ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๕๓ (๑๓.๓๐ -
๑๕.๓๐ น.)
งานบุญวันอาทิตย์ ณ สภาธรรมกายสากล
ปรับกาย ปรับใจ
ตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน หลับตาเบาๆ พอสบายๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายของเรา
ทั้งเนื้อทั้งตัวให้รู้สึกสบาย ขยับเนื้อ ขยับตัวของเราให้ดี
ปรับท่านั่งให้ถูกส่วน จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกัน แล้วก็ทำใจของเราให้ เบิกบาน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง
วางใจ
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ
นุ่มๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา
ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่ายๆ ว่า อยู่ในบริเวณแถวกลางท้อง
แล้วก็รวมใจไปหยุดนิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ทำใจใสๆ
ใจเย็นๆ
นึกถึงบุญ
นึกถึงบุญทุกๆ บุญที่เราทำผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นบุญทอดกฐิน ผ้าป่า ใส่บาตร สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล
สงเคราะห์คนยากคนจน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา บุญทุกๆ
บุญที่เราทำผ่านมาทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา เป็นต้น ให้มารวมหยุดเป็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่
๗ เป็นดวงบุญใสๆ กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใส บริสุทธิ์
เหมือนกับเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีตำหนิเลย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
แต่ว่าใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ ในคืนวันเพ็ญ
บริกรรมภาวนา
ให้ตรึกนึกถึงดวงใส
ใจหยุดอยู่ในกลางดวงใสๆ อย่างเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย ใจเย็นๆ พร้อมกับประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ
ว่า สัมมาอะระหังๆๆ
โดยให้เสียงคำภาวนา ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา
เป็นเสียงที่ละเอียดอ่อนเหมือนเสียงสำนึกลึกๆ ที่เราไม่ได้ใช้กำลังในการท่อง ในการสวด
นึกเอาเสียงนี้ดังออกมาจากแหล่งกำเนิดของผู้มีอานุภาพอันไม่มีประมาณ ดังมาจากอายตนนิพพานผ่านกลางกายของเรา
มากลั่นใจของเราให้ใสๆ จนเห็นดวงบุญใสๆ ติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา
ให้ประคองใจไปเรื่อยๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง
เมื่อใจหยุดนิ่งมันก็จะทิ้งคำภาวนาไปเอง คือ เรามีความรู้สึกว่า อยากหยุดใจนิ่ง
เฉยๆ ไม่อยากจะภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป เมื่อใดเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องภาวนา สัมมาอะระหัง อีกต่อไป แต่ว่าเมื่อใดใจฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราจึงย้อนกลับมาภาวนา
สัมมาอะระหัง ใหม่ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง เห็นดวงใส ชัดแจ่มกระจ่างอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ของเรา และจะต้องรักษาเอาไว้ให้ดี
สภาวธรรมภายใน
ให้ใจหยุด
นิ่งๆ นุ่มๆ เบาๆ สบายๆ ใจเย็นๆ ไปที่กลางดวงใสนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันถูกส่วน
เราก็จะมีความรู้สึกร่างกายของเรามันขยายแล้วก็หายไปเลย เหมือนเราไม่มีตัวตน
ไม่มีร่างกาย มีแต่ดวงใสๆ สว่างอยู่ในกลางที่โล่ง กว้าง เหมือนกลางอวกาศโล่งๆ
แล้วเราก็ยังเอาใจหยุดนิ่งอย่างนี้เรื่อยไปในกลางดวงใสๆ
ใจก็จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน การเดินทางกลับไปสู่ภายในก็จะบังเกิดขึ้นอย่างง่ายๆ
เบาๆ สบายๆ เป็นแนวดิ่งลงไปในกลางดวงนั้นแล้วก็ขยายไปทุกทิศทุกทางรอบตัว
เราก็นิ่งอย่างเดียว
อย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ แล้วความสุข ความบริสุทธิ์ ความชัดใสสว่าง
การเห็นแจ้ง ความรู้แจ้งก็จะบังเกิดขึ้นเองในกลางนี้ ให้เรานิ่งอย่างเดียวในกลางนั้น
ทุกสิ่งที่เราเห็น
เราก็จะเห็นเป็นชั้นๆ เข้าไป จากกลางดวงธรรมใสๆ
เดี๋ยวเราก็จะเห็นกายภายใน
ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนบังเกิดขึ้นเอง เพราะสิ่งนี้มีอยู่แล้ว
เป็นแต่เพียงเราไม่รู้ว่ามี แล้วก็ไม่เฉลียวใจว่ามี
หรือรู้ว่ามี แต่ยังทำไม่ถูกวิธี ก็เข้าไม่ถึง ถ้าถูกวิธี ถูกหลักวิชชา เดี๋ยวเราก็จะเข้าถึงเอง
เห็นดวง เห็นกายในกาย เข้าไปเรื่อยๆ
เป็นแนวดิ่ง เส้นทางสายกลาง กลางดวง กลางกาย กลางทุกๆ กาย
จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายในตัว
พระธรรมกายที่พึ่งที่แท้จริง
พระธรรมกายในตัว เป็นองค์พระพุทธรูปที่สวยงามมาก
มีเกตุดอกบัวตูม ได้ลักษณะมหาบุรุษ ครบถ้วนทุกประการ หน้าตักจะเท่ากับความสูง ใสบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น
กายธรรม
เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้เรารู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด
ในเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ความลับของชีวิตจะถูกเปิดเผย เมื่อเราได้เข้าถึงพระธรรมกายในตัว
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
ในยามที่เรามีทุกข์
เราก็พึ่งท่านได้ เพราะทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่จะดับไป เมื่อใจหยุดนิ่งเข้าไปถึงกลางองค์พระธรรมกาย
จะมีแต่ความสุขอย่างเดียว ที่ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ชื่อว่า
เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเรา
ถ้าเราไปนึกถึงคน สัตว์ สิ่งของ ในยามที่เรามีทุกข์
สิ่งเหล่านั้นก็ไม่อาจจะดับความทุกข์กายทุกข์ใจของเราได้อย่างแท้จริง
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง เนื่องจากเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ไปสู่จุดสลาย
เดี๋ยวก็แตกหักพังทลายไป ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ที่เราเคยเข้าใจผิดว่า เป็นที่พึ่งของเรา แล้วเราไปนึกถึงในยามที่เรามีทุกข์
มีความเศร้า ซึม เซ็ง เครียด เบื่อ กลุ้ม โศกเศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ร่ำพิไรรำพัน
แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เคยดับทุกข์เราได้ อาจจะทำให้ลืมความทุกข์ไปชั่วครั้งชั่วคราวช่วงสั้นๆ
แล้วก็กลับมาทุกข์ใหม่ ซึ่งอาจจะมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก สิ่งนั้นก็ได้แค่ความเพลิน หมดความเพลินมันก็กลายเป็นความเพลีย
แปลว่าก็ยังมีทุกข์อยู่
นึกถึงสิ่งเหล่านั้นไม่เกิดประโยชน์อันใด
เสียเวลา เสียเงินตรา เวลา อารมณ์ ที่จะไปนึกคิดถึงเหล่านั้น
แต่ถ้าพระธรรมกายในตัว ท่านไม่มีวันไปสู่จุดสลาย เป็นอมตะ มีแต่สุขอย่างเดียว
พึ่งได้ตลอดเวลาในทุกเรื่อง
เพราะฉะนั้นทุกข์ทั้งหลายก็จะดับไปเมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย ด้วยใจที่หยุดนิ่ง
คน สัตว์
สิ่งของ เมื่อผ่านกาลเวลาไปก็มีแต่จะผุพัง แต่พระธรรมกายในตัวยิ่งผ่านกาลเวลาก็ยิ่งสุกใสสว่าง
มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพมาก ยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ จึงได้ชื่อว่า เป็นสรณะที่พึ่งที่แท้จริง
แล้วก็เป็นที่ระลึกด้วย
คือ เป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกนึกถึงให้ได้ตลอดเวลา
ทุกลมหายใจเข้าออก หลับตาก็ต้องให้เห็น
ลืมตาก็ต้องให้เห็น นั่ง นอน ยืน เดิน ในทุกอิริยาบถ ทุกกิจวัตรกิจกรรม
ก็ต้องให้เห็นท่านชัดใสแจ่มกระจ่างอยู่กลางกาย ในอิริยาบถเดียวของท่านที่ไม่มียืน
ไม่มีเดิน ไม่มีนอน เพราะท่านไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่มีการทำกิจแบบมนุษย์
มนุษย์ต้องมีกิจมากมาย ต้องหิวข้าว
ต้องขับถ่าย กระหายก็ต้องดื่ม ร้อนก็ต้องอาบน้ำ ง่วงก็ต้องนอน เป็นต้น แต่ของท่านไม่ได้อยู่ในสภาวะอย่างนั้น
เป็นอย่างนี้นิรันดรเป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตา เป็นอิสรภาพ เพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วด้วย
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระธรรมกาย ได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้รู้ เพราะท่านมี
ธัมมจักขุ คือ มีดวงตาที่เห็นแจ่มแจ้งไปทุกทิศทุกทาง
ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบันและในอนาคต ทั้งที่ลับที่แจ้งด้วยธัมมจักขุของท่าน เห็นได้กว้างไกลกว่าทิพจักขุ
กว่าดวงตาใดๆ ของพรหมหรืออรูปพรหม เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น มี ญาณทัสสนะ จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
ในเรื่องราวต่างๆ ของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
อุปมาเหมือนเข็มร้อยพวงมาลัยดอกมะลิ แทงด้วยใจไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ด้วยวิธีการหยุดกับนิ่งอย่างเดียว ที่จะแทงทะลุตรงกลางของทุกสิ่งที่เห็นอยู่ภายใน
พร้อมกับความรู้แจ้งก็เกิดขึ้น จึงเรียกว่า เป็นผู้รู้
เป็นผู้ตื่น เพราะท่านเห็นสรรพสัตว์สรรพสิ่งไปตามความเป็นจริง
เหมือนคนที่ตื่นจากหลับ แต่มนุษย์แม้ลืมตาเห็นก็ยังได้ชื่อว่า ยังหลับอยู่ เพราะตกอยู่ในโลกของมายา
ที่ยังไม่มีความรู้แจ้งอันใดเลย แต่พระธรรมกายท่านตื่นจากสภาวะของชีวิตเหล่านั้น
เหมือนคนตื่นจากหลับ
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เพราะว่าความทุกข์ไม่มีในท่าน
ใจท่านเบิกบาน ใจขยาย เหมือนการขยายของกลีบดอกไม้ จากที่ตูมๆ ก็เบ่งบานออก
ใจท่านจะขยาย แต่ไม่มีวันโรยราเหมือนกลีบดอกไม้ เบิกบาน คือ ขยายไปที่โล่งกว้าง ที่อัดแน่นด้วยบุญธาตุ
พลังแห่งความสุข ความบริสุทธิ์อันไม่มีประมาณ ที่หนาแน่นไปด้วยอณูแห่งความสุข ความบริสุทธิ์เหล่านั้น จึงเบิกบานอยู่เป็นนิจนิรันดร์
พระธรรมกายในตัว
คือ สรณะ ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา และของทุกๆ คนในโลก ของทุกสรรพชีวิตทั้งหลาย
ของทั้งเทวดา พรหมและอรูปพรหม
ถ้าหยุดใจได้จะมีอานุภาพมาก
วันนี้วันพระ
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ วันสุดท้ายของการทอดกฐิน กาลทานก็สิ้นสุดกันในวันนี้ กลางวันสว่างด้วยแสงอาทิตย์
กลางคืนสว่างด้วยแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ กลางใจของเราก็จะต้องสว่างด้วยแสงแห่งพระธรรมกาย
ถ้าสว่างได้อย่างนี้
กิจทั้งหลายที่เราจะพึงทำต่อไป ไม่ว่าจะการสร้างมหาทานบารมี
มหาทานบารมีนี้ก็มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่กว่าปกติ ถ้าจะสัมมนาอุบาสิกาแก้วประจำตำบล
ผู้มีบุญทั้งหลายที่เป็นแสงสว่างแก่มวลมนุษยชาติประจำตำบล หรือประจำโลกใบนี้
ก็จะมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ
บุคลิกอากัปกิริยาของเราก็จะมีอานุภาพ
เป็นที่ดึงดูดตา ดึงดูดใจของผู้คน ถ้อยคำของเราก็จะมีพลัง จะพูดจาถูกอกถูกใจถูกพระทัยมนุษย์ทุกคนในโลก
วาจาของเราจะศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ จะไปชักชวนผู้มีบุญใดให้มาบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนในโครงการล้านคนนี้
ก็จะสำเร็จอย่างอัศจรรย์ อย่างสะดวกสบายอย่างง่ายดาย
หรือในยามเย็น
เราจะประกอบพิธีลอยกระทงที่สระมหาเศรษฐีทะเลบุญ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บูชามหาปูชนียาจารย์ซึ่งเป็นบุคคลที่ควรแก่การบูชา ก็จะเป็นบุญใหญ่ สำหรับเรา
ที่จะทำให้ได้เกิดอยู่ในพระพุทธศาสนา ได้พบมหาปูชนียาจารย์ ได้บรรลุธรรมของท่าน
จะได้เกิดในตระกูลที่สูง เป็นที่เคารพนับถือ ให้เกียรติชื่นชมในทุกสถานที่
ไม่ว่าจะอยู่ในมนุษยโลกหรือในเทวโลกก็ตาม เพราะฉะนั้น ใจหยุดอยู่ที่กลางองค์พระธรรมกายนี้
จึงมีอานุภาพมาก พระธรรมกายจึงเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา
ถ้าเรายิ่งหยุด
ยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุดในกลางองค์พระธรรมกาย ท่านก็จะยิ่งขยายใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ
เท่าตัวเราบ้าง ใหญ่กว่าตัวเราบ้าง ใหญ่เท่ากับสภาธรรมกายสากลบ้าง ใหญ่ทั่ววัดพระธรรมกาย
ที่ดิน ๒ ,๐๐๐ ไร่บ้าง ขยายใหญ่ไปทั่วอำเภอคลองหลวง ใหญ่เท่าจังหวัดปทุมธานีก็ได้ ขยายใหญ่ครอบคลุมจังหวัดข้างเคียง
จนสุดขอบของประเทศก็ได้ ขยายไปยังนานาชาติ กระทั่งครอบคลุมโลกใบนี้ก็ได้ ขยายใหญ่กว่านั้นเข้าไปในอากาศที่กว้างไกล จนเห็นโลกใบนี้โตเท่ากับมะขามป้อม
อยู่ในกลางองค์พระก็ได้ จะนึกกลั่นโลกนี้ให้ใสเป็นแก้ว เป็นโลกแก้วก็ได้
หรือจะให้มีองค์ใหม่ผุดซ้อนขึ้นมาตรงกลางทีละองค์ก็ได้
ทีละหลายๆ องค์ก็ได้ เราจะเห็นในเวลาเดียวกัน ทั้งผุดซ้อนก็ดี ใหญ่เท่าตัวก็ดี
ใหญ่กว่าตัวก็ดีในเวลาเดียวกันก็ได้ แค่หยุดนิ่งอย่างเดียวที่กลางองค์พระกลางกาย
ในตำแหน่งเดียวกันกับตัวของเรา คือตรงฐานที่ ๗
ก็จะเห็นไปในเวลาเดียวกันทุกทิศทุกทางเห็นอย่างนี้ก็ได้
ยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง ยิ่งดิ่งไม่หยุดไม่ยั้งเข้าไปข้างใน
ในเส้นทางสายกลางไปเรื่อยๆ ก็ได้ เห็นองค์พระผุดต่อเนื่องกันไม่ขาดสายเลยก็ได้
ให้ท่านใสบริสุทธิ์อย่างไรก็ได้ ให้สว่างครอบคลุมแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาวในอวกาศ ในท้องฟ้าก็ได้ แค่เราทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียวอย่างสบายๆ
วันนี้เป็นวันพระขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เราก็จะต้องฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวให้ได้กันนะลูกนะ
เวลาที่เหลืออยู่นี้ ก็ให้ลูกทุกคนประคองใจให้หยุดนิ่งในกลาง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วอย่างนั้นแหละ วันนี้ก็จะเป็นวันอันประเสริฐของเรา
ที่ได้เข้าถึงพระผู้ประเสริฐภายใน ที่ใครๆ ในโลกเขาเข้าไม่ถึง แต่เราเข้าถึงได้ ปีติสุขก็จะหล่อเลี้ยงใจของเรา วิบากกรรมที่เราทำผ่านมา
หนักก็จะเป็นเบา เบาก็จะหาย
ร้ายก็จะกลายเป็นดี ดีแล้วก็ยิ่งดีเลิศเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นให้ลูกทุกคนต่างคนต่างหยุดนิ่งกันไปนะจ๊ะ
วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2565