วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตัก พอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ
พอสบายๆ คล้ายกับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
หลับตาสักค่อนลูก แค่ขนตาชนกัน เหมือนเราปรือๆ ตานิดๆ ไม่ถึงกับปิดสนิท ให้พอสบายๆ
แล้วก็ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่า ไหล่
แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย
ให้รู้สึกว่าไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรามันตึงหรือว่ามันเกร็ง ต้องสบายๆ
ผ่อนคลาย
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้คลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน บ้านช่อง การศึกษาเล่าเรียน
เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ปล่อย วาง
ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
หลักวิชชาการบวช
โดยเฉพาะลูกๆ
ผู้มีบุญที่ตั้งใจมาบวชในกองพลแสนรูปนี้
เพื่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับมาเฟื่องฟูอีกเหมือนย้อนยุคพุทธกาล
บวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา บวชเพื่อเป็นทางมาแห่งบุญบารมีของเราเพื่อแผ่นดิน
เพื่อโลกใบนี้ หรือเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จะปรารภเหตุอันใดอันหนึ่งก็ตาม
หรือทั้งหมดนี้ จะต้องทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
คลายความผูกพัน ไม่นึกไม่คิด เหมือนตายจากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว
ตอนนี้เรามีแต่กาย
มีใจและก็มีที่ตั้งของใจ ซึ่งอยู่กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ
เรามีเพียงแค่นี้ มีกาย มีใจ มีศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราเป็นอิสรภาพเหมือนนกน้อยในอากาศที่มีแต่ปีกและหาง
โบยบินไปในอากาศอย่างเป็นอิสระ เราได้ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว
เพราะฉะนั้นภารกิจของเราในช่วงนี้ ช่วงที่เราจะเตรียมตัวบวชบรรพชาอุปสมบท
จะต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
บวชที่จะได้อานิสงส์ใหญ่เป็นมหากุศลที่จะคำนวณบุญมิได้เลย
เป็นอสงไขยอัปปมาณัง คือ บุญที่ได้จะได้อย่างจะนับจะประมาณมิได้ จะต้องทำให้ถูกหลักวิชชา
บวชให้ได้ถึง ๒ ชั้น ภายในใจเราต้องเข้าถึงพระในตัว รัตนตรัยในตัว
ให้เห็นชัดใสแจ่มอยู่ตลอดเวลาเลยทั้งหลับตา ลืมตา นั่ง นอน ยืน เดินนั่น ชัดใสแจ่ม
ส่วนในช่วงที่เราเป็นธรรมทายาท
เราก็ฝึกฝนอบรมตนของเรา เตรียมตัวบวช ท่องขานนาคให้คล่องปาก ให้ขึ้นใจ
ให้คำกล่าวขานนาคดังออกมาจากกลางกายฐานที่ ๗ กลางองค์พระใสๆ อยู่ภายใน
เราซ้อมไปเราท่องไป มีข้อวัตรปฏิบัติอะไรเราก็ฝึกตัวพัฒนาตัวของเราให้มีความพร้อม
ให้การบวชในคราวนี้ของเราเป็นสิ่งที่น่าปีติและก็น่าภาคภูมิใจจนตลอดชีวิตไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งไปสู่พระนิพพาน
บวชแล้วต้องปลื้มทุกอนุวินาที
การบวช ๒ ชั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทีเดียว ถึงจะเรียกว่า บวชได้อย่างสมบูรณ์
นอกเหนือจากการเป็นสมมติสงฆ์แล้ว ยังมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งภายใน นี้เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก
แต่ถ้าเราทำได้ก็เป็นสิ่งอัศจรรย์
ที่ผ่านๆ
มาก็มีคนทำได้ตั้งเยอะแยะ กองพลแสนรูปก็จะต้องทำให้ได้ให้หมด
ให้เป็นกองพลมหัศจรรย์เพื่อเป็นทางมาแห่งบุญบารมีของเราและบิดามารดาผู้ให้กำเนิดชีวิตของเรา
เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้ให้ลูกทุกคนทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่ง
ให้ใจของเราเกลี้ยงๆ เป็นประดุจภาชนะที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นที่สิงสถิตของพระรัตนตรัย
เป็นที่ประดิษฐานของพระรัตนตรัย
วางใจ
เมื่อเราทำใจให้เบิกบาน
ผ่อนคลายสบายดีแล้ว เราก็ค่อยๆ ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ในบริเวณกลางท้องที่เรามั่นใจว่าตรงนี้แหละคือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ตำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่
๗
หรือว่าเราจะสมมติว่า
หยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม
เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา
๒ นิ้วมือ คือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัด
สูงขึ้นมาก็ประมาณนี้ เรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่แถวบริเวณกลางท้องอย่างนี้ไปก่อนนะจ๊ะ
โดยไม่ต้องไปกังวลว่ามันจะตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป๊ะเลยไหม ให้อยู่บริเวณกลางท้อง
บริกรรมนิมิต
แล้วก็กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ
นึกมโนภาพ เราถนัดอย่างไหนเราก็นึกอย่างนั้น
ชอบอย่างไหนนึกอย่างนั้น อย่างไหนนึกง่ายเราก็นึกอย่างนั้นนะจ๊ะ
คือ กำหนดบริกรรมนิมิตมาเป็นดวงแก้วใสๆ
หรือเพชรสักเม็ดหนึ่ง กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์เหมือนน้ำแข็งใสๆ หรือว่าเหมือนกระจกใสๆ
เหมือนน้ำใสๆ หรือว่าเหมือนเพชรใสๆ ต้องนึกของใสๆ
จะทำให้ใจของเราใสสะอาดบริสุทธิ์ตามไปด้วย ต้องนึกอย่างนี้นะ ดวงใสๆ อย่างสบายๆ
ต้องนึกอย่างสบาย
หรือใครสวดมนต์ไหว้พระบ่อยๆ
จะจำภาพพระพุทธรูป ซึ่งทำด้วยวัสดุอะไรก็ได้ จะเป็นทองเหลือง จะเป็นหิน
เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ดีที่สุดเหมือนเป็นพระแก้วใสๆ เหมือนพระแก้วใสๆ
โตขนาดไหนก็ได้แต่ว่าปางสมาธิ หรืออิริยาบถสมาธิ โดยให้ท่านนั่งสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
เป็นมโนภาพที่เรานึกสร้างขึ้นมา
เพื่อให้ใจหยุดนิ่งๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เพราะว่าใจของเราเตลิดเปิดเปิงจากฐานที่ ๗ มายาวนานแล้ว ที่เราเคยได้ยินว่าใจแตก
มันแตกจากตรงนี้แหละไปติดในเรื่องราวต่างๆ เยอะแยะ
ตั้งแต่เราเติบโตเจริญวัยเรื่อยมากระทั่งถึงวันนี้ เราจึงไม่เคยพบความสุขสักทีหนึ่งเพราะความสุขมันมีที่เดียวอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้
ดังนั้น เราก็ต้องนำใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
เป็นตำแหน่งที่ถูกต้องและดีงามที่จะทำให้เรามีความสุขสมหวังในชีวิต มีความสุขมากๆ
ดังนั้นเราก็ต้องผูกใจไว้กับบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ หรือองค์พระใสๆ ดังกล่าวนะจ๊ะ
อย่างไหนง่าย
อย่างไหนเราชอบเราก็เอาอย่างนั้น ให้นึกง่ายๆ เหมือนเรานึกถึงภาพดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว ก้อนน้ำแข็งอะไรต่างๆ เหล่านั้น ดอกบัว ดอกกุหลาบ
ขันล้างหน้าอะไรอย่างนั้น ให้ง่ายๆ อย่างนั้น
เมื่อเป็นมโนภาพมันก็จะชัดในระดับหนึ่ง
คือพอระดับนึกได้ บางคนนึกได้ชัดมาก บางคนนึกได้ชัดปานกลาง บางคนนึกได้ชัดน้อย
หรือบางคนนึกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้นึกทำความรู้สึกว่าใจอยู่ในบริเวณกลางท้องอย่างนี้ไปก่อนก็ได้
ถนัดอย่างไหนเอาอย่างนั้นแต่ต้องสบาย
ผ่อนคลาย แล้วก็ใจเย็นๆ อย่าไปฮึดฮัดถ้าไม่ได้ดังใจนะจ๊ะ ทำใจใสๆ ให้เยือกเย็น
นั่งหน้ายิ้มๆ หลับตาพริ้มๆ ใจใสๆ นึกถึงบริกรรมนิมิตดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง
บริกรรมภาวนา
พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง
ไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากกลางท้องของเรา
ไม่ใช่ดังที่สมองนะจ๊ะ
ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดแห่งความบริสุทธิ์
แหล่งแห่งอานุภาพอันไม่มีประมาณ ผ่านกลางกาย ผ่านกลางท้องของเรา
ออกมาขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์
สิ่งที่เศร้าหมองขุ่นมัวเป็นมลทินของใจให้ละลายหายสูญไปเลย
ให้ดังออกมาจากกลางท้องนะจ๊ะ ประคองใจว่า สัมมาอะระหังๆๆ
บริกรรมภาวนาควบคู่กับบริกรรมนิมิต
ทุกครั้งที่ภาวนา สัมมาอะระหัง
เราจะต้องไม่ลืมตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ หรือตรึกนึกถึงพระแก้วใสๆ
ใจอยู่ในกลางองค์พระแก้วใสๆ อย่างสบายๆ ผ่อนคลาย หลับตาพริ้มๆ นั่งหน้ายิ้มๆ สบายๆ
สัมมาอะระหังๆๆ
อย่าให้เร็วนักและก็อย่าให้ช้านัก เอาประมาณว่า สบายใจเรา
ใจเราชอบภาวนาอย่างไหนที่สบาย ทั้งใจทั้งกายไม่มีความรู้สึกว่าฝืน พยายามและก็ไม่ได้ใช้กำลังในการภาวนา
ไม่เหมือนการท่องบ่นอะไรต่างๆ เหล่านั้น
เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนคล้ายๆ
บทเพลงหรือเสียงสวดมนต์ที่เราคุ้นเคย ที่ดังขึ้นมาเองในใจ เหมือนเราเคยร้องเพลง และก็เพลงอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจร้องแต่มันดังขึ้นมาในใจเอง
หรือบทสวดมนต์บทใดบทหนึ่งที่ดังขึ้นมาเอง
ให้ภาวนา สัมมาอะระหัง
คล้ายๆ อย่างนั้น คือ ภาวนาโดยไม่ได้ใช้กำลัง เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ละมุนละไม
ซอฟท์ๆ นุ่มนวล แต่มีพลัง พลังแห่งความบริสุทธิ์ พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่ใส
ขจัดสิ่งที่เป็นบาปอกุศลของเราที่มีอยู่ ที่เราดำเนินชีวิตผิดพลาดไม่ถูกต้องที่ผ่านมาให้ละลายหายสูญไปให้หมด
สัมมาอะระหังๆๆ
ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างสบายๆ หรือตรึกนึกถึงองค์พระแก้วใสๆ
ใจหยุดอยู่ในกลางองค์พระใสๆ อย่างสบายๆ ใจเย็นๆ
อย่าให้เผลอจากบริกรรมทั้งสองนี้นะจ๊ะ
บริกรรมนิมิตเป็นภาพดวงใส
หรือองค์พระใสๆ กับบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง ที่เราภาวนาก็เพื่อไม่ต้องการให้เผลอ
และต้องการให้ไปด้วยกันคู่กันไป นึกถึงภาพแล้วก็ภาวนาไปด้วย
ภาวนาไปจนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า
ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ อยู่ที่ภาพดวงใสๆ
หรือภาพพระแก้วใสๆ หรืออยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ แม้ไม่นึกถึงภาพก็ตาม
เมื่อเกิดความรู้สึกว่า
ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป อยากอยู่เฉยๆ
ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไป คิดเรื่องอื่น
เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ธุรกิจการงาน เรื่องโน้นเรื่องนี้
เราจึงย้อนกลับมาภาวนาสัมมาอะระหังใหม่
ประคองใจด้วย สัมมาอะระหัง
อย่างนี้ ใจจะได้อยู่ที่ดวงใสๆ องค์พระใสๆ
ในกลางท้องของเรา ง่ายๆ อย่างนี้แหละ ทำง่ายๆ สบายๆ ไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร
ต้องใจเย็นๆ
อย่าไปตั้งใจเกินไป อย่าไปเค้นภาพหรือไปบีบภาพให้มันชัด
อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง ให้นึกนุ่มๆ นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ เราทำอย่างนี้แค่นี้เท่านั้น
ประสบการณ์ภายใน
เดี๋ยวพอใจหยุดนิ่งถูกส่วนแล้ว
มันก็จะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เราจะรู้สึกว่า ร่างกายโล่ง โปร่ง เบา สบายอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
มันกลวงๆ โล่งๆ ว่างๆ จนกระทั่งรู้สึกว่า ตัวขยาย พองโตใหญ่ขึ้นแล้วก็หายไป
เหลือแต่ดวงใสๆ หรือพระแก้วใสๆ
ถ้าพระพุทธรูปยังไม่ใสเป็นแก้วก็ไม่เป็นไร
จะเป็นโลหะอะไรก็ได้ เราก็ดูเฉยๆ ไปก่อน
ใจเย็นๆ ดูไปอย่างสบายๆ เดี๋ยวภาพองค์พระที่ยังไม่ใสจะค่อยๆ ใสขึ้นๆ เอง
เปลี่ยนสีสันเขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง ใส แล้วในที่สุดสีสุดท้ายจะเป็นสีใสๆ
เหมือนก้อนน้ำแข็งใสๆ ที่มาพร้อมกับความสุขความสบายอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
ถ้าใจหยุดนิ่งได้อย่างนี้แล้วล่ะก็
การบวชครั้งนี้ของเราแม้จะเป็นช่วงสั้นเราก็จะสมปรารถนา และก็ลืมไม่ลงคงไม่ลืม
ปลื้มกันไปทั้งชาติเลย ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ชาติไหนๆ ระลึกได้เมื่อใดก็ปลื้ม เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ประคองใจไปเรื่อยๆ
นะลูกนะ
เดินตามเส้นทางพระพุทธเจ้า
มรรคผลนิพพานอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นับพระองค์ไม่ถ้วนเลยท่านก็ใช้วิธีเดียวอย่างนี้ คือ ทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่ง เพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร เบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเกิดบ่อยๆ ก็แก่บ่อยๆ เจ็บบ่อยๆ ตายบ่อยๆ ทุกข์บ่อยๆ
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักบ่อยๆ ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักบ่อยๆ
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์บ่อยๆ อย่างนี้ท่านก็เบื่อ
เพราะฉะนั้น เบื่อท่านก็ไม่อยากจะมาเกิดอีก
ท่านก็เลยทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วใจของท่านก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายตรงนี้แหละตรงที่เรากำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงใส
องค์พระใสๆ อย่างนี้
แล้วพอถูกส่วนใจท่านก็จะตกศูนย์เข้าไปข้างใน
และก็เห็นภาพกายในกายอะไรต่างๆ ไปตามลำดับ ก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรากำลังจะเป็นลูกท่าน
เป็นลูกที่ใกล้ชิดทีเดียวเรียกว่าพุทธบุตร ก็ต้องเดินตามรอยท่าน ท่านทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
ท่านเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น ในช่วงนี้เวลาที่เหลืออยู่นี้
อากาศกำลังสดชื่นแจ่มใส เย็นสบาย ก็ให้ลูกผู้มีบุญทุกๆ
คนตั้งใจประคับประคองใจให้หยุดนิ่งดังกล่าว
ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ
ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565