนัยน์ตาหลับตาพริ้มๆ พอขนตาชนกัน ไม่ถึงกับปิดสนิท ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี
ผ่อนคลาย
ปรับใจ
ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์
ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ
ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว
หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง
วางใจ
ปล่อยวางคลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้อง ของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น
นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗
ความสำคัญของ ฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก
เพราะนอกจากจะเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่นของเราแล้ว ยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ท่านนำใจของท่านมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะเหนี่ยวรั้งหรือผูกพันได้
เพราะว่าท่านเบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏ ชีวิตแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
เกิดบ่อยๆ ก็แก่เจ็บตายบ่อยๆ
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักบ่อยๆ ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ่อยๆ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นบ่อยๆ
นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจ คับแค้นใจร่ำพิไรรำพัน ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นล่าง
ชั้นกลาง หรือชั้นสูง ล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น ชนชั้นล่างก็ทุกข์แบบชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางก็ทุกข์แบบชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงก็ทุกข์แบบชนชั้นสูง ล้วนแต่มีความทุกข์ทรมานของชีวิตทั้งสิ้น
อีกทั้งยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
กฏแห่งการกระทำ ทางกาย วาจาหรือใจ ไม่ว่าดีหรือชั่วล้วนมีผลทั้งสิ้น และมีภพของทุคติหรือสุคติรองรับอยู่
เพราะกิเลสบังคับให้สร้างกรรมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และขาดความรู้ด้วย เพราะอวิชชาบดบัง
เมื่อสร้างกรรมก็มีวิบากเป็นผลของกรรม
เวียนตายเวียนเกิดวนเวียนกันอยู่อย่างนี้นับภพนับชาติ ชีวิตไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้แหละทำให้เกิดทุกข์ทรมาน
เพราะฉะนั้นจึงเบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏ เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายความผูกพัน
ความยึดมั่นถือมั่น ก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ใจก็จะมารวมหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ ท่านผ่านวิธีการต่างๆ มามากมาย เพื่อที่จะดับทุกข์ของชีวิตท่าน
ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ท่านเป็นรัชทายาทแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ มีสมบัติจักรพรรดิมารอคอยอยู่
อุดมไปด้วยกามสุขที่เลิศกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ว่าท่านก็มองเห็นความทุกข์ เพราะฉะนั้นท่านก็แสวงหา
และในที่สุดวันที่จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ใจท่านก็จะมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ
หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้
เพราะว่าปล่อยวางแม้กระทั่งชีวิตซึ่งถือว่าเป็นที่สุดแล้ว ทรัพย์สินนี้ยังเป็นเรื่องรองมา ใจท่านปล่อยวาง เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่กระดูกหนัง
ช่างมัน ถ้าไม่หลุดพ้นจากทุกข์ก็ไม่ลุกจากที่ พอปล่อยวาง ใจก็นิ่งอยู่ที่ตรงนี้แหละ
หยุดนิ่งอย่างเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้ใช้ความคิดอะไรเลย นิ่งอย่างเดียว เพราะว่าท่านก็ยังไม่รู้ว่าท่านจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร
และจะไปถึงที่สุดอย่างไร อาการที่พ้นเป็นอย่างไรก็ยังไม่ทราบ
สิ่งที่ท่านทำ
คือ ดูเฉยๆ นิ่ง หยุดนิ่งเฉยไปเรื่อยๆ อย่างคนที่ปล่อยวางแล้ว
พอถูกส่วนใจท่านก็หยุดนิ่ง ตกศูนย์เข้าไปสู่ข้างใน แล้วดวงธรรมลอยขึ้นมา ความบริสุทธิ์เบื้องต้นปรากฏเกิดขึ้นเป็นดวงใสๆ
จากฐานที่ ๖ มา ฐานที่ ๗ ตรงนี้ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ กลางท้อง
เป็นดวงใสสว่าง ใสเกินใส สวยเกินสวย งามไม่มีที่ติ เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่มาพร้อมกับความสุขอันไม่มีประมาณ
มาพร้อมกับการเห็นแสงสว่างเกิดขึ้น เห็นภาพเป็นดวงใสๆ
ธรรมดวงแรกก็ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายตรงฐานที่
๗ ตรงนี้แหละ แล้วท่านก็นิ่งอย่างเดียวไปเรื่อยๆ
เพื่อดูว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไปอีก
อีกประการหนึ่ง มันมีความสุขกับความบริสุทธิ์แล้วก็ความเฉยๆ หรือ
อุเบกขา คือ นิ่งเฉย ไม่ได้คิดอะไร
นิ่งๆ มันสุขอย่างเดียว พอนิ่งต่อไป พอถูกส่วนก็ขยาย ดวงธรรมดวงแรกก็ขยายออก แล้วก็เห็นไปตามลำดับ ตามสภาวะที่ละเอียดอ่อนลุ่มลึกไปเรื่อยๆ
เห็นดวงธรรมในดวงธรรม เห็นกายในกาย
กายมนุษย์ละเอียด ในกลางกายมนุษย์ละเอียดมีกายทิพย์
กลางกายทิพย์ ก็มีกายรูปพรหม
กลางกายรูปพรหม ก็มีกายอรูปพรหม
กลางกายอรูปพรหม ก็มีกายธรรมโคตรภู
หน้าตักหย่อนกว่า ๕ วานิดหน่อย
ในกลางกายธรรมโคตรภู ก็เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน
หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ใสบริสุทธิ์ สวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม
ในกลางกายธรรมพระโสดาบัน ก็เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี
หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
ในกลางกายธรรมพระสกิทาคามี ก็เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี
หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
ในกลางกายธรรมพระอนาคามี ก็เข้าถึงกายธรรมพระอรหัต
หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใสบริสุทธิ์
แต่ละกายจะมีเป็นคู่ๆ มีกายหยาบ
มีกายละเอียด รวมแล้วได้ ๑๘ กาย ซ้อนๆ กันอยู่ เชื่อมด้วยธรรม ๖ ดวง คือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน
เป็นเครื่องกลั่นใจให้ใสบริสุทธิ์และเชื่อมไปถึงกายต่างๆ เหล่านั้น จะมีดวงธรรมอย่างนี้แหละ
มีดวงธรรม มีกายซ้อนๆ กัน
กายสุดท้ายนี่แหละ ที่ทำให้ท่านหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เพราะว่าดวงเกิดในดวงธรรมที่ทำให้เกิดเป็นกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู
กายธรรมพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ดับหมด มีแต่กายธรรมอรหัตผลที่หลุดออกไปเลย
ไม่ต้องมาเกิดในวัฏฏะ ในภพสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ใจท่านหลุดล่อนไปหมดเลย
เกลี้ยงไปหมด ด้วยการหยุดนิ่งอย่างนี้แหละ แต่ขั้นตอนก็จะมีละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ
ฐานที่ ๗
ตรงนี้ เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เป็นตำแหน่งเดียวที่พญามารเขายังบังคับบัญชาไม่ได้
เป็นทางรอด ทางหลุดพ้นจากทุกข์ มีอยู่ที่เดียว ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ
เป็นแนวดิ่งลงไป และก็ขยายออกไปรอบตัว ตำแหน่งตรงนี้สำคัญนักทีเดียว
เกิดกันมาเป็นมนุษย์ชาติ เป้าหมายหลักของชีวิตก็ต้องการให้ดับทุกข์ได้
สลัดตนพ้นจากทุกข์ได้ พอทุกข์ดับ สุขเกิด
พระนิพพานเกิดแจ่มแจ้งขึ้นมา นี่คือวัตถุประสงค์ของชีวิต เพราะถ้าดับตรงนี้ไม่ได้
ดับทุกข์หรือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือ กิเลสอาสวะ อวิชชา ถ้าดับไม่ได้ มันก็เกิดต่อไป
ดับได้ก็ไม่ต้องเกิด ดับได้มีทางเดียวก็คือ เอาใจมาหยุดนิ่งนี่แหละ ดับไป
เกิดกันมาชาติหนึ่ง เป้าหมายก็มีเพียงแค่นี้แหละ แต่เพราะไม่รู้ตรงนี้ จึงทำอะไรเยอะแยะ
พอเยอะแยะก็สับสน ชีวิตก็วนเวียนมีสุขมีทุกข์วนเวียนอยู่อย่างนั้น
มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีคนสรรเสริญมีคนนินทา มีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป
เดี๋ยวไปอบายบ้าง เดี๋ยวไปเทวโลกบ้าง พรหม อรูปพรหม วนเวียนกันไปอยู่อย่างนี้แหละ
ตำแหน่งตรงนี้สำคัญมาก
เป็นที่เดียวที่จะหลุดรอดได้ ถึงเรียกว่า เอกายนมรรค
ทางเอกสายเดียว เป็นทางของพระอริยเจ้า หรือเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า
ทางหลุดทางพ้นจากกิเลสจากอาสวะ เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย
ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้
ถ้าใครรู้อย่างนี้ แล้วได้ลงมือปฏิบัติ ก็ถือว่าเป็นบุญลาภของผู้นั้น
ถ้าใจมาติดตรงนี้ มันก็จะหลุดจากตรงอื่น แต่ที่ไม่มาติดที่ฐานที่ ๗
เพราะว่ามันไปติดที่อื่น ติดเรื่องรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันติดหมดเลย เขาตรึงเราไปติดตรงนั้น ก็วนเวียนคิดพูดทำในสิ่งเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่มีปัญหาและแรงกดดันของชีวิตตลอดเวลา ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ทุกข์มาก ทุกข์น้อย ทุกข์ปานกลาง
วนเวียนกันไปอย่างนั้น หน้าชื่นอกตรมกันไป
จะมีสิ่งที่คลายเครียด ก็แค่ความเพลินๆ เพลินแล้วก็เพลีย แล้วก็วนเวียนกันไปอย่างนี้
ตำแหน่งฐานที่ ๗ ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าใจมาอยู่ตรงนี้ได้ เราก็จะเป็นมนุษย์ที่ไม่ขาดแสงสว่าง
ทั้งหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดิน ไม่ขาดการเห็นภาพภายใน ตั้งแต่เห็นดวง เห็นกาย เห็นองค์พระชัดใสสว่างอยู่ตลอดเลย
เห็นกายในกายอะไรต่างๆ ไม่ขาดความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้ง
ไม่ขาดเรื่องจักขุญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จะไม่ขาดเลย จะเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ สมหวังในชีวิต
แม้อยู่คนเดียวก็มีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ อยู่ได้แม้ในเรือนว่าง
โคนไม้ ลอมฟาง ที่โล่งแจ้ง ป่าเขาลำเนาไพร เพราะเป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง
เพราะฉะนั้น
ลูกทุกคนมีบุญมากที่ได้เกิดในบุญเขต ในร่มเงาของพระพุทธศาสนาจะต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติธรรมนี้
เพื่อตัวของเราจะได้เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงที่อยู่ภายใน คือ พระรัตนตรัยในตัว
ซึ่งก็คือพระธรรมกายในตัวนั่นเอง
บริกรรมนิมิต
ให้เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
หยุดนิ่งนุ่ม เอาใจผ่านกายที่เปื่อยเน่าไปทุกวัน เสื่อมลงไปทุกวัน
แต่อาศัยชั่วคราวเพื่อให้ใจตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
แล้วก็ตรึก คือ นึกถึงภาพภายใน สำหรับผู้มาใหม่
เป็นเพชรใสๆ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วที่ ฐานที่ ๗ หรือจะนึกถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
แต่อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ ต้องนึกธรรมดา
ง่ายๆ อย่างสบายๆ ไม่ใช่ไปเพ่ง ไม่ใช่ไปจ้อง นึกถึงดวงใส แทนนึกเรื่องอื่นนั่นแหละ
แต่ให้ต่อเนื่องกันไปอย่างสบาย เพลินๆ
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาเบาๆ
ในใจว่า สัมมาอะระหัง ๆๆ ประคองใจกันไปอย่างนี้จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เราต้องภาวนา สัมมาอะระหัง
แล้วนึกถึงดวงใสๆเพื่อใจจะได้ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น แต่พอใจหยุดนิ่งแล้ว สิ่งที่เราสมมติขึ้นมา
สิ่งที่เราประคองว่าสัมมาอะระหัง มันก็จะหายไปเอง
พอถึงเวลาใจก็ไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้
เมื่อมันหมดความจำเป็น มันก็จะทิ้งไป มีความรู้สึกเหมือนเราลืม หรือไม่อยากภาวนาต่อ
อยากอยู่เฉยๆ นิ่งอยู่ภายใน แปลว่า เราทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียวได้แล้วในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นก็ให้มันนิ่งต่อไปเรื่อยๆ ให้มันเป็นธรรมชาติ
ธรรมดาสบายๆ ความนิ่งนั้นก็จะค่อยๆ แน่นขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจุดถูกส่วนก็จะตกศูนย์ไปเลย
คราวนี้ก็จะเห็นของจริงที่อยู่ภายในที่มาพร้อมกับความสุข ความบริสุทธิ์ ความสว่าง
ชัดใส สว่างบังเกิดขึ้น
เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น แจ่มใส เย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกผู้มีบุญทุกๆ คนจะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้า อย่างถูกหลักวิชชา
ให้สมกับที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย
ก็ให้ตั้งใจประกอบความเพียรกันไปนะจ๊ะ ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ
คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565