ความสำคัญของการปฏิบัติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น.
งานบุญวันอาทิตย์ สภาธรรมกายสากล
วัดพระธรรมกาย
ปรับกาย
เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปให้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย
วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูกพอสบายๆ คล้ายๆ
กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบายๆ
ไม่ถึงกับปิดสนิทนะจ๊ะ พริ้มๆ
แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายของเรา
ตั้งแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ศีรษะ ลำคอ บ่าไหล่ แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือให้ผ่อนคลาย
กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลาย
ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรานะ อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเรามันตึง มันเกร็ง
ให้ผ่อนคลาย
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น
ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ เรื่องธุรกิจการงาน บ้านช่อง เรื่องการศึกษาเล่าเรียน
เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปล่อยวางคลายความผูกพันจากทุกสิ่ง
ในช่วงที่เรากำลังเจริญสมาธิภาวนานี้นะจ๊ะ
ใจของเราจะต้องไม่ผูกพันกับเรื่องอะไรเลย
ทำประหนึ่งว่า เราอยู่คนเดียวในโลกยังไม่เคยเจอปัญหา แรงกดดัน หรือเกี่ยวข้องกับคน
สัตว์ สิ่งของเลย แล้วเราก็ปล่อยวาง ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ
ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา
๒ นิ้วมือ
โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น
เรานำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง
จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกาก บาท
จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ จำง่ายๆ ว่า อยู่ในบริเวณตรงนี้ ตรงกลางท้องในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒
นิ้วมือ ให้รู้จักเอาไว้ แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริงๆ เราก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป แค่ความรู้สึกมาหยุดอยู่บริเวณตรงนี้
เกิด
ดับ หลับ ตื่น ที่ฐานที่ ๗
ตรงฐานที่ ๗ นี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญ
มันเกี่ยวข้องกับตัวของเรา ไม่ศึกษาเรียนรู้ก็ไม่ได้ เพราะว่าตรงนี้เป็นที่เกิด
ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น
เกิด คือ เรามาเกิดแล้ว
แต่ว่า ดับ คือ ตาย สักวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย
ไม่ว่าใครจะตายก็ตาม ตายตรงไหน ที่ไหน ตอนไหน ด้วยอะไร
จะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตก็ตาม เวลาตายใจจะมาอยู่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ตรงนี้แหละ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาให้เข้าใจนะลูกนะสำคัญ
ต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ให้ดี
เพราะเป็นจุดที่จะเชื่อมโยงชีวิตใหม่ในปรโลก ไม่ว่าจะสุคติหรือทุคติจะเริ่มต้นจากตรงนี้
ไม่รู้ไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่รู้ไม่เป็นไร แต่วันนี้ต้องรู้
เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญกับเวลาปฏิบัติธรรม
อย่าพูดอย่าคุยกันนะลูกนะ ต้องศึกษาให้ดี ตรงนี้ฐานที่ ๗ ตรงนี้ เวลาจะตายภาพต่างๆ
ของชีวิตที่ผ่านมาในชาตินี้ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย
มันจะสรุปชีวิตที่ผ่านมาว่า กาลเวลาผ่านมานั้น เราได้ทำอะไรมาบ้าง เขาเรียกว่า กรรมนิมิต สิ่งที่เรากระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ
อะไรที่ทำบ่อยๆ เป็นอาจิณกรรม สม่ำเสมอไม่ว่าดีหรือชั่ว มันจะมาฉายให้เห็น จะเห็นรอบตัว
เห็นภาพออกมาเหมือนเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ตรงนี้สำคัญจ้ะ ซึ่งเราเห็นตามลำพัง
เหมือนเป็นภาพยนตร์ส่วนตัวของเรานะลูกนะ
ถ้าสิ่งที่ทำเป็นความดี ใจจะปลื้ม ใจจะใสๆ
มีปีติสุขหล่อเลี้ยงใจ เราจะไม่หวาดหวั่นในมรณภัย ใจจะปลื้มอยู่กับความดีที่ทำผ่านมา
จะเห็นชัดเจนแจ่มทีเดียว แล้วคตินิมิต คือหนทางที่จะไปก็จะสว่าง ถ้าดีนะจ๊ะ ถ้าเป็นภาพที่ไม่ดี
มันก็จะมืด มืดจนน่ากลัว และก็กลัวด้วย ถ้าสว่างก็ปลื้ม
ชีวิตใหม่หลังจากตายแล้วมันยาวนานกว่าในเมืองมนุษย์
ถ้ามีทุกข์ก็ทุกข์นาน ทุกข์กว่าทุกข์ที่สุด ถ้าสุขก็สุขนาน สุขกว่าและก็สุขที่สุด
ถ้าเทียบกับตอนเป็นมนุษย์ สุขกว่าเยอะ ถ้าทุกข์ก็ทุกข์กว่าเยอะ และยาวนานกว่าเยอะ
ยาวนานในระดับที่เรานึกไม่ถึง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จักฐานที่ ๗ ตรงนี้ให้ดีนะลูกนะ
ดังนั้น เวลานั่งปฏิบัติธรรมอย่าพูดอย่าคุยกัน
เอาไว้หลังเวลาปฏิบัติไปแล้ว เราจะสนทนาพูดคุยอะไรกันก็เอา ต้องให้ความสำคัญเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของเรา
นอกจากเป็นที่เกิดที่ดับแล้ว ยังเป็นที่หลับที่ตื่นของเราด้วย
เวลาเราหลับ หลับตรงนี้ ตื่นก็ตื่นตรงนี้ จะหลับแบบมีสติ หรือไม่มีสติก็ตรงนี้
ถ้าหลับอย่างมีสติ ที่เราคุ้นกับคำว่า
หลับอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญ มันจะเบาๆ
สบายๆ เหมือนใจเคลื่อนไปอยู่ในแหล่งแห่งความสุข และเวลาเราตื่นเหมือนเราดึงเอาความสุขออกมาจากแหล่งนั้นสู่ชีวิตใหม่
ในวันรุ่งขึ้นที่เราตื่นแต่เช้าก็จะดึงออกมาด้วย
ความสุขก็จะแผ่ขยายไปยังระบบประสาทกล้ามเนื้อและก็สิ่งแวดล้อมจะสดใส
ฐานที่ ๗ ต้นทางสู่อายตนนิพพาน
เกิด ดับ
หลับ ตื่น อยู่ตรงนี้ ฐานที่ ๗ และที่สำคัญยังเป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพาน
ทางหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จากความทุกข์ทรมานของชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
เป็นตำแหน่งเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ ไม่มีเว้นเลยแม้แต่พระองค์เดียว
เมื่อท่านเบื่อหน่ายชีวิตในสังสารวัฏ
เพราะเห็นทุกข์โทษภัยว่า ชีวิตมันไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดไปเป็นอะไรก็ตาม ล้วนมีภัยทั้งสิ้น
และชีวิตก็ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม
พอหมดกำลังแห่งบุญที่จะอยู่ในภพภูมินั้นก็หล่นลงไปในเมืองมนุษย์ ถ้าหมดบุญจากมนุษย์ก็ไปตามกำลังแห่งกรรม
พลัดไปอบายบ้าง มันก็วนเวียนกันไปอยู่อย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น ท่านก็เบื่อหน่ายอยากหลุดพ้นตรงนั้น
ท่านก็ทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเลย
นิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละ พอถูกส่วนใจก็เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน
ตกศูนย์แล้วก็มีดวงธรรมลอยขึ้นมาเป็นดวงใสๆ กลมรอบตัว
เหมือนดวงแก้วที่พระธรรมทายาทโครงการแสนรูปนี้
ที่ได้เคยส่งผลการปฏิบัติธรรมมา ก็จะมีประสบการณ์ด้วยตัวเองที่เห็นดวงธรรมขึ้นมา แต่เนื่องจากกลมเหมือนดวงแก้ว
เราไม่รู้ ไม่รู้จักคำว่า ดวงธรรม เราก็เลยเรียกว่า
ดวงแก้ว ผุดเกิดขึ้นมา ลอยขึ้นมา ทั้งๆ
ที่แต่เดิมเราก็ไม่รู้อยู่ว่า ในตัวเรามีสิ่งนี้อยู่ แต่พอเราทำถูกต้อง
ใจถูกส่วนก็ตกศูนย์เห็นดวงขึ้นมาอย่างนั้นแหละ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเห็นก่อนพวกเรามายาวนานทุกพระองค์
และก็เห็นไปตามลำดับ เห็นดวงธรรมภายในเป็นชุดๆ อยู่ภายใน
ดวงแรกเรียกว่า ดวงปฐมมรรค
หรือ ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ดวงถัดไปที่อยู่ในกลางดวงแรก ก็จะมี ดวงศีล
ในกลางดวงศีล ก็จะมีดวงสมาธิ
ในกลางดวงสมาธิ ก็มี ดวงปัญญา
ในกลางดวงปัญญา ก็มี ดวงวิมุตติ
ในกลางดวงวิมุตติ ก็มี ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็จะมีกายเกิดขึ้น
ชีวิตใหม่ภายในที่ประณีตกว่าชีวิตภายนอกเกิดขึ้นมา ลักษณะหน้าตาเหมือนกับตัวเรา แต่ว่าสดใสกว่า
อยู่ในวัยเจริญปรากฏเกิดขึ้น
ซึ่งพระธรรมทายาทรุ่นนี้
บางรูปก็มีประสบการณ์ภายในอย่างนี้กันแล้วโดยไม่รู้มาก่อน ก็จะมีอย่างนี้เป็นชั้นๆ
เข้าไป จนกระทั่งเข้าไปถึงกายที่เป็นตัวจริงตัวแท้ๆ คือ กายธรรม คือ กายทั้งก้อนเป็นธรรมล้วนๆ
ที่สวยงามมาก งามกว่ามนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม มีเกตุดอกบัวตูม ใสเกินใส
สวยเกินสวย งามไม่มีที่ติ
กายนั้นแหละ
เรียกว่า พระธรรมกาย หรือ พุทธรัตนะ เป็นกายแก้วที่ใสบริสุทธิ์
ใสเกินความใสใดๆ ในโลก สว่างไม่มีประมาณ สวยงามเกินกว่าสิ่งใดๆ
ทั้งสิ้นในภพทั้งสามและก็สุข สุขกว่าที่เคยเข้าใจว่าสุข สุขกว่าการเป็นเทวดา
สุขกว่าการเป็นพรหมหรืออรูปพรหม สุขที่ยั่งยืน เป็นอมตะ เป็นนิจจัง เป็นอิสระ
มีความรู้สึกว่า เป็นตัวของเราที่แท้จริง
และมีความแจ่มแจ้ง จะเข้าใจว่า ตัวภายนอกมันแค่เหมือนบ้านเรือนที่อาศัยชั่วคราว
ตัวที่อาศัยอยู่เป็นกายที่เปื่อยเน่าได้ มีสิ่งปฏิกูลไหลเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย แตกต่างจากกายธรรมภายในที่ไม่ได้มีกิจแบบมนุษย์
ไม่ได้เป็นอย่างมนุษย์ เป็นกายอันเลิศ อันประเสริฐ
กายนี้แหละเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง ปลอดจากภัยทั้งปวงในสังสารวัฏ เรียกว่า พุทธรัตนะ ใสสะอาดบริสุทธิ์ คือ ธรรมกายนั่นเอง
ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย
เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมก็เพื่อการนี้
ให้ใจหยุดนิ่งเข้าถึงกายธรรม เกิดกันมาแต่ละภพ แต่ละชาติก็ต้องการแสวงหากายนี้
ถ้ายังไม่เจอก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป แสวงหากันต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพบก่อน เห็นก่อน
แล้วก็นำมาถ่ายทอด ด้วยวิธีการหยุดนั่นแหละเป็นตัวสำเร็จ คือ ใจต้องหยุดนิ่งอยู่ภายในตำแหน่งที่เป็นที่ตั้งแห่งธรรมกาย
พระธรรมกายเป็นที่ตั้งของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ของพระรัตนตรัย
หยุดอยู่ตรงนี้เป็นที่ตั้งแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพาน
ดังนั้น มรรคผลนิพพานนั้นอยู่ภายในตัวของเราทุกคนในโลก
ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ต่างแต่จะรู้หรือไม่รู้
โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ตรงนี้ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ด้วยวิธีการหยุดใจ
ชาวโลกที่หยุดไม่ได้ เพราะว่ามีความอยาก
ทะยานอยากไปตามอารมณ์ที่ยังปราศจากความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ประกอบไปด้วยความเพลิน
ประกอบไปด้วยความไม่รู้ ก็แสวงหากันไปเรื่อย ทุรนทุราย สรุปรวมว่า
ใจกระเจิดกระเจิงไปติดที่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น
ซึ่งทำให้เนิ่นช้าต่อการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ความทะยานอยากมันออกไปอย่างนั้น
เพราะมีแรงผลักดันอยู่ภายในที่เราไม่รู้เรื่องคือกิเลสอาสวะ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง มันฉุดใจเราไปติดกับสิ่งเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวก็ต้องเดินกันตรงกันข้าม
คือต้องนำใจให้พ้นจากความสับสนวุ่นวายเหล่านั้น กลับมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ให้ได้ จนกระทั่งถูกส่วนแล้วก็จะเห็นไปตามลำดับ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์
ทั้งหลายได้เห็น ต้องนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ต้องหยุดอย่างเดียวเป็นตัวสำเร็จ
บริกรรมนิมิต และบริกรรมภาวนา
ทีนี้จะหยุดได้เบื้องต้นก็จะต้องประกอบไปด้วยบริกรรม
๒ อย่าง คือ บริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา ใจต้องมีหลักยึด
เกาะเพื่อเชื่อมโยงให้ใจมาหยุดอยู่ในตำแหน่งที่เป็นที่ตั้งของพระรัตนตรัย คือ ฐานที่
๗
จะต้องกำหนดบริกรรมนิมิต นึกเป็นภาพภายในใจอย่างง่ายๆ
คล้ายๆ กับเรานึกถึงภาพดอกบัว ดอกกุหลาบ ภาพดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ที่เรานึกอย่างสบายๆ
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างนั้นแหละ
นึกบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ หรือเป็นเพชรใสๆ
ให้เป็นของใสๆ น้ำแข็งใสๆ กลมรอบตัวอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาๆ
โดยไม่ต้องใช้กำลังบังคับ สบายๆ ผ่อนคลาย นึกอย่างผ่อนคลาย สบาย
คล้ายกับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคย เหมือนขันล้างหน้า แปรงสีฟัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น
เราไม่ได้ใช้ความพยายามในการนึกเลย นึกของใสๆ เป็นบริกรรมนิมิต เป็นบริกรรมนิมิตอย่างนั้นแหละ
ง่ายๆ สบาย
ค่อยๆ นึกไป ใจเย็นๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่ง ด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากในกลางท้องของเรา อย่าให้ช้า อย่าให้เร็วนัก
ภาวนาในใจว่า สัมมาอะระหัง ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ
สัมมาอะระหัง ประคองใจกันไปอย่างนี้
ส่วนใครที่คุ้นเคยกับการนึกถึงภาพองค์พระพุทธรูป
เพราะว่าสวดมนต์ไหว้พระกันบ่อยๆ หรือเคยเห็นจนเจนตาแล้ว คุ้นเคยแล้ว
จะนึกถึงองค์พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
แทนดวงใสๆ ดวงแก้วนั้น แต่ให้ท่านหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา
เหมือนเรามองด้านบนลงไปด้านล่าง เราก็นึกถึงท่านอย่างสบาย ถ้าเราคุ้นเคยกับองค์พระ
แล้วก็นึกเบาๆ สบาย พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนา สัมมาอะระหัง อย่างนี้นะจ๊ะ
วางใจนิ่งเฉย
ๆ
ส่วนบางคนนี่พอนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นภาพแล้ว
อดที่จะเค้นภาพไม่ได้ มันจะตึงทุกที จะตั้งใจเกินไป ถ้ามีอุปนิสัยอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องนึกเป็นภาพดวงแก้วหรือองค์พระ
จะหยุดใจนิ่งเฉยๆ ก็ได้ หยุดใจนิ่งเฉย ทำความรู้สึกว่า อยู่ในกลางท้อง กลางกายฐานที่
๗ ตรงนั้น อย่างนี้ก็ได้ พร้อมกับบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ สบายๆ สัมมาอะระหัง
ภาวนาไปกี่ครั้งก็ได้จนกว่าใจไม่อยากจะภาวนาต่อไปอีก
อยากหยุดใจนิ่งเฉยๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป
แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่อง อื่น
เราจึงย้อนกลับมาภาวนาใหม่ สัมมาอะระหัง ประคับประคองใจกันไปอย่างนี้
เช้านี้อากาศกำลังสดใส เย็นสบาย
เหมาะสมที่ลูกๆ ทุกคนผู้มีบุญ จะได้ประกอบความเพียรให้กลั่นกล้าอย่างถูกหลักวิชชา
สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาก็ให้ตั้งใจประคับประคองใจไปให้ดี
ขอให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระธรรมกายใน ตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ
นะจ๊ะ
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565